'รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ’ มั่นใจ นายอภิรักษ์ โกษะโยธินมีโอกาสสูงในศึกเลือกตั้งผู้ว่า ฯกทม. พร้อมระบุ กรณีรองปธ.สสส.ควรสร้างเจตนารมย์ในการทำงานมากกว่าปลด ส่วนคำวิพากษ์ของอ.ธีรยุทธ มีความเห็นที่คล้ายกัน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวยามเช้า ทางคลื่นวิทยุ 101.0 เมกกะเฮิรต์ ถึงกรณีที่ดร.พิจิตต รัตตกุล จะลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่รู้สึกหวั่นไหว อีกทั้งยังมั่นใจว่า เรามีโอกาสสูงในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะคุณอภิรักษ์ มีความมุ่งมั่นในการทำงานด้วยความจริงจัง และมีทีมงานในการทำงานที่มีคุณภาพ รวมถึงยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนกล้าที่จะพูดว่าพรรคไทยรักไทยยังมีความหวั่นไหวมากกว่า
‘ผมมั่นใจว่าโอกาสของเรามีสูง และการตอบรับก็ดี คุณอภิรักษ์ ก็มุ่งมั่นแข่งขันในการทำงานด้วยความจริงจัง และก็มีทีมรองผู้ว่าฯที่มีคุณภาพ และทีมที่ปรึกษา มีทั้งระดับอธิการบดี นักบริหารรุ่นใหม่ และบุคลลที่ทำงานอยู่ในวงการสตรี วงการสาธารณสุข ค่อนข้างที่จะกว้างขวางครอบคลุม’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ครม.อนุมัติ ให้ปลด น.พ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ออกจากตำแหน่ง ประธานสสส. นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจในการตัดสินใจของนายกฯ และ คณะรัฐมนตรี ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง เพราะจากกระแสข่าวระบุว่า มีการเดิมพันตำแหน่งในการตัดสินใจ ซึ่งไม่ควรจะนำวิธีนี้มาใช้ เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เป็นการทุจริต แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน จึงควรที่จะปรับเจตนารมย์ในการทำงานเข้าหากัน มากกว่าทำการปลด
ทั้งนี้ สสส. ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมเรื่องของสุขภาพ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนให้เครือข่ายขององค์กรเอกชนเข้าไปดำเนินการ เพราะจะสามารถประสานงานกับชุมชนได้อย่างกลมกลืน ซึ่งปัญหาที่แท้จริงคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง เพราะรัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นทำให้ไม่เข้าใจการทำงาน พยายามยึดเหนี่ยวการทำงานในระบบราชการ อีกทั้งหน่วยงานดังกล่าวยังมีนักการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเนื่องจากมีงบประมาณจำนวนมาก
‘ผมไม่ไปโทษว่าฝ่ายหนึ่งดี ฝ่ายหนึ่งไม่ดี มันเป็นแนวคิดที่มันปรับเข้าหากันไม่ได้ ก็น่าเสียดายว่า ครม. หรือนายกฯไม่พยายามที่จะทำให้มันปรับเข้าหากันได้ตามเจตนารมย์ และจะเห็นว่าการปลดไม่ได้มีการทุจริตอะไร กลายเป็นเรื่องของความบกพร่องในหน้าที่ ‘ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ต่อข้อถามที่ว่า คำวิพากษ์ อ.ธีรยุทธ ที่บอกว่า อีก 4 ปีรัฐบาลจะยึดสัมปทานประเทศ ปิตุฆาตปฏิรูป ญาติกาธิปไตย เบญจคอร์รัปชั่น ดูเหมือนจะเป็นพันธมิตรกับประชาธิปัตย์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คำวิพากษ์ของ อ.ธีรยุทธ เป็นการสะท้อนความคิดเห็นมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของการเป็นพันธมิตร เพราะท่านได้เตือนพรรคประชาธิปัตย์มาเช่นกัน ตนมีความคิดคล้ายๆกันว่า การปฏิรูปการเมืองมันถูกบิดเบือน การส่งเสริมฝ่ายบริหารโดยใช้รัฐธรรมนูญทำเกินขอบเขต และไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้ อีกทั้งเวลานี้ยังใช้อำนาจเงิน และ อำนาจรัฐเพื่อยึดประชาชนเป็นฐานนโยบายประชานิยม ซึ่งเห็นว่าเป็นความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง
‘ ผมว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องของการเป็นพันธมิตรกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่คิดว่าเป็นการสะท้อนความคิดเห็น ซึ่งผมก็มีความคิดคล้ายๆกันว่า การปฏิรูปการเมืองมันถูกบิดเบือนไปแล้ว ความเข้มแข็งที่รัฐธรรมนูญต้องการส่งเสริมฝ่ายบริหารมันได้ถูกนำไปใช้เกินขอบเขต ในขณะที่ความคาดหวังของรัฐธรรมนูญเรื่องการตรวจสอบมันถูกทำลายไป เมื่อมีการบิดเบือนไปแล้วกลุ่มที่เข้ามายึดครองอำนาจก็คือกลายเป็นกลุ่มทุนผูกขาด และเวลานี้ก็ใช้อำนาจเงินกับอำนาจรัฐผสมผสานเพื่อต่ออายุอำนาจของตนเองออกไป บนความเชี่ยวชาญทางด้านการตลาด บวกกับการยึดประชาชนเป็นฐานนโยบายประชานิยม ซึ่งเห็นว่าเป็นความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง’นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับการไปวิเคราะห์ว่า พรรคทรท.จะยึด สัมปทานประเทศไปถึง 30 ปี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผมไม่เชื่อว่าจะยึดไปได้ถึง 30 ปี ถ้าเป็นเช่น จะเกิดความเสียหายอย่างมากต่อบ้านเมือง และเชื่อว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวยามเช้า ทางคลื่นวิทยุ 101.0 เมกกะเฮิรต์ ถึงกรณีที่ดร.พิจิตต รัตตกุล จะลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่รู้สึกหวั่นไหว อีกทั้งยังมั่นใจว่า เรามีโอกาสสูงในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะคุณอภิรักษ์ มีความมุ่งมั่นในการทำงานด้วยความจริงจัง และมีทีมงานในการทำงานที่มีคุณภาพ รวมถึงยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนกล้าที่จะพูดว่าพรรคไทยรักไทยยังมีความหวั่นไหวมากกว่า
‘ผมมั่นใจว่าโอกาสของเรามีสูง และการตอบรับก็ดี คุณอภิรักษ์ ก็มุ่งมั่นแข่งขันในการทำงานด้วยความจริงจัง และก็มีทีมรองผู้ว่าฯที่มีคุณภาพ และทีมที่ปรึกษา มีทั้งระดับอธิการบดี นักบริหารรุ่นใหม่ และบุคลลที่ทำงานอยู่ในวงการสตรี วงการสาธารณสุข ค่อนข้างที่จะกว้างขวางครอบคลุม’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ครม.อนุมัติ ให้ปลด น.พ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ออกจากตำแหน่ง ประธานสสส. นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจในการตัดสินใจของนายกฯ และ คณะรัฐมนตรี ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง เพราะจากกระแสข่าวระบุว่า มีการเดิมพันตำแหน่งในการตัดสินใจ ซึ่งไม่ควรจะนำวิธีนี้มาใช้ เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เป็นการทุจริต แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน จึงควรที่จะปรับเจตนารมย์ในการทำงานเข้าหากัน มากกว่าทำการปลด
ทั้งนี้ สสส. ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมเรื่องของสุขภาพ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนให้เครือข่ายขององค์กรเอกชนเข้าไปดำเนินการ เพราะจะสามารถประสานงานกับชุมชนได้อย่างกลมกลืน ซึ่งปัญหาที่แท้จริงคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง เพราะรัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นทำให้ไม่เข้าใจการทำงาน พยายามยึดเหนี่ยวการทำงานในระบบราชการ อีกทั้งหน่วยงานดังกล่าวยังมีนักการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเนื่องจากมีงบประมาณจำนวนมาก
‘ผมไม่ไปโทษว่าฝ่ายหนึ่งดี ฝ่ายหนึ่งไม่ดี มันเป็นแนวคิดที่มันปรับเข้าหากันไม่ได้ ก็น่าเสียดายว่า ครม. หรือนายกฯไม่พยายามที่จะทำให้มันปรับเข้าหากันได้ตามเจตนารมย์ และจะเห็นว่าการปลดไม่ได้มีการทุจริตอะไร กลายเป็นเรื่องของความบกพร่องในหน้าที่ ‘ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ต่อข้อถามที่ว่า คำวิพากษ์ อ.ธีรยุทธ ที่บอกว่า อีก 4 ปีรัฐบาลจะยึดสัมปทานประเทศ ปิตุฆาตปฏิรูป ญาติกาธิปไตย เบญจคอร์รัปชั่น ดูเหมือนจะเป็นพันธมิตรกับประชาธิปัตย์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คำวิพากษ์ของ อ.ธีรยุทธ เป็นการสะท้อนความคิดเห็นมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของการเป็นพันธมิตร เพราะท่านได้เตือนพรรคประชาธิปัตย์มาเช่นกัน ตนมีความคิดคล้ายๆกันว่า การปฏิรูปการเมืองมันถูกบิดเบือน การส่งเสริมฝ่ายบริหารโดยใช้รัฐธรรมนูญทำเกินขอบเขต และไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้ อีกทั้งเวลานี้ยังใช้อำนาจเงิน และ อำนาจรัฐเพื่อยึดประชาชนเป็นฐานนโยบายประชานิยม ซึ่งเห็นว่าเป็นความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง
‘ ผมว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องของการเป็นพันธมิตรกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่คิดว่าเป็นการสะท้อนความคิดเห็น ซึ่งผมก็มีความคิดคล้ายๆกันว่า การปฏิรูปการเมืองมันถูกบิดเบือนไปแล้ว ความเข้มแข็งที่รัฐธรรมนูญต้องการส่งเสริมฝ่ายบริหารมันได้ถูกนำไปใช้เกินขอบเขต ในขณะที่ความคาดหวังของรัฐธรรมนูญเรื่องการตรวจสอบมันถูกทำลายไป เมื่อมีการบิดเบือนไปแล้วกลุ่มที่เข้ามายึดครองอำนาจก็คือกลายเป็นกลุ่มทุนผูกขาด และเวลานี้ก็ใช้อำนาจเงินกับอำนาจรัฐผสมผสานเพื่อต่ออายุอำนาจของตนเองออกไป บนความเชี่ยวชาญทางด้านการตลาด บวกกับการยึดประชาชนเป็นฐานนโยบายประชานิยม ซึ่งเห็นว่าเป็นความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง’นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับการไปวิเคราะห์ว่า พรรคทรท.จะยึด สัมปทานประเทศไปถึง 30 ปี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผมไม่เชื่อว่าจะยึดไปได้ถึง 30 ปี ถ้าเป็นเช่น จะเกิดความเสียหายอย่างมากต่อบ้านเมือง และเชื่อว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-