วันนี้ (21 ก.ค. 47) เมื่อเวลา 09.10 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวยามเช้า ทางคลื่นวิทยุ 101.0 เมกกะเฮิร์ต ถึงนโยบายกระจายเงินให้ประชาชนตามขนาดหมู่บ้าน (SML) ของรัฐบาลว่า ถ้าจะมีเงินงบประมาณเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกันเอง มีหลักเกณฑ์ว่าจะใช้จ่ายเงินอย่างไร และเป็นการทำโครงการที่เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือกลไกในการดำเนินการยังขาดความชัดเจน
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การกระจายงบประมาณให้หมู่บ้านไม่ใช่เรื่องใหม่ ดังนั้นรัฐบาลควรจะประเมินจากโครงการในอดีตว่าแต่ละโครงการมีความสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร โดยต้องดูจากสถานการณ์ และหลักเกณฑ์ในช่วงนั้นประกอบด้วย เช่น เงินมิยาซาว่า ที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีความจำเป็นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนโครงการแก้ไขความยากจน (กขคจ) ก็ให้เฉพาะหมู่บ้านที่ประเมินแล้วว่ามีความยากจน หรือว่าขาดแคลนสิ่งที่เป็นความจำเป็นพื้นฐาน
การคิดโครงการดังกล่าวขึ้นมาทั้งที่มีโครงการกองทุนหมู่บ้านอยู่แล้ว แสดงให้เห็นว่านายกฯยอมรับว่าการให้เงินชาวบ้านไปใช้จ่ายส่วนตัวอาจจะไม่ตรงเป้าในแง่ของการพัฒนา ซึ่งโครงการกองทุนหมู่บ้านมีส่วนสำคัญที่ไปกระตุ้นให้ประชาชนในระดับหมู่บ้านเป็นหนี้ รัฐบาลมีความคิดง่ายๆว่าไม่ใช่หนี้เสีย เพราะมีการมาชำระคืน แต่รัฐบาลไม่ได้เข้าไปดูอย่างจริงจังว่าเงินที่มาชำระคืนนั้นไม่ได้มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่มาจากการกู้ยืมเงินนอกระบบ ซึ่งปัญหานี้ยังรอการสะสางอยู่ แต่รัฐบาลกลับกำลังจะเอาเงินอีกก้อนใส่ลงไป
‘การคิดนโยบายดังกล่าวทำให้คนอดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องของการเมือง ผมไม่เคยวิจารณ์โครงการประชานิยมในเชิงเป้าหมาย แต่ผมวิจารณ์เสมอว่าทำโดยคิดถึงเรื่องเป้าหมายทางการเมืองเป็นหลัก โครงการดังกล่าวเป็นการตอกย้ำระบบอุปถัมภ์ทางการเมืองมากขึ้น และทำให้ประชาชนต้องรอที่จะพึ่งรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ซึ่งตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับแนวทางการปฏิรูปการเมือง การกระจายอำนาจ และการมีส่วนร่วม เพราะฉะนั้นคำพูดที่บอกว่านโยบายนี้จะเป็นการลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชนนั้นไม่จริง และยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดปัญหาค่านิยมต่างๆ ซึ่งมีผลอย่างมากต่อกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย ’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ต่อข้อถามที่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ประเมินว่านโยบายดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อการเลือกตั้งหรือไม่ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่ายังไม่พูดถึงเรื่องนั้น แต่มองว่าทั้งพรรคมหาชนและพรรคไทยรักไทยยังอยู่ในกรอบความคิดว่ารัฐบาลจะเข้าไปจัดการและให้ทุกอย่าง เพียงแต่ว่าพรรคไทยรักไทยอาจจะให้เป็นเงิน และพรรคมหาชนจะให้เป็นโครงการสวัสดิการ แต่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องเอาคนเป็นตัวตั้ง และการพัฒนาคนต้องสร้างโอกาส โดยผ่านกระบวนการทางการศึกษา การฝึกอาชีพ และการสร้างหลักประกัน เพื่อให้คนไม่อ่อนแอ ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และประชาชนจะไม่ใช่ความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์ รัฐจะให้ประชาชนขอ แต่จะต้องเป็นลักษณะของหุ้นส่วน ซึ่งเป็นแนวความคิดที่แตกต่างระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับอีก 2 พรรคที่กล่าวมา
‘มีอีกหลายเรื่องที่ผมเห็นว่าทั้งไทยรักไทยและมหาชนมีเหมือนกันคือคิดแต่ว่ารัฐบาลจะทำตรงนี้ให้ ทำตรงนั้นให้ แต่ไม่คิดถึงปัญหาภาระที่เกิดขึ้นกับประเทศในอนาคต และไม่คิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน แต่ประชาธิปัตย์เน้นเรื่องการมีส่วนร่วม และการเป็นหุ้นส่วนมากกว่า เพราะฉะนั้นเราก็ต้องไปคิดถึงว่าถ้าจะมีระบบสวัสดิการไม่ว่าจะเป็นสำหรับผู้สูงอายุ หรือเรื่องสุขภาพ ก็จะต้องเป็นระบบประกันที่ยั่งยืน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะทยอยเปิดนโยบายที่ชัดเจนออกมา ‘ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
เมื่อถามว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะมีนโยบายอย่างไรหากพบว่าประชาชนไปกู้เงินนอกระบบเพื่อมาใช้หนี้กองทุนหมู่บ้าน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในระดับนโยบายจะต้องมีกระบวนการและองค์กรที่จะสามารถเข้าไปจัดการบริหารหนี้ในส่วนนี้ เพราะที่ผ่านมาการกู้เงินของประชาชนเป็นการกู้จากตัวหมู่บ้าน ไม่ได้กู้จากกองทุนกลางของรัฐบาล เพราะฉะนั้นรัฐบาลจะไม่สามารถเข้าไปจัดการได้จนกว่าจะเข้าไปเปลี่ยนหนี้ตรงนั้นออกมา พรรคฯมองว่าควรจะใส่เงินเข้าไปในกองทุนหมู่บ้านเพื่อพัฒนาให้เป็นองค์กรที่เป็นแหล่งระดมทุนได้ ซึ่งจะต้องมีการสะสางใหม่ทั้งหมดว่าทุนที่ให้ต้องไม่ใช่ทุนที่นำไปสู่การใช้จ่ายซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลผลิต หรือต้องเป็นการใช้จ่ายเพื่อให้เกิดการสร้างงานหรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้กู้หรือชุมชนอย่างแท้จริง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 21 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การกระจายงบประมาณให้หมู่บ้านไม่ใช่เรื่องใหม่ ดังนั้นรัฐบาลควรจะประเมินจากโครงการในอดีตว่าแต่ละโครงการมีความสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร โดยต้องดูจากสถานการณ์ และหลักเกณฑ์ในช่วงนั้นประกอบด้วย เช่น เงินมิยาซาว่า ที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีความจำเป็นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนโครงการแก้ไขความยากจน (กขคจ) ก็ให้เฉพาะหมู่บ้านที่ประเมินแล้วว่ามีความยากจน หรือว่าขาดแคลนสิ่งที่เป็นความจำเป็นพื้นฐาน
การคิดโครงการดังกล่าวขึ้นมาทั้งที่มีโครงการกองทุนหมู่บ้านอยู่แล้ว แสดงให้เห็นว่านายกฯยอมรับว่าการให้เงินชาวบ้านไปใช้จ่ายส่วนตัวอาจจะไม่ตรงเป้าในแง่ของการพัฒนา ซึ่งโครงการกองทุนหมู่บ้านมีส่วนสำคัญที่ไปกระตุ้นให้ประชาชนในระดับหมู่บ้านเป็นหนี้ รัฐบาลมีความคิดง่ายๆว่าไม่ใช่หนี้เสีย เพราะมีการมาชำระคืน แต่รัฐบาลไม่ได้เข้าไปดูอย่างจริงจังว่าเงินที่มาชำระคืนนั้นไม่ได้มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่มาจากการกู้ยืมเงินนอกระบบ ซึ่งปัญหานี้ยังรอการสะสางอยู่ แต่รัฐบาลกลับกำลังจะเอาเงินอีกก้อนใส่ลงไป
‘การคิดนโยบายดังกล่าวทำให้คนอดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องของการเมือง ผมไม่เคยวิจารณ์โครงการประชานิยมในเชิงเป้าหมาย แต่ผมวิจารณ์เสมอว่าทำโดยคิดถึงเรื่องเป้าหมายทางการเมืองเป็นหลัก โครงการดังกล่าวเป็นการตอกย้ำระบบอุปถัมภ์ทางการเมืองมากขึ้น และทำให้ประชาชนต้องรอที่จะพึ่งรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ซึ่งตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับแนวทางการปฏิรูปการเมือง การกระจายอำนาจ และการมีส่วนร่วม เพราะฉะนั้นคำพูดที่บอกว่านโยบายนี้จะเป็นการลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชนนั้นไม่จริง และยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดปัญหาค่านิยมต่างๆ ซึ่งมีผลอย่างมากต่อกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย ’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ต่อข้อถามที่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ประเมินว่านโยบายดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อการเลือกตั้งหรือไม่ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่ายังไม่พูดถึงเรื่องนั้น แต่มองว่าทั้งพรรคมหาชนและพรรคไทยรักไทยยังอยู่ในกรอบความคิดว่ารัฐบาลจะเข้าไปจัดการและให้ทุกอย่าง เพียงแต่ว่าพรรคไทยรักไทยอาจจะให้เป็นเงิน และพรรคมหาชนจะให้เป็นโครงการสวัสดิการ แต่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องเอาคนเป็นตัวตั้ง และการพัฒนาคนต้องสร้างโอกาส โดยผ่านกระบวนการทางการศึกษา การฝึกอาชีพ และการสร้างหลักประกัน เพื่อให้คนไม่อ่อนแอ ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และประชาชนจะไม่ใช่ความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์ รัฐจะให้ประชาชนขอ แต่จะต้องเป็นลักษณะของหุ้นส่วน ซึ่งเป็นแนวความคิดที่แตกต่างระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับอีก 2 พรรคที่กล่าวมา
‘มีอีกหลายเรื่องที่ผมเห็นว่าทั้งไทยรักไทยและมหาชนมีเหมือนกันคือคิดแต่ว่ารัฐบาลจะทำตรงนี้ให้ ทำตรงนั้นให้ แต่ไม่คิดถึงปัญหาภาระที่เกิดขึ้นกับประเทศในอนาคต และไม่คิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน แต่ประชาธิปัตย์เน้นเรื่องการมีส่วนร่วม และการเป็นหุ้นส่วนมากกว่า เพราะฉะนั้นเราก็ต้องไปคิดถึงว่าถ้าจะมีระบบสวัสดิการไม่ว่าจะเป็นสำหรับผู้สูงอายุ หรือเรื่องสุขภาพ ก็จะต้องเป็นระบบประกันที่ยั่งยืน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะทยอยเปิดนโยบายที่ชัดเจนออกมา ‘ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
เมื่อถามว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะมีนโยบายอย่างไรหากพบว่าประชาชนไปกู้เงินนอกระบบเพื่อมาใช้หนี้กองทุนหมู่บ้าน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในระดับนโยบายจะต้องมีกระบวนการและองค์กรที่จะสามารถเข้าไปจัดการบริหารหนี้ในส่วนนี้ เพราะที่ผ่านมาการกู้เงินของประชาชนเป็นการกู้จากตัวหมู่บ้าน ไม่ได้กู้จากกองทุนกลางของรัฐบาล เพราะฉะนั้นรัฐบาลจะไม่สามารถเข้าไปจัดการได้จนกว่าจะเข้าไปเปลี่ยนหนี้ตรงนั้นออกมา พรรคฯมองว่าควรจะใส่เงินเข้าไปในกองทุนหมู่บ้านเพื่อพัฒนาให้เป็นองค์กรที่เป็นแหล่งระดมทุนได้ ซึ่งจะต้องมีการสะสางใหม่ทั้งหมดว่าทุนที่ให้ต้องไม่ใช่ทุนที่นำไปสู่การใช้จ่ายซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลผลิต หรือต้องเป็นการใช้จ่ายเพื่อให้เกิดการสร้างงานหรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้กู้หรือชุมชนอย่างแท้จริง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 21 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-