แท็ก
ทักษิณ
เทวดาทักษิณ อำนาจล้นเหนือร่างกายและร่างกาย
ตลอดเวลาที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศเป็นเวลาเกือบ 4 ปีจะถูกกล่าวหาและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่ายในสังคมอยู่เสมอว่า มีการปิดกั้นหรือไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าฝ่ายค้าน กลุ่มองค์กรเอกชน นักวิชาการ และล่าสุดกำลังมีพฤติกรรมปิดกั้นพระสงฆ์ถูกขึ้น “บัญชีดำ”ไม่ให้เทศนาเผยแพร่หลักธรรมคำสอนผ่านทางสถานีวิทยุ โดยอ้างว่ามักนำเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
ผิดศีลธรรมมิอายสู้ผิดใจนายกฯ
ความผิดของพระสงฆ์บางรูปในสายตาของรัฐบาล คือ มักเทศนาคอยเตือนสติสังคมให้รู้เท่าทัน “นักธุรกิจการเมือง” ที่กำลังรวมหัวกันทุจริตต่อบ้านเมือง ไม่ให้หลงคล้อยตามกับวัตถุนิยม หรือหลงใหลไปกับภาพลวงตาที่รัฐบาลปรุงแต่งตบตาประชาชนอยู่ในเวลานี้เท่านั้นเอง
สำหรับพระสงฆ์ที่ถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเทศน์ออกอากาศดังกล่าวเป็นพระระดับสังฆาธิการหรือพระเถระชั้นผู้ใหญ่ถึง 4 รูป คือ พระภาวนาสุทธิคุณ หรือ “หลวงป๋า” เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จังหวัดราชบุรี, พระพิพิธธรรมสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เทพวราราม, หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อยนครปฐม และหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์
ขณะเดียวกันหากมองย้อนกลับไปจะพบว่า พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ดังกล่าวได้เทศนาออกอากาศผ่านทางวิทยุมาแล้วเป็นเวลานานและผ่านมาแล้วหลายรัฐบาล บางรูปเคยเทศนาให้ชาวบ้านได้ดื่มด่ำในรสพระธรรมไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางนานต่อเนื่องกันถึง 20 ปี แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น
ดังกรณีพระภาวนาสุทธิคุณ หรือ “หลวงป๋า” หนึ่งในพระสงฆ์ถูกห้ามเทศนาออกอากาศหัวข้อปาฐกถาธรรมทางสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย ที่ผ่านมาได้เทศนาที่สถานีวิทยุแห่งนี้มานานถึง 7 ปี พบว่า ได้แสดงปาฐกถาธรรมครอบคลุมไว้ทุกด้าน เช่น ตั้งแต่หลักธรรมของตนเอง หลักธรรมที่ต้องปฏิบัติต่อผู้อื่น หลักธรรมสำหรับสร้างความสงบสุขในสังคม เป็นต้น
ในการแสดงปาฐกถาธรรมบางครั้งจะมีประเด็นเกี่ยวข้องกับสถานการณ์บ้านเมือง เช่น เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 43 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเลือกตั้ง ได้แสดงปาฐกถาธรรม เรื่องหลักการครองบ้านเมือง โดยส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมที่แสดงไว้ในวันนั้น คือ คุณสมบัติของคนดีที่ควรเลือกเข้ามาบริหารประเทศ
หลังจากเลือกตั้ง ส.ส.ในปี 2544 เป็นระยะเวลาการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน หลวงป๋าได้แสดงปาฐกถาธรรมเรื่อง “คุณสมบัติของนักบริหาร” ส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องการจัดตั้งรัฐบาล คือ นายกรัฐมนตรีจะต้องใช้ประมุขศิลป์อย่างเข้มแข็ง เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวมเป็นสำคัญ เพื่อให้ได้คนดี มีฝีมือ มีคุณธรรมสูงที่สุดเป็นคณะรัฐมนตรี ถือว่าเป็นการเทศนาเตือนสติสังคมตามปกติเท่านั้น ในขณะที่พระรูปอื่นๆ ที่โดนขึ้นบัญชีดำก็มีสถานะเดียวกัน
วิจารณ์นโยบายผู้นำรัฐบาลต้นเหตุถูกคำสั่งห้าม
ในยุคนี้อาจมีในบางครั้งพระสังฆาธิการบางรูปออกมาตำหนิและต่อต้านในเรื่องของการส่งเสริมอบายมุข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ หวยบนดิน หรือความพยายามในการเปิดบ่อนอย่างถูกต้องตามกฏหมายในลักษณะของเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ก็ตาม รวมทั้งกรณีมีความพยายามขายสลากเพื่อระดมทุนจากประชาชนในการซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลหรือ “หวยหงส์” เป็นต้น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
หากย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน กว่า 3 ปีที่ นายกฯทักษิณ และพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ มักมีพฤติกรรมข่มขู่คุกคามหรือตอบโต้อย่างรุนแรงกับนักวิชาการ หรือกลุ่มองค์กรเอกชนรวมทั้งสื่อต่างๆ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็น คอยท้วงติง ชี้ให้เห็นถึงจุดพร่องในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่แทนที่รัฐบาลจะน้อมรับฟังและนำไปแก้ไขกลับแสดงท่าทีเหยียดหยามในทำนองว่าเป็นพวกรู้ไม่จริง เป็นพวก “ขาประจำ” ต้องการดิสเครดิตรัฐบาลเท่านั้น
ครั้งหนึ่งถึงกับออกมาตอบโต้ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ยังถูก นายกฯทักษิณ กล่าวตำหนิว่า เป็นการพูดเพื่อแสดงความเด่น หรืออยากเป็นพระเอก อยากดังเท่านั้น นอกจากนี้ น.พ.ประเวศ วะสีราษฎรอาวุโสถูกตำหนิว่า พวกรู้ไม่จริง มองโลกอยู่ในมิติเดียว หลังที่ออกมาเตือนสติในเรื่องของระบบการเมืองแบบใช้เงินเป็นใหญ่ แบบธนาธิปไตย เพราะเป็นเรื่องอัปมงคลและนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงในอนาคต ดังนั้นถ้าพิจารณาถึงลำดับช่วงเวลาแล้วจะเห็นได้ว่านับวันพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลส่อไปในทางอำนาจนิยมมากขึ้น ไม่ชอบฟังความเห็นที่แตกต่างหรือการตรวจสอบตนเอง
สรุป
พฤติกรรมของรัฐบาลที่กระทำต่อพระสงฆ์ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศที่ส่อไปในทางเผด็จการ อำนาจนิยมอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะแม้แต่ในยุคที่บ้านเมืองเป็นเผด็จการ หรืออยู่ในยุคของรัฐบาลทหารมาจากการปฏิวัติรัฐประหารก็ไม่เคยมีบรรยากาศแบบนี้มาก่อน สิ่งที่เป็นอยู่เวลานี้นับว่า มีเจตนาปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นหรือการตรวจสอบจากสังคม ขัดขวางขบวนการประชาธิปไตย และพระสงฆ์ถือเป็นกลุ่มล่าสุดในสังคมนี้ที่ถูกกระทำ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับกลุ่มองค์กรเอกชน นักวิชาการมาแล้ว
ที่สำคัญพฤติกรรมครั้งนี้แสดงถึงความต้องการสูงสุดของผู้นำคนนี้ที่จะตั้งตนเป็นเทวดาเหนือคนทั้งมวล ในการควบคุมทั้งร่างกายทรัพย์สมบัติ ตลอดจนจิตใจประชาชน โดยการควบคุมระบบศีลธรรมและความคิดประชาชนจากการถ่วงอำนาจศาสนา การที่รัฐบาลแสดงออกมาแบบนี้ ส่อเจตนาให้เห็นว่าต้องการปิดบังบางสิ่งบางอย่างที่ได้เคยทำเอาไว้ โดยเฉพาะการทุจริตหลายโครงการที่กำลังถูกเปิดโปงออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-
ตลอดเวลาที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศเป็นเวลาเกือบ 4 ปีจะถูกกล่าวหาและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่ายในสังคมอยู่เสมอว่า มีการปิดกั้นหรือไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าฝ่ายค้าน กลุ่มองค์กรเอกชน นักวิชาการ และล่าสุดกำลังมีพฤติกรรมปิดกั้นพระสงฆ์ถูกขึ้น “บัญชีดำ”ไม่ให้เทศนาเผยแพร่หลักธรรมคำสอนผ่านทางสถานีวิทยุ โดยอ้างว่ามักนำเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
ผิดศีลธรรมมิอายสู้ผิดใจนายกฯ
ความผิดของพระสงฆ์บางรูปในสายตาของรัฐบาล คือ มักเทศนาคอยเตือนสติสังคมให้รู้เท่าทัน “นักธุรกิจการเมือง” ที่กำลังรวมหัวกันทุจริตต่อบ้านเมือง ไม่ให้หลงคล้อยตามกับวัตถุนิยม หรือหลงใหลไปกับภาพลวงตาที่รัฐบาลปรุงแต่งตบตาประชาชนอยู่ในเวลานี้เท่านั้นเอง
สำหรับพระสงฆ์ที่ถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเทศน์ออกอากาศดังกล่าวเป็นพระระดับสังฆาธิการหรือพระเถระชั้นผู้ใหญ่ถึง 4 รูป คือ พระภาวนาสุทธิคุณ หรือ “หลวงป๋า” เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จังหวัดราชบุรี, พระพิพิธธรรมสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เทพวราราม, หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อยนครปฐม และหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์
ขณะเดียวกันหากมองย้อนกลับไปจะพบว่า พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ดังกล่าวได้เทศนาออกอากาศผ่านทางวิทยุมาแล้วเป็นเวลานานและผ่านมาแล้วหลายรัฐบาล บางรูปเคยเทศนาให้ชาวบ้านได้ดื่มด่ำในรสพระธรรมไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางนานต่อเนื่องกันถึง 20 ปี แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น
ดังกรณีพระภาวนาสุทธิคุณ หรือ “หลวงป๋า” หนึ่งในพระสงฆ์ถูกห้ามเทศนาออกอากาศหัวข้อปาฐกถาธรรมทางสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย ที่ผ่านมาได้เทศนาที่สถานีวิทยุแห่งนี้มานานถึง 7 ปี พบว่า ได้แสดงปาฐกถาธรรมครอบคลุมไว้ทุกด้าน เช่น ตั้งแต่หลักธรรมของตนเอง หลักธรรมที่ต้องปฏิบัติต่อผู้อื่น หลักธรรมสำหรับสร้างความสงบสุขในสังคม เป็นต้น
ในการแสดงปาฐกถาธรรมบางครั้งจะมีประเด็นเกี่ยวข้องกับสถานการณ์บ้านเมือง เช่น เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 43 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเลือกตั้ง ได้แสดงปาฐกถาธรรม เรื่องหลักการครองบ้านเมือง โดยส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมที่แสดงไว้ในวันนั้น คือ คุณสมบัติของคนดีที่ควรเลือกเข้ามาบริหารประเทศ
หลังจากเลือกตั้ง ส.ส.ในปี 2544 เป็นระยะเวลาการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน หลวงป๋าได้แสดงปาฐกถาธรรมเรื่อง “คุณสมบัติของนักบริหาร” ส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องการจัดตั้งรัฐบาล คือ นายกรัฐมนตรีจะต้องใช้ประมุขศิลป์อย่างเข้มแข็ง เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวมเป็นสำคัญ เพื่อให้ได้คนดี มีฝีมือ มีคุณธรรมสูงที่สุดเป็นคณะรัฐมนตรี ถือว่าเป็นการเทศนาเตือนสติสังคมตามปกติเท่านั้น ในขณะที่พระรูปอื่นๆ ที่โดนขึ้นบัญชีดำก็มีสถานะเดียวกัน
วิจารณ์นโยบายผู้นำรัฐบาลต้นเหตุถูกคำสั่งห้าม
ในยุคนี้อาจมีในบางครั้งพระสังฆาธิการบางรูปออกมาตำหนิและต่อต้านในเรื่องของการส่งเสริมอบายมุข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ หวยบนดิน หรือความพยายามในการเปิดบ่อนอย่างถูกต้องตามกฏหมายในลักษณะของเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ก็ตาม รวมทั้งกรณีมีความพยายามขายสลากเพื่อระดมทุนจากประชาชนในการซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลหรือ “หวยหงส์” เป็นต้น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
หากย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน กว่า 3 ปีที่ นายกฯทักษิณ และพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ มักมีพฤติกรรมข่มขู่คุกคามหรือตอบโต้อย่างรุนแรงกับนักวิชาการ หรือกลุ่มองค์กรเอกชนรวมทั้งสื่อต่างๆ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็น คอยท้วงติง ชี้ให้เห็นถึงจุดพร่องในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่แทนที่รัฐบาลจะน้อมรับฟังและนำไปแก้ไขกลับแสดงท่าทีเหยียดหยามในทำนองว่าเป็นพวกรู้ไม่จริง เป็นพวก “ขาประจำ” ต้องการดิสเครดิตรัฐบาลเท่านั้น
ครั้งหนึ่งถึงกับออกมาตอบโต้ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ยังถูก นายกฯทักษิณ กล่าวตำหนิว่า เป็นการพูดเพื่อแสดงความเด่น หรืออยากเป็นพระเอก อยากดังเท่านั้น นอกจากนี้ น.พ.ประเวศ วะสีราษฎรอาวุโสถูกตำหนิว่า พวกรู้ไม่จริง มองโลกอยู่ในมิติเดียว หลังที่ออกมาเตือนสติในเรื่องของระบบการเมืองแบบใช้เงินเป็นใหญ่ แบบธนาธิปไตย เพราะเป็นเรื่องอัปมงคลและนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงในอนาคต ดังนั้นถ้าพิจารณาถึงลำดับช่วงเวลาแล้วจะเห็นได้ว่านับวันพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลส่อไปในทางอำนาจนิยมมากขึ้น ไม่ชอบฟังความเห็นที่แตกต่างหรือการตรวจสอบตนเอง
สรุป
พฤติกรรมของรัฐบาลที่กระทำต่อพระสงฆ์ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศที่ส่อไปในทางเผด็จการ อำนาจนิยมอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะแม้แต่ในยุคที่บ้านเมืองเป็นเผด็จการ หรืออยู่ในยุคของรัฐบาลทหารมาจากการปฏิวัติรัฐประหารก็ไม่เคยมีบรรยากาศแบบนี้มาก่อน สิ่งที่เป็นอยู่เวลานี้นับว่า มีเจตนาปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นหรือการตรวจสอบจากสังคม ขัดขวางขบวนการประชาธิปไตย และพระสงฆ์ถือเป็นกลุ่มล่าสุดในสังคมนี้ที่ถูกกระทำ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับกลุ่มองค์กรเอกชน นักวิชาการมาแล้ว
ที่สำคัญพฤติกรรมครั้งนี้แสดงถึงความต้องการสูงสุดของผู้นำคนนี้ที่จะตั้งตนเป็นเทวดาเหนือคนทั้งมวล ในการควบคุมทั้งร่างกายทรัพย์สมบัติ ตลอดจนจิตใจประชาชน โดยการควบคุมระบบศีลธรรมและความคิดประชาชนจากการถ่วงอำนาจศาสนา การที่รัฐบาลแสดงออกมาแบบนี้ ส่อเจตนาให้เห็นว่าต้องการปิดบังบางสิ่งบางอย่างที่ได้เคยทำเอาไว้ โดยเฉพาะการทุจริตหลายโครงการที่กำลังถูกเปิดโปงออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-