อุตสาหกรรมเครื่องหนังเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับหนังสัตว์ ทั้งอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อขายในประเทศ หรือเพื่อส่งออก สามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาปีละหลายหมื่นล้านบาท รวมทั้งก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ช่วยสร้างงานให้แก่แรงงานฝีมือจำนวนไม่น้อยกว่า 500,000 คน ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมนี้ นอกจากนี้ทางภาครัฐได้มีนโยบายส่งเสริมให้อุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยอีกด้วย
สถานการณ์ปัจจุบันของการส่งออกหนังและเครื่องหนังของไทย ต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก โดยเฉพาะประเทศคู่แข่งที่สำคัญคือ จีน รวมทั้งความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ เนื่องจากวัตถุดิบในประเทศไม่เพียงพอ และมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานที่ต่างประเทศต้องการ โดยวัตถุดิบที่ต้องนำเข้า ได้แก่ หนังแท้คุณภาพดี วัสดุประกอบ กาว พลาสติก และเคมีภัณฑ์ ทำให้การส่งออกหนังและเครื่องหนังไทยชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
เมื่อพิจารณาค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index: TISI) ของอุตสาหกรรมหนังและผลิตภัณฑ์หนัง ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน 2547 พบว่ามีดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมอยู่ในระดับสูงกว่า 100 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมอยู่ในระดับดี ซึ่งในเดือนเมษายนดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม จาก 109.3 เป็น 121.0 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมในทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของอุตสาหกรรมรองเท้า พบว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมรองเท้าอยู่ในระดับที่ไม่ดี โดยดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวลดลงจาก 114.3 เป็น 95.7 ในเดือนเมษายน
ภาวะการส่งออกสินค้าในอุตสาหกรรมเครื่องหนังไทยในช่วงมกราคม-เมษายน 2547 ในภาพรวมพบว่าการส่งออกสินค้าในอุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยเกือบทั้งหมดยกเว้น สินค้าหนังโคกระบือฟอก รองเท้าหนัง และกระเป๋าถือ มีมูลค่าการส่งออกปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 โดยมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมดเท่ากับ 18,912.40 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวของการส่งออกลดลงร้อยละ 10.79 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 โดยเป็นมูลค่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มรองเท้าและชิ้นส่วนมากที่สุดเท่ากับ 10,314.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 54.54 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวของการส่งออกลดลงร้อยละ 9.06 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 รองลงมาคือ การส่งออกกลุ่มสินค้าหนังและผลิตหนังฟอกและหนังอัด และกลุ่มสินค้าเครื่องใช้สำหรับเดินทาง โดยมีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นร้อยละ 30.88 และร้อยละ 14.58 ตามลำดับสินค้าในกลุ่มรองเท้าและชิ้นส่วนที่มีการส่งออกมากที่สุดในช่วงมกราคม-เมษายน 2547 คือ รองเท้ากีฬา มีมูลค่าเท่ากับ 5,498.60 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.31 ของมูลค่าการส่งออก สินค้ากลุ่มรองเท้าและชิ้นส่วนทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 12.80 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 รองลงมาได้แก่ รองเท้าหนัง และรองเท้าแตะ ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นร้อยละ 22.99 และ 15.50 ตามลำดับ
สินค้าในกลุ่มหนังและผลิตภัณฑ์หนังฟอกและหนังอัดที่มีการส่งออกมากที่สุดคือ สินค้าหนังและผลิตภัณฑ์หนังอื่นๆ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 3,580.30 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนการส่งออกถึงร้อยละ 61.31 ของการส่งออกในกลุ่มหนังและผลิตภัณฑ์หนัง และมีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 28.70 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 รองลงมาได้แก่ สินค้าหนังโคกระบือฟอก ถุงมือหนัง และของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.22, ร้อยละ 11.62 และร้อยละ 11.07 ตามลำดับ
สินค้าในกลุ่มเครื่องใช้สำหรับเดินทางที่มีการส่งออกมากที่สุดคือกระเป๋าเดินทาง มีมูลค่าเท่ากับ 1,276 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนการส่งออกถึงร้อยละ 46.27 ของการส่งออกรวมสินค้ากลุ่มเครื่องใช้สำหรับเดินทาง และมีอัตราการขยายตัวของการส่งออกลดลงร้อยละ 10.26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 รองลงมาได้แก่ เครื่องเดินทางอื่นๆ และกระเป๋าถือ ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 26.88 และ ร้อยละ 19.87 ตามลำดับ
ส่วนการภาวะการนำเข้าในอุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน 2547 พบว่ามีมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์หนัง เท่ากับ 448.3 ล้านบาท มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 ส่วนการนำเข้าหนังดิบและหนังฟอก มีมูลค่านำเข้าเท่ากับ 6,444.70 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 6.55 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546
จากภาวะดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรม และภาวะการค้าในอุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยดังกล่าวข้างต้น ถึงแม้ว่าผู้ประกอบการจะมีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมหนังและผลิตภัณฑ์หนังอยู่ในระดับที่ดี แต่สถานการณ์การส่งออกของสินค้าในอุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยกลับมีการชะลอตัวลง ดังนั้น ผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเอสเอ็มอีกว่า 40% ต้องมีการปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งหาทิศทางใหม่ๆ ในการพัฒนาสินค้าในอุตสาหกรรมเครื่องหนัง เช่น การมุ่งพัฒนางานดีไซน์ให้มีรูปแบบที่ทันสมัย และได้มาตรฐานตามความต้องการของตลาด การสร้างแบรนด์ของตนเองให้เป็นที่ยอมรับ ตลอดจนการดำเนินการด้านช่องทางการตลาด ซึ่งล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยพัฒนาต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ทางภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมเครื่องหนัง ได้ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเครื่องหนังของภูมิภาคเอเชีย โดยได้จัดงาน OTOP-SME-BOI Made in Thailand เพื่อช่วยส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังไทยสามารถสร้าง Country Image ให้เป็นที่รู้จักแก่นานาประเทศ และกลุ่มประเทศชั้นนำในตลาดเครื่องหนังของโลก เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส เป็นต้น ซึ่งทำให้กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีกลุ่มผู้ผลิตเครื่องหนังของประเทศสามารถขยายตลาดการส่งออกเพิ่มมากขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่าได้ในอนาคต
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
สถานการณ์ปัจจุบันของการส่งออกหนังและเครื่องหนังของไทย ต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก โดยเฉพาะประเทศคู่แข่งที่สำคัญคือ จีน รวมทั้งความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ เนื่องจากวัตถุดิบในประเทศไม่เพียงพอ และมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานที่ต่างประเทศต้องการ โดยวัตถุดิบที่ต้องนำเข้า ได้แก่ หนังแท้คุณภาพดี วัสดุประกอบ กาว พลาสติก และเคมีภัณฑ์ ทำให้การส่งออกหนังและเครื่องหนังไทยชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
เมื่อพิจารณาค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index: TISI) ของอุตสาหกรรมหนังและผลิตภัณฑ์หนัง ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน 2547 พบว่ามีดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมอยู่ในระดับสูงกว่า 100 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมอยู่ในระดับดี ซึ่งในเดือนเมษายนดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม จาก 109.3 เป็น 121.0 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมในทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของอุตสาหกรรมรองเท้า พบว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมรองเท้าอยู่ในระดับที่ไม่ดี โดยดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวลดลงจาก 114.3 เป็น 95.7 ในเดือนเมษายน
ภาวะการส่งออกสินค้าในอุตสาหกรรมเครื่องหนังไทยในช่วงมกราคม-เมษายน 2547 ในภาพรวมพบว่าการส่งออกสินค้าในอุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยเกือบทั้งหมดยกเว้น สินค้าหนังโคกระบือฟอก รองเท้าหนัง และกระเป๋าถือ มีมูลค่าการส่งออกปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 โดยมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมดเท่ากับ 18,912.40 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวของการส่งออกลดลงร้อยละ 10.79 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 โดยเป็นมูลค่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มรองเท้าและชิ้นส่วนมากที่สุดเท่ากับ 10,314.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 54.54 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวของการส่งออกลดลงร้อยละ 9.06 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 รองลงมาคือ การส่งออกกลุ่มสินค้าหนังและผลิตหนังฟอกและหนังอัด และกลุ่มสินค้าเครื่องใช้สำหรับเดินทาง โดยมีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นร้อยละ 30.88 และร้อยละ 14.58 ตามลำดับสินค้าในกลุ่มรองเท้าและชิ้นส่วนที่มีการส่งออกมากที่สุดในช่วงมกราคม-เมษายน 2547 คือ รองเท้ากีฬา มีมูลค่าเท่ากับ 5,498.60 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.31 ของมูลค่าการส่งออก สินค้ากลุ่มรองเท้าและชิ้นส่วนทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 12.80 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 รองลงมาได้แก่ รองเท้าหนัง และรองเท้าแตะ ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นร้อยละ 22.99 และ 15.50 ตามลำดับ
สินค้าในกลุ่มหนังและผลิตภัณฑ์หนังฟอกและหนังอัดที่มีการส่งออกมากที่สุดคือ สินค้าหนังและผลิตภัณฑ์หนังอื่นๆ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 3,580.30 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนการส่งออกถึงร้อยละ 61.31 ของการส่งออกในกลุ่มหนังและผลิตภัณฑ์หนัง และมีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 28.70 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 รองลงมาได้แก่ สินค้าหนังโคกระบือฟอก ถุงมือหนัง และของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.22, ร้อยละ 11.62 และร้อยละ 11.07 ตามลำดับ
สินค้าในกลุ่มเครื่องใช้สำหรับเดินทางที่มีการส่งออกมากที่สุดคือกระเป๋าเดินทาง มีมูลค่าเท่ากับ 1,276 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนการส่งออกถึงร้อยละ 46.27 ของการส่งออกรวมสินค้ากลุ่มเครื่องใช้สำหรับเดินทาง และมีอัตราการขยายตัวของการส่งออกลดลงร้อยละ 10.26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 รองลงมาได้แก่ เครื่องเดินทางอื่นๆ และกระเป๋าถือ ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 26.88 และ ร้อยละ 19.87 ตามลำดับ
ส่วนการภาวะการนำเข้าในอุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน 2547 พบว่ามีมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์หนัง เท่ากับ 448.3 ล้านบาท มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 ส่วนการนำเข้าหนังดิบและหนังฟอก มีมูลค่านำเข้าเท่ากับ 6,444.70 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 6.55 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546
จากภาวะดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรม และภาวะการค้าในอุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยดังกล่าวข้างต้น ถึงแม้ว่าผู้ประกอบการจะมีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมหนังและผลิตภัณฑ์หนังอยู่ในระดับที่ดี แต่สถานการณ์การส่งออกของสินค้าในอุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยกลับมีการชะลอตัวลง ดังนั้น ผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเอสเอ็มอีกว่า 40% ต้องมีการปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งหาทิศทางใหม่ๆ ในการพัฒนาสินค้าในอุตสาหกรรมเครื่องหนัง เช่น การมุ่งพัฒนางานดีไซน์ให้มีรูปแบบที่ทันสมัย และได้มาตรฐานตามความต้องการของตลาด การสร้างแบรนด์ของตนเองให้เป็นที่ยอมรับ ตลอดจนการดำเนินการด้านช่องทางการตลาด ซึ่งล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยพัฒนาต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ทางภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมเครื่องหนัง ได้ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเครื่องหนังของภูมิภาคเอเชีย โดยได้จัดงาน OTOP-SME-BOI Made in Thailand เพื่อช่วยส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังไทยสามารถสร้าง Country Image ให้เป็นที่รู้จักแก่นานาประเทศ และกลุ่มประเทศชั้นนำในตลาดเครื่องหนังของโลก เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส เป็นต้น ซึ่งทำให้กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีกลุ่มผู้ผลิตเครื่องหนังของประเทศสามารถขยายตลาดการส่งออกเพิ่มมากขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่าได้ในอนาคต
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-