อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกไทยในปัจจุบัน เป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศคู่แข่งอย่าง จีน เวียดนาม ที่ได้เปรียบไทยในเรื่องของต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่าแต่สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพทัดเทียมสินค้าของไทยมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังต้องเผชิญกับภาระต้นทุนค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้นและระดับราคาเม็ดพลาสติกที่ผันผวน เนื่องจากระดับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ผันผวนอยู่ตลอดเวลา
ปัจจุบันผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้ให้ความสนใจในเรื่องของสุขภาพอนามัยกันมากขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์พลาสติกบางตัวมีความต้องการใช้มากขึ้น โดยเฉพาะฟิล์มถนอมอาหารในการเก็บรักษาอาหาร เนื่องจากฟิล์มถนอมอาหารมีคุณสมบัติพิเศษ คือทำให้อาหารคงความสด รักษาคุณค่าทางโภชนาการ ป้องกันปัญหาเรื่องกลิ่น และสามารถป้องกันสิ่งสกปรกภายนอกได้ ทำให้อุตสาหกรรมถนอมอาหารมีความต้องการใช้มากขึ้น โดยพบว่าสัดส่วนการนำเข้าแผ่น ฟิล์มฟอยล์ และแถบพลาสติกในไตรมาสแรกของปี 2547 มีมูลค่ามากที่สุด ส่วนการส่งออกพบว่ามีสัดส่วนการส่งออกมากเช่นเดียวกัน
ภาวะการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยในไตรมาสแรกของปี 2547 ในภาพรวมมีมูลค่าการส่งออกรวมเท่ากับ 17,735.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.11 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2546 โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สหราชอาณาจักร และกลุ่มประเทศในอาเซียน เป็นต้น ส่วนตลาดที่มีศักยภาพในการขยายตลาดในการส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยได้แก่ ออสเตรเลีย เอเชียใต้ และแอฟริกา เป็นต้น โดยทางกรมส่งเสริมการส่งออกได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกในปี 2547 ให้เพิ่มขึ้นจากปี 2546 ประมาณร้อยละ 15.62
สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีมูลค่าการส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในไตรมาสแรกคือ สินค้ากลุ่มชิ้นส่วนรองเท้าและกระเป๋าที่ทำจากพลาสติก โดยมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 7,963.55 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนในการส่งออกมากถึงร้อยละ 44.90 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2546 พบว่ามีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 7.58 ส่วนสินค้าที่มูลค่าการส่งออกรองลงมา ได้แก่ สินค้าแผ่นฟิล์ม ฟอยล์ และแถบพลาสติก สินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติก (ถุง กระสอบ กล่อง ขวด) และสินค้ากลุ่มเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เครื่องใช้ในบ้าน โดยมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 4,242.06 ล้านบาท, 3,133.94 ล้านบาท และ 999.08 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนในการส่งออกร้อยละ 23.92, ร้อยละ 17.67, ร้อยละ 5.63 ของมูลค่าการส่งออกรวม ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2546 พบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นมากได้แก่ สินค้าแผ่นฟิล์ม ฟอยล์ และแถบพลาสติก และสินค้ากลุ่มหลอด และท่อพลาสติก ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.82 และร้อยละ 17.13 ตามลำดับ เนื่องจากคุณภาพของสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกไทยเป็นที่ยอมรับของผู้นำเข้าและราคาสามารถแข่งขันได้เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ผลิตอื่นในเอเซีย
ภาวะการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยในไตรมาสแรกของปี 2547 ในภาพรวมมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 10,427.23 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตของการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.63 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนแหล่งนำเข้าสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกที่สำคัญของไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ และกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นต้นสำหรับสินค้าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีการนำเข้ามากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือสินค้าแผ่นฟิล์ม ฟอยล์ และแถบพลาสติก โดยมีสัดส่วนการนำเข้าในไตรมาสแรกของปี 2547 มากถึงร้อยละ 64.80 ของมูลค่าการนำเข้ารวม หรือมีมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 6,757.15 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวของการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.29 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา สำหรับสินค้าทีมีมูลค่าการนำเข้ารองลงมา ไดแก่ สินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติก และสินค้ากลุ่มหลอดและท่อพลาสติก โดยมีมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 1,255.55 ล้านบาท และ 7.59 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนการนำเข้าร้อยละ 12.04 และร้อยละ 7.59 ตามลำดับ
การนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยในไตรมาสแรกของปี 2547 มีมูลค่านำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกกลุ่มสินค้า ยกเว้นการนำเข้าสินค้ากลุ่มเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ในครัวเรือน และในบ้าน ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าลดลงถึงร้อยละ 46.11 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.03 เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา
แนวโน้มของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทย ผู้ผลิตยังคงประสบกับปัญหาต่างๆ ในอนาคต เช่น 1) ปัญหาการเลียนแบบสินค้า 2) ปัญหาการตัดราคาจากประเทศคู่แข่งทีมีค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า เช่น จีน เวียดนาม และ 3) ปัญหาการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เช่น นโยบายในการเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ดังนั้นผู้ผลิตที่อยู่ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี ต้องมุ่งเน้นการผลิตเพื่อให้สินค้าของตนมีความแตกต่างจากคู่แข่ง มุ่งเน้นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้มากที่สุด โดยเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการออกแบบให้มากขึ้น เพื่อให้สินค้ามีความแตกต่างสามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ตลอดจนการขยายรูปแบบของผลิตภัณฑ์พลาสติกเพื่อให้พลาสติกสามารถเข้าไปทดแทนวัสดุอื่นๆ ได้ เช่น แก้ว ไม้ อลูมิเนียม และเหล็ก เป็นต้น หรือการเข้าไปสู่ตลาดของเล่น ตลาดวัสดุก่อสร้าง เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางทางการตลาดและขยายฐานการจำหน่ายสินค้าสำหรับผลิตภัณฑ์พลาสติก รวมทั้งพัฒนาการผลิตพลาสติกชนิดพิเศษให้มากขึ้น เช่น พลาสติกเกรดวิศวกรรม ที่สามารถใช้กับงานที่มีลักษณะเฉพาะ และมีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยสามารถแข่งขันได้ในระยะยาวในตลาดโลก
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
ปัจจุบันผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้ให้ความสนใจในเรื่องของสุขภาพอนามัยกันมากขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์พลาสติกบางตัวมีความต้องการใช้มากขึ้น โดยเฉพาะฟิล์มถนอมอาหารในการเก็บรักษาอาหาร เนื่องจากฟิล์มถนอมอาหารมีคุณสมบัติพิเศษ คือทำให้อาหารคงความสด รักษาคุณค่าทางโภชนาการ ป้องกันปัญหาเรื่องกลิ่น และสามารถป้องกันสิ่งสกปรกภายนอกได้ ทำให้อุตสาหกรรมถนอมอาหารมีความต้องการใช้มากขึ้น โดยพบว่าสัดส่วนการนำเข้าแผ่น ฟิล์มฟอยล์ และแถบพลาสติกในไตรมาสแรกของปี 2547 มีมูลค่ามากที่สุด ส่วนการส่งออกพบว่ามีสัดส่วนการส่งออกมากเช่นเดียวกัน
ภาวะการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยในไตรมาสแรกของปี 2547 ในภาพรวมมีมูลค่าการส่งออกรวมเท่ากับ 17,735.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.11 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2546 โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สหราชอาณาจักร และกลุ่มประเทศในอาเซียน เป็นต้น ส่วนตลาดที่มีศักยภาพในการขยายตลาดในการส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยได้แก่ ออสเตรเลีย เอเชียใต้ และแอฟริกา เป็นต้น โดยทางกรมส่งเสริมการส่งออกได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกในปี 2547 ให้เพิ่มขึ้นจากปี 2546 ประมาณร้อยละ 15.62
สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีมูลค่าการส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในไตรมาสแรกคือ สินค้ากลุ่มชิ้นส่วนรองเท้าและกระเป๋าที่ทำจากพลาสติก โดยมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 7,963.55 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนในการส่งออกมากถึงร้อยละ 44.90 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2546 พบว่ามีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 7.58 ส่วนสินค้าที่มูลค่าการส่งออกรองลงมา ได้แก่ สินค้าแผ่นฟิล์ม ฟอยล์ และแถบพลาสติก สินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติก (ถุง กระสอบ กล่อง ขวด) และสินค้ากลุ่มเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เครื่องใช้ในบ้าน โดยมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 4,242.06 ล้านบาท, 3,133.94 ล้านบาท และ 999.08 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนในการส่งออกร้อยละ 23.92, ร้อยละ 17.67, ร้อยละ 5.63 ของมูลค่าการส่งออกรวม ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2546 พบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นมากได้แก่ สินค้าแผ่นฟิล์ม ฟอยล์ และแถบพลาสติก และสินค้ากลุ่มหลอด และท่อพลาสติก ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.82 และร้อยละ 17.13 ตามลำดับ เนื่องจากคุณภาพของสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกไทยเป็นที่ยอมรับของผู้นำเข้าและราคาสามารถแข่งขันได้เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ผลิตอื่นในเอเซีย
ภาวะการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยในไตรมาสแรกของปี 2547 ในภาพรวมมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 10,427.23 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตของการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.63 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนแหล่งนำเข้าสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกที่สำคัญของไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ และกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นต้นสำหรับสินค้าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีการนำเข้ามากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือสินค้าแผ่นฟิล์ม ฟอยล์ และแถบพลาสติก โดยมีสัดส่วนการนำเข้าในไตรมาสแรกของปี 2547 มากถึงร้อยละ 64.80 ของมูลค่าการนำเข้ารวม หรือมีมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 6,757.15 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวของการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.29 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา สำหรับสินค้าทีมีมูลค่าการนำเข้ารองลงมา ไดแก่ สินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติก และสินค้ากลุ่มหลอดและท่อพลาสติก โดยมีมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 1,255.55 ล้านบาท และ 7.59 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนการนำเข้าร้อยละ 12.04 และร้อยละ 7.59 ตามลำดับ
การนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยในไตรมาสแรกของปี 2547 มีมูลค่านำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกกลุ่มสินค้า ยกเว้นการนำเข้าสินค้ากลุ่มเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ในครัวเรือน และในบ้าน ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าลดลงถึงร้อยละ 46.11 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.03 เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา
แนวโน้มของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทย ผู้ผลิตยังคงประสบกับปัญหาต่างๆ ในอนาคต เช่น 1) ปัญหาการเลียนแบบสินค้า 2) ปัญหาการตัดราคาจากประเทศคู่แข่งทีมีค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า เช่น จีน เวียดนาม และ 3) ปัญหาการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เช่น นโยบายในการเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ดังนั้นผู้ผลิตที่อยู่ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี ต้องมุ่งเน้นการผลิตเพื่อให้สินค้าของตนมีความแตกต่างจากคู่แข่ง มุ่งเน้นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้มากที่สุด โดยเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการออกแบบให้มากขึ้น เพื่อให้สินค้ามีความแตกต่างสามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ตลอดจนการขยายรูปแบบของผลิตภัณฑ์พลาสติกเพื่อให้พลาสติกสามารถเข้าไปทดแทนวัสดุอื่นๆ ได้ เช่น แก้ว ไม้ อลูมิเนียม และเหล็ก เป็นต้น หรือการเข้าไปสู่ตลาดของเล่น ตลาดวัสดุก่อสร้าง เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางทางการตลาดและขยายฐานการจำหน่ายสินค้าสำหรับผลิตภัณฑ์พลาสติก รวมทั้งพัฒนาการผลิตพลาสติกชนิดพิเศษให้มากขึ้น เช่น พลาสติกเกรดวิศวกรรม ที่สามารถใช้กับงานที่มีลักษณะเฉพาะ และมีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยสามารถแข่งขันได้ในระยะยาวในตลาดโลก
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-