สถานการณ์อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในปี 2546 ที่ผ่านมามีการเติบโตขึ้นจากปี 2545 ร้อยละ 12.31 โดยมีการส่งออกเครื่องประดับแท้ในสัดส่วนมากที่สุดถึงร้อยละ 62.68 คิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 65,529.7 ล้านบาท รองลงมาได้แก่ เพชร พลอยและไข่มุก เครื่องประดับเทียม และอัญมณีสังเคราะห์ ตามลำดับ เนื่องจากมีปัจจัยต่างๆ ที่ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมให้เติบโต เช่น กรมสรรพากรออกประกาศยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มอัญมณี ทองคำขาว ทองขาว เงิน และพาราเดียม การดำเนินโครงการกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าไปลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมอัญธานี (Gemopolis) โดยการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี สำหรับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับที่โยกย้ายสถานประกอบการเข้ามาตั้งในนิคมฯ ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับตั้งโรงงานใหม่ ซึ่งแบ่งเป็นเขตส่งเสริม คือ เขต 1 ได้รับการยกเว้น 5 ปี เขต 2 ยกเว้น 7 ปี และเขต 3 ยกเว้น 8 ปี ตลอดจนทางสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติร่วมกับมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเอเชียประสบความสำเร็จในการจัดทำมาตรฐานการเทียบสีอัญมณี 7 ชนิด ได้แก่ มรกต บุษราคัม โกเมน โทแพซ แทนซาไนส์ และแซบไฟน์ สีชมพู
แนวโน้มการส่งออกในปี 2547 คาดว่ามูลค่าการส่งออกจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปี 2546 เนื่องจากผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก และมีบุคลากรด้านฝีมือแรงงานเพื่อการออกแบบการผลิตสินค้าในระดับสูง สามารถสร้างตราสินค้าของตนเองได้ รวมถึงการสร้างเครือข่ายการตลาด ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย และตลาดที่มีแนวโน้มการส่งออกดีขึ้น คือ ยุโรป ฮ่องกง และออสเตรเลีย ส่วนตลาดที่มีศักยภาพในการส่งออกในอนาคต คือ อิตาลี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และลิกเตนสไตน์ เป็นต้น
ภาวะอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในเดือนเมษายน 2547 เมื่อพิจารณาค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index: TISI) ในเดือนเมษายน พบว่ามีค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนที่แล้ว คือเพิ่มจาก 102.9 เป็น 117.3 และปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมากเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านมา คือเพิ่มจาก 74.8 เป็น 117.3 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นในภาวะอุตสาหกรรมในระดับที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของผู้ประกอบการในเดือนเมษายนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมาก แต่สถานกาณ์การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยตั้งแต่มกราคม - เมษายน 2547 มีการเติบโตลดลง โดยมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมดเท่ากับ 30,203.29 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.80 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยเป็นสัดส่วนการส่งออกเครื่องประดับแท้มากที่สุดถึงร้อยละ 48.84 คิดเป็นมูลค่า 14,750.43 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.87 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา รองลงมาคือเพชรมีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 29.84 และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.24 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสินค้าที่มีอัตราการขยายตัวของการส่งออกลดลงอย่างเห็นได้ชัดคือ ทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป ซึ่งลดลงถึงร้อยละ 83.21 จากเดิม 7,921.65 ล้านบาท เหลือเพียง 1,330.00 ล้านบาท รองลงมาคือ เครื่องทองหรือเครื่องเงิน และอัญมณีสังเคราะห์ลดลงร้อยละ 27.56 และ 8.12 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา สำหรับตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา โดยมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดถึงร้อยละ 28.21 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด มีมูลค่าเท่ากับ 8,518.86 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.04 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา รองลงมาได้แก่ อิสราเอล เบลเยี่ยม ฮ่องกง สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดเท่ากับร้อยละ 14.84, 11.15, 6.05 และ 5.57 ตามลำดับ
สถานการณ์การนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยตั้งแต่มกราคม - เมษายน 2547 มีมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งหมด 40,477.17 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 41.04 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยมีสินค้านำเข้ามาก 2 อันดับแรก คือ ทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป และเพชร ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 17,675.24 ล้านบาท และ 14,679.38 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 43.67 และ 36.27 ของมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 76.34 และร้อยละ 20.51 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา
ตลาดนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญๆ ของไทย คือ ออสเตรเลีย ซึ่งมีสัดส่วนการนำเข้ามากที่สุดร้อยละ 17.89 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด หรือมีมูลค่าเท่ากับ 7,241.29 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.08 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา รองลงมาได้แก่การนำเข้าจากอิสราเอล ฮ่องกง อินเดีย สวิตเชอร์แลนด์ และจีน โดยมีสัดส่วนการนำเข้าร้อยละ 13.57, 11.90, 8.91, 6.15 และร้อยละ 6.02 ตามลำดับ
จากสถานการณ์การส่งออก และการนำเข้า ของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยข้างต้น พบว่ามีภาวะการค้าขาดดุลถึง 10,273.88 ล้านบาท เนื่องจากไทยต้องประสบภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยทั้งนี้มีประเทศคู่แข่งที่สำคัญของไทย ได้แก่ จีน อินเดีย และเวียดนาม ซึ่งมีบทบาทในตลาดระดับล่างมากขึ้น ประกอบกับมีค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่าไทยค่อนข้างมาก ทำให้สินค้าจากประเทศเหล่านี้มีราคาถูกกว่าของไทย ดังนั้นผู้ประกอบการไทยที่เป็นเอสเอ็มอีซึ่งมีอยู่กว่าร้อยละ 80 ในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ จะต้องเร่งศึกษาปัญหาและอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าในหลายๆ ด้านอย่างจริงจัง เช่น สถานการณ์การแข่งขันภายในประเทศต่างๆ ความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง ช่องทางการจัดจำหน่าย และกฎระเบียบข้อกีดกันทางการค้าทั้งใช่และไม่ใช่ภาษี รวมถึงการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบการผลิตให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อประโยชน์ในการวางแผนกระบวนการการผลิตและการตลาด กำหนดกลยุทธ์ทางการแข่งขันที่เหมาะสม สามารถขยายตลาดอัญมณีและเครื่องประดับในตลาดโลก และแข่งขันได้ในอนาคต (ที่มา: กระทรวงอุตสาหกรรม และสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ)
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
แนวโน้มการส่งออกในปี 2547 คาดว่ามูลค่าการส่งออกจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปี 2546 เนื่องจากผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก และมีบุคลากรด้านฝีมือแรงงานเพื่อการออกแบบการผลิตสินค้าในระดับสูง สามารถสร้างตราสินค้าของตนเองได้ รวมถึงการสร้างเครือข่ายการตลาด ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย และตลาดที่มีแนวโน้มการส่งออกดีขึ้น คือ ยุโรป ฮ่องกง และออสเตรเลีย ส่วนตลาดที่มีศักยภาพในการส่งออกในอนาคต คือ อิตาลี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และลิกเตนสไตน์ เป็นต้น
ภาวะอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในเดือนเมษายน 2547 เมื่อพิจารณาค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index: TISI) ในเดือนเมษายน พบว่ามีค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนที่แล้ว คือเพิ่มจาก 102.9 เป็น 117.3 และปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมากเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านมา คือเพิ่มจาก 74.8 เป็น 117.3 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นในภาวะอุตสาหกรรมในระดับที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของผู้ประกอบการในเดือนเมษายนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมาก แต่สถานกาณ์การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยตั้งแต่มกราคม - เมษายน 2547 มีการเติบโตลดลง โดยมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมดเท่ากับ 30,203.29 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.80 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยเป็นสัดส่วนการส่งออกเครื่องประดับแท้มากที่สุดถึงร้อยละ 48.84 คิดเป็นมูลค่า 14,750.43 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.87 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา รองลงมาคือเพชรมีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 29.84 และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.24 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสินค้าที่มีอัตราการขยายตัวของการส่งออกลดลงอย่างเห็นได้ชัดคือ ทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป ซึ่งลดลงถึงร้อยละ 83.21 จากเดิม 7,921.65 ล้านบาท เหลือเพียง 1,330.00 ล้านบาท รองลงมาคือ เครื่องทองหรือเครื่องเงิน และอัญมณีสังเคราะห์ลดลงร้อยละ 27.56 และ 8.12 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา สำหรับตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา โดยมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดถึงร้อยละ 28.21 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด มีมูลค่าเท่ากับ 8,518.86 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.04 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา รองลงมาได้แก่ อิสราเอล เบลเยี่ยม ฮ่องกง สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดเท่ากับร้อยละ 14.84, 11.15, 6.05 และ 5.57 ตามลำดับ
สถานการณ์การนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยตั้งแต่มกราคม - เมษายน 2547 มีมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งหมด 40,477.17 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 41.04 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยมีสินค้านำเข้ามาก 2 อันดับแรก คือ ทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป และเพชร ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 17,675.24 ล้านบาท และ 14,679.38 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 43.67 และ 36.27 ของมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 76.34 และร้อยละ 20.51 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา
ตลาดนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญๆ ของไทย คือ ออสเตรเลีย ซึ่งมีสัดส่วนการนำเข้ามากที่สุดร้อยละ 17.89 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด หรือมีมูลค่าเท่ากับ 7,241.29 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.08 เทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา รองลงมาได้แก่การนำเข้าจากอิสราเอล ฮ่องกง อินเดีย สวิตเชอร์แลนด์ และจีน โดยมีสัดส่วนการนำเข้าร้อยละ 13.57, 11.90, 8.91, 6.15 และร้อยละ 6.02 ตามลำดับ
จากสถานการณ์การส่งออก และการนำเข้า ของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยข้างต้น พบว่ามีภาวะการค้าขาดดุลถึง 10,273.88 ล้านบาท เนื่องจากไทยต้องประสบภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยทั้งนี้มีประเทศคู่แข่งที่สำคัญของไทย ได้แก่ จีน อินเดีย และเวียดนาม ซึ่งมีบทบาทในตลาดระดับล่างมากขึ้น ประกอบกับมีค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่าไทยค่อนข้างมาก ทำให้สินค้าจากประเทศเหล่านี้มีราคาถูกกว่าของไทย ดังนั้นผู้ประกอบการไทยที่เป็นเอสเอ็มอีซึ่งมีอยู่กว่าร้อยละ 80 ในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ จะต้องเร่งศึกษาปัญหาและอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าในหลายๆ ด้านอย่างจริงจัง เช่น สถานการณ์การแข่งขันภายในประเทศต่างๆ ความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง ช่องทางการจัดจำหน่าย และกฎระเบียบข้อกีดกันทางการค้าทั้งใช่และไม่ใช่ภาษี รวมถึงการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบการผลิตให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อประโยชน์ในการวางแผนกระบวนการการผลิตและการตลาด กำหนดกลยุทธ์ทางการแข่งขันที่เหมาะสม สามารถขยายตลาดอัญมณีและเครื่องประดับในตลาดโลก และแข่งขันได้ในอนาคต (ที่มา: กระทรวงอุตสาหกรรม และสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ)
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-