การเจรจา FTA ระหว่างประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา ในอุตสาหกรรมสิ่งทอยังไม่ได้ข้อยุติ เนื่องจากสหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้ใช้แหล่งกำเนิดสิ่งทอ/เสื้อผ้าสำเร็จรูปแบบ "Yarn Forward" คือการกำหนดให้ใช้วัตถุดิบที่ผลิตในประเทศไทย-ประเทศสหรัฐอเมริกา 100% เท่านั้น จึงจะได้สิทธิ FTA ทั้งที่แบบเดิมนำเข้าผ้าผืนเข้ามาผลิตในไทยส่งออกก็ได้ ภาคเอกชนประเมินจะมีผู้ส่งออกไม่ถึง 50% ที่ได้ประโยชน์ และเห็นว่าการเปิดเสรีทางการค้าในหมวดสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ของประเทศสหรัฐอเมริกามีเงื่อนไขที่สูงจนอาจจะทำให้ภาคเอกชนไม่สามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ได้อย่างที่ตั้งความหวังไว้
FTA นั้นถือเป็นกับดักเศรษฐกิจที่สามารถเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการค้าระหว่างประเทศของไทยอย่างมากมายในอนาคตได้ FTA อาจจะเป็นนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่รัฐบาลเข้ามามีบทบาทแทรกแซงน้อยที่สุด โดยปล่อยให้เอกชนดำเนินการค้าระหว่างประเทศโดยปราศจากสิ่งกีดขวางและข้อจำกัดเสรีภาพทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตั้งกำแพงภาษี การกำหนดโควตาสินค้าเข้าและสินค้าออก การควบคุมอุตสาหกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ โดยภาครัฐจะไม่ควบคุมหรือกระทำการโดๆ ที่เป็นอุปสรรคกีดขวางการค้าระหว่างประเทศโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศดำเนินและขยายตัวไปกว้างขวาง ซึ่งจะช่วยจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และเป็นผลดีกับสวัสดิการเศรษฐกิจ ตลอดจนเกิดประโยชน์ต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคส่วนรวม
การจัดทำเขตการค้าเสรีกับประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูปนั้นน่าจะได้ประโยชน์มาก เพราะสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย แต่หลังจากข่าวเรื่องการตกลงสิ่งทอที่สหรัฐฯ ทำกับสิงคโปร์และออสเตรเลีย เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดสินค้าของสิ่งทอแล้ว ทำให้ภาคเอกชนผู้ส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปมองว่าจะไม่ได้ประโยขน์จากข้อตกลงดังกล่าวเท่าที่ควร ใน เรื่องที่สหรัฐฯ ยืนยันจะใช้กฎเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้าสิ่งทอที่เรียกว่า Yarn Forward"
ทั้งนี้ความหมายของ Yarn Forward ก็คือหากต้องการให้แหล่งกำเนิดสินค้าสิ่งทอเป็นของประเทศผู้ผลิต ก็จะต้องใช้วัตถุดิบในประเทศผู้ผลิตเอง หรือนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐ ตั้งแต่เส้นด้ายจนถึงสินค้าสำเร็จรูปชิ้นสุดท้าย (ผ้าผืน- เสื้อผ้าสำเร็จรูป) เหตุผลของการใช้แหล่งกำเนิดรูปแบบนี้ก็คือสหรัฐฯ ต้องการส่งออกฝ้ายไปยังประเทศที่สหรัฐฯ ทำ FTA ด้วย ขณะที่แหล่งกำเนิดสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปปัจจุบันของไทย-สหรัฐฯ ใช้รูปแบบ "หลักการแปรสภาพอย่างเพียงพอ" (Substantial Transformation) ที่ระบุว่า หากนำเข้าผ้าผืนมาและแปรสภาพสินค้าในไทยเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป ถือว่าได้แหล่งกำเนิดสินค้าในไทย เพราะมีการเปลี่ยนพิกัดสินค้า ซึ่งการที่สหรัฐฯ ตั้งเงื่อนไขแหล่งกำเนิดสินค้าแบบ Yarn Forward ได้ก่อให้เกิดปัญหากับผู้ส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปไทยมาก เนื่องจากผู้ส่งออก 80% ที่ส่งสินค้าไปสหรัฐเป็นผู้รับจ้างผลิต ดังนั้นการใช้วัตถุดิบต่างๆ ผู้ซื้อจะเป็นผู้กำหนดให้ ที่ผ่านมาผู้ซื้อมักจะกำหนดให้ใช้ผ้าผืนจากประเทศอื่น ซึ่งมีการใช้ผ้าผืนที่ผลิตในไทยน้อยมาก ดังนั้นหากต้องใช้ Yarn Forward จริง ผู้ส่งออกไทยจะใช้ประโยชน์จากการทำ FTA กับสหรัฐฯ ได้น้อยมาก โดยรูปแบบแหล่งกำเนิดสินค้าที่ผู้ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปไทยจะได้ประโยชน์มากที่สุดคือ การกำหนดสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) และหลักการแปรสภาพอย่างเพียงพอ แต่หากใช้แบบ Yarn Forward ผู้ซื้อในสหรัฐฯ คงไม่ยอมรับ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นประโยชน์กับผู้ซื้อที่จะซื้อสินค้าจากไทยในราคาต่ำ หากใช้แหล่งกำเนิดสินค้าแบบ Yarn Forward ผู้ผลิตผ้าผืนในไทยไม่สามารถผลิตผ้าบางชนิดให้มีคุณภาพเหมาะกับการตัดเสื้อผ้าสำเร็จรูปได้ เช่น ผ้าร่ม ดังนั้น สินค้าในกลุ่มนี้จึงไม่สามารถใช้แหล่งกำเนิดสินค้าของไทยได้การที่สหรัฐฯ ไม่ต้องการเปิดเสรีสิ่งทอ เนื่องจากอุตสาหกรรมภายในประเทศมีความเข็มแข็ง โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอมีแนวโน้มว่าสหรัฐฯ จะใช้วิธีกำหนดแหล่งกำเนิดสินค้าแบบ Yarn Forward ก็จะไม่สามารถใช้สิทธิตาม FTA ได้ หรือต้องเสียภาษีในอัตราปกติ คือ 0-32% สำหรับการเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายนนี้
และในปี 2548 นี้ประเทศผู้นำเข้าต่างๆ จะต้องยกเลิกโควตาสิ่งทอ ซึ่งการค้าสิ่งทอภายใต้สภาวะ"ไร้โควตา" ภายใน 6 ปีข้างหน้านี้ย่อมเป็นสิ่งที่น่ายินดีสำหรับอุตสาหกรรมที่มีความพร้อมในการแข่งขันในตลาดโลก แต่อาจกลายเป็นดาบสองคมหากประเทศผู้ส่งออกใดขาดซึ่งความพร้อมในการแข่งขันภายใต้กฏเกณฑ์ "ใครดีใครอยู่" ซึ่งนั่นอาจหมายถึงจุดจบของอุตสาหกรรมสิ่งทอในประเทศนั้นอย่างง่ายดาย ซึ่งการแข่งขันระหว่างประเทศผู้ส่งออกทั้งในระดับบนและล่าง ในขณะที่ประเทศผู้ส่งออกระดับบนจะมีความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีการผลิต และเรื่องแบรนด์เนม ดังเช่นหลายประเทศในยุโรป ส่วนประเทศผู้ส่งออกระดับล่างจะมีความได้เปรียบจากปัจจัยการผลิตและราคา อาทิ ค่าแรงต่ำ สิทธิพิเศษทางการค้า (จีเอสพี) ฯลฯ ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าเส้นทางการค้าสิ่งทอในอนาคตสำหรับประเทศไทยต้องมีการปรับตัวทางอุตสาหกรรมและการยกระดับมารตฐานสินค้าอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องเพื่อความอยู่รอดในระยะยาว จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยควรมีความตื่นตัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอุตสาหกรรมที่เคยได้รับการปกป้องจากการแข่งขัน ด้วยอานิสงค์ของระบบโควตา รวมทั้งการแข่งขันที่จะมีมากขึ้น การเข้มงวดของสหรัฐฯ ในเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า ดังนั้นภาคเอกชนที่ต้องการใช้ประโยชน์จาก FTA จะต้องปรับระบบบัญชีต่างๆ ใหม่ ต้องมีการทำรายงานว่าสินค้าตัวนี้ใช้วัตถุดิบจากไหน มีแรงงานเท่าไหร่ ซึ่งไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำ FTA กับสหรัฐฯ ได้ เพราะหากไทยช้า จะไม่สามารถแข่งขันได้ และเมื่อต้องการทำ ก็จำเป็นที่จะต้องยอมรับเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ต้องการ เข่นในเรื่อง Yarn Forward แต่อย่างไรก็ตามการเจรจาอาจจะขอให้มีข้อยกเว้นต่อท้ายและน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าที่จะไม่ยอมรับทั้งหมด
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
FTA นั้นถือเป็นกับดักเศรษฐกิจที่สามารถเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการค้าระหว่างประเทศของไทยอย่างมากมายในอนาคตได้ FTA อาจจะเป็นนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่รัฐบาลเข้ามามีบทบาทแทรกแซงน้อยที่สุด โดยปล่อยให้เอกชนดำเนินการค้าระหว่างประเทศโดยปราศจากสิ่งกีดขวางและข้อจำกัดเสรีภาพทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตั้งกำแพงภาษี การกำหนดโควตาสินค้าเข้าและสินค้าออก การควบคุมอุตสาหกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ โดยภาครัฐจะไม่ควบคุมหรือกระทำการโดๆ ที่เป็นอุปสรรคกีดขวางการค้าระหว่างประเทศโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศดำเนินและขยายตัวไปกว้างขวาง ซึ่งจะช่วยจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และเป็นผลดีกับสวัสดิการเศรษฐกิจ ตลอดจนเกิดประโยชน์ต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคส่วนรวม
การจัดทำเขตการค้าเสรีกับประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูปนั้นน่าจะได้ประโยชน์มาก เพราะสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย แต่หลังจากข่าวเรื่องการตกลงสิ่งทอที่สหรัฐฯ ทำกับสิงคโปร์และออสเตรเลีย เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดสินค้าของสิ่งทอแล้ว ทำให้ภาคเอกชนผู้ส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปมองว่าจะไม่ได้ประโยขน์จากข้อตกลงดังกล่าวเท่าที่ควร ใน เรื่องที่สหรัฐฯ ยืนยันจะใช้กฎเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้าสิ่งทอที่เรียกว่า Yarn Forward"
ทั้งนี้ความหมายของ Yarn Forward ก็คือหากต้องการให้แหล่งกำเนิดสินค้าสิ่งทอเป็นของประเทศผู้ผลิต ก็จะต้องใช้วัตถุดิบในประเทศผู้ผลิตเอง หรือนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐ ตั้งแต่เส้นด้ายจนถึงสินค้าสำเร็จรูปชิ้นสุดท้าย (ผ้าผืน- เสื้อผ้าสำเร็จรูป) เหตุผลของการใช้แหล่งกำเนิดรูปแบบนี้ก็คือสหรัฐฯ ต้องการส่งออกฝ้ายไปยังประเทศที่สหรัฐฯ ทำ FTA ด้วย ขณะที่แหล่งกำเนิดสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปปัจจุบันของไทย-สหรัฐฯ ใช้รูปแบบ "หลักการแปรสภาพอย่างเพียงพอ" (Substantial Transformation) ที่ระบุว่า หากนำเข้าผ้าผืนมาและแปรสภาพสินค้าในไทยเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป ถือว่าได้แหล่งกำเนิดสินค้าในไทย เพราะมีการเปลี่ยนพิกัดสินค้า ซึ่งการที่สหรัฐฯ ตั้งเงื่อนไขแหล่งกำเนิดสินค้าแบบ Yarn Forward ได้ก่อให้เกิดปัญหากับผู้ส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปไทยมาก เนื่องจากผู้ส่งออก 80% ที่ส่งสินค้าไปสหรัฐเป็นผู้รับจ้างผลิต ดังนั้นการใช้วัตถุดิบต่างๆ ผู้ซื้อจะเป็นผู้กำหนดให้ ที่ผ่านมาผู้ซื้อมักจะกำหนดให้ใช้ผ้าผืนจากประเทศอื่น ซึ่งมีการใช้ผ้าผืนที่ผลิตในไทยน้อยมาก ดังนั้นหากต้องใช้ Yarn Forward จริง ผู้ส่งออกไทยจะใช้ประโยชน์จากการทำ FTA กับสหรัฐฯ ได้น้อยมาก โดยรูปแบบแหล่งกำเนิดสินค้าที่ผู้ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปไทยจะได้ประโยชน์มากที่สุดคือ การกำหนดสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) และหลักการแปรสภาพอย่างเพียงพอ แต่หากใช้แบบ Yarn Forward ผู้ซื้อในสหรัฐฯ คงไม่ยอมรับ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นประโยชน์กับผู้ซื้อที่จะซื้อสินค้าจากไทยในราคาต่ำ หากใช้แหล่งกำเนิดสินค้าแบบ Yarn Forward ผู้ผลิตผ้าผืนในไทยไม่สามารถผลิตผ้าบางชนิดให้มีคุณภาพเหมาะกับการตัดเสื้อผ้าสำเร็จรูปได้ เช่น ผ้าร่ม ดังนั้น สินค้าในกลุ่มนี้จึงไม่สามารถใช้แหล่งกำเนิดสินค้าของไทยได้การที่สหรัฐฯ ไม่ต้องการเปิดเสรีสิ่งทอ เนื่องจากอุตสาหกรรมภายในประเทศมีความเข็มแข็ง โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอมีแนวโน้มว่าสหรัฐฯ จะใช้วิธีกำหนดแหล่งกำเนิดสินค้าแบบ Yarn Forward ก็จะไม่สามารถใช้สิทธิตาม FTA ได้ หรือต้องเสียภาษีในอัตราปกติ คือ 0-32% สำหรับการเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายนนี้
และในปี 2548 นี้ประเทศผู้นำเข้าต่างๆ จะต้องยกเลิกโควตาสิ่งทอ ซึ่งการค้าสิ่งทอภายใต้สภาวะ"ไร้โควตา" ภายใน 6 ปีข้างหน้านี้ย่อมเป็นสิ่งที่น่ายินดีสำหรับอุตสาหกรรมที่มีความพร้อมในการแข่งขันในตลาดโลก แต่อาจกลายเป็นดาบสองคมหากประเทศผู้ส่งออกใดขาดซึ่งความพร้อมในการแข่งขันภายใต้กฏเกณฑ์ "ใครดีใครอยู่" ซึ่งนั่นอาจหมายถึงจุดจบของอุตสาหกรรมสิ่งทอในประเทศนั้นอย่างง่ายดาย ซึ่งการแข่งขันระหว่างประเทศผู้ส่งออกทั้งในระดับบนและล่าง ในขณะที่ประเทศผู้ส่งออกระดับบนจะมีความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีการผลิต และเรื่องแบรนด์เนม ดังเช่นหลายประเทศในยุโรป ส่วนประเทศผู้ส่งออกระดับล่างจะมีความได้เปรียบจากปัจจัยการผลิตและราคา อาทิ ค่าแรงต่ำ สิทธิพิเศษทางการค้า (จีเอสพี) ฯลฯ ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าเส้นทางการค้าสิ่งทอในอนาคตสำหรับประเทศไทยต้องมีการปรับตัวทางอุตสาหกรรมและการยกระดับมารตฐานสินค้าอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องเพื่อความอยู่รอดในระยะยาว จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยควรมีความตื่นตัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอุตสาหกรรมที่เคยได้รับการปกป้องจากการแข่งขัน ด้วยอานิสงค์ของระบบโควตา รวมทั้งการแข่งขันที่จะมีมากขึ้น การเข้มงวดของสหรัฐฯ ในเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า ดังนั้นภาคเอกชนที่ต้องการใช้ประโยชน์จาก FTA จะต้องปรับระบบบัญชีต่างๆ ใหม่ ต้องมีการทำรายงานว่าสินค้าตัวนี้ใช้วัตถุดิบจากไหน มีแรงงานเท่าไหร่ ซึ่งไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำ FTA กับสหรัฐฯ ได้ เพราะหากไทยช้า จะไม่สามารถแข่งขันได้ และเมื่อต้องการทำ ก็จำเป็นที่จะต้องยอมรับเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ต้องการ เข่นในเรื่อง Yarn Forward แต่อย่างไรก็ตามการเจรจาอาจจะขอให้มีข้อยกเว้นต่อท้ายและน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าที่จะไม่ยอมรับทั้งหมด
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-