ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ค่าเงินบาทอ่อนเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ
ธปท. เปิดเผยว่า การที่ค่าเงินบาทอ่อนน่าจะเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน เนื่องจากได้ประโยชน์
มากกว่าค่าเงินบาทแข็งค่า ถ้าขณะนี้เงินบาทอยู่ที่ 41.44 บาท ต่อดอลลาร์ สรอ. แสดงว่าค่าบาทอ่อนค่าลง
เพียง 20 สตางค์ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร โดยเมื่อวานนี้ค่าเงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 41.11-41.48 บาท ต่อ
ดอลลาร์ สรอ. ทำให้ผู้ส่งออกต่างเทขายเงินดอลลาร์ สรอ. ออกมาอย่างหนักในตอนท้ายของวัน ซึ่งปัจจัยที่
ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงเป็นผลต่อเนื่องมาตลอด และเมื่อมีการประกาศดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ สรอ.
ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาดีเกินคาดคือ 106.1 ปรับขึ้นจาก 102.8 ในเดือน มิ.ย. ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์
สรอ. ปรับตัวแข็งค่าขึ้นไป นอกจากนี้ ตลาดเอเชียยังรอฟังตัวเลขเกี่ยวกับเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และที่สำคัญมาก
คือการประกาศตัวเลขจีดีพีของ สรอ. ในวันพรุ่งนี้ (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท. เตรียมมาตรการลด NPL จากร้อยละ 12 เหลือร้อยละ 5-8 ในปี 48 นางธาริษา
วัฒนเกส รองผู้ว่าการ สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า สถานะการเงินของ ธ.พาณิชย์ยังมี
ความแข็งแกร่ง แม้จะมี NPL ทั้งระบบอยู่ในระดับ 6.6 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ณ สิ้นเดือน
มิ.ย.47 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง แต่ไม่น่ากังวล เนื่องจาก ธ.พาณิชย์ส่วนใหญ่กันสำรองตามกฎหมายในระดับ
3.1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการกันสำรองเผื่อไว้ รวมทั้งยังมีหลักประกันที่ครอบคลุม ส่วน NPL รายใหม่ และ
NPL ย้อนกลับอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล โดย ณ สิ้นเดือน มี.ค.47 อยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท เทียบกับไตรมาส 4
ของปีก่อนที่อยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท เห็นได้ว่า NPL ย้อนกลับค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ ส่วน NPL รายใหม่ที่
เกิดขึ้นจริงนั้นเพราะลูกค้าไม่สามารถชำระหนี้ได้และไม่ได้อยู่ในระดับที่มากนัก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ
ไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น ขณะเดียวกัน ธ.พาณิชย์ที่ปล่อยสินเชื่อในปัจจุบันมีความระมัดระวังมากขึ้น ส่วนในปี 48
ธปท. จะให้ความสำคัญ 4 อย่าง คือ 1) ความมั่นคงของสถาบันการเงิน 2) มาตรการ NPL ที่มีอยู่แล้วจะ
ลดให้เหลือร้อยละ 5-8 จากร้อยละ 12 ในปัจจุบัน 3) การทำธุรกิจแบบกลุ่มสถาบันการเงิน เช่น นำ บค.
มารวมกับ บง. ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสของการเงินไทยที่จะสามารถลดต้นทุนและเป็นการสร้างการแข่งขันมากขึ้น
ในการยกระดับเป็น ธ.พาณิชย์ 4) การกำกับดูแลความเสี่ยงและการดูแลกฎหมายรองรับของสถาบันการเงิน
ให้เป็นที่ยอมรับ ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศได้สอบถามถึง NPL ของ ธ.พาณิชย์ทั้งระบบที่มีร้อยละ
12 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับ ธ.พาณิชย์ของประเทศอื่น ๆ ซึ่งธปท.ได้ชี้แจงว่า NPL ในอดีตเคยสูง
สุดถึงร้อยละ 57 ซึ่งการปรับตัวลดลงมาในระดับนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีขึ้นมาก และ NPL กว่าร้อยละ 50 อยู่
ในกระบวนการของศาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ สำหรับมาตรการที่เหลือคือ การกันสำรองจากหลักประกัน
เพื่อกระตุ้นหนี้ที่ค้างอยู่ให้มีการปรับโครงสร้างหนี้เร็วขึ้น กำหนดเกณฑ์ว่าหนี้ที่ค้างอยู่ในเวลา 2 ปี ยังไม่ได้
ดำเนินการอะไรให้ ธ.พาณิชย์กันสำรองไว้ร้อยละ 25 ในระยะเวลา 3 ปี ให้กันสำรองร้อยละ 50 และใน
ระดับ 4 ปีขึ้นไปให้กันสำรอง 100% ซึ่งมาตรการดังกล่าวรอให้ ก.คลังให้ความเห็นชอบ นอกจากนี้ ยัง
เตรียมแก้กฎหมายของ บบส. ให้สามารถรับซื้อ NPA ได้ เชื่อว่าประเด็นนี้จะเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยให้ NPL
ลดลง ส่วนนโยบายของ ธปท. ในปี 48 นั้นยังคงเน้นที่จะกำกับดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงินให้มีความ
แข็งแรง รวมถึงติดตามการบริหารความเสี่ยง ซึ่งถือเป็นหน้าที่ตามปรกติที่ ธปท. จะต้องดำเนินการอยู่แล้ว (โลกวันนี้)
3. ธ.พาณิชย์โชว์ระบบดีคุมหนี้เสียย้อนกลับได้ นายประสาน ไตรรัตน์วรกุล กก.ผจก. ธ.กสิกรไทย
เปิดเผยว่า การออกเกณฑ์สินเชื่อคุณภาพของ ธปท. ถ้าหาก ธ.พาณิชย์ในระบบมองเห็นความสำคัญของความ
เสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ก็จะมีการกันสำรองที่เพียงพออยู่แล้ว และที่เป็นอยู่ในปัจจุบันถ้าธนาคารมีกำไรก็
จะแบ่งมากันสำรองเอง โดยที่ ธปท. ไม่ต้องสั่งการ เชื่อว่าธนาคารขนาดใหญ่มีการกันสำรองที่เพียงพออยู่แล้ว
เพราะมีกระบวนการในการอนุมัติสินเชื่อที่มีมาตรฐานที่ดี ทางด้านคุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กก.ผจก.ใหญ่
ธ.พาณิชย์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าการปล่อยสินเชื่อต้องมีปัญหาการเกิดหนี้เสียไหลย้อนกลับบ้าง ซึ่งของ ธ.
ไทยพาณิชย์มีประมาณร้อยละ 1-2 เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ ขณะที่ นายทำนอง ดาศรี ผอ.
อาวุโส สายปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (คปน.) ธปท. กล่าวว่า การปรับโครงสร้าง NPL ของ คปน. ที่เกิด
ปัญหาหนี้ย้อนกลับเกิดเฉพาะในกลุ่มลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ไม่เก่ง ซึ่งเดิมลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้แบบยืด
เวลากับ คปน. มีประมาณร้อยละ 40 ของลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้กับ คปน. ทั้งหมด แต่ลูกหนี้กลุ่มนี้เหลือ
เพียงร้อยละ 20 ส่วนลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างด้วยวิธีอื่น ๆ มีประมาณร้อยละ 60 ซึ่ง คปน. ต้องดูแลลูกหนี้ที่
กลับมาเป็น NPL ต่อไป (โพสต์ทูเดย์)
4. เศรษฐกิจเดือน มิ.ย.47 ยังขยายตัวได้ดีจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน นายสมชัย
สัจจพงษ์ ผอ.สนง.เศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดีต่อเนื่องแม้ว่าความเชื่อมั่น
ผู้บริโภคจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยต่ำกว่า 100 จุด โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศใน
เดือน มิ.ย.47 ขยายตัวร้อยละ 17.3 และภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าคงทนขยายตัวร้อยละ 28.8
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือน พ.ค.47 ขยายตัว
ร้อยละ 8.8 เนื่องจากผู้ประกอบการมีการขยายกำลังการผลิต ขณะที่รายได้จากการเก็บภาษีที่จัดเก็บจาก
การทำธุรกรรมขยายตัวถึงร้อยละ 85.0 ในเดือน มิ.ย.47 และร้อยละ 81.8 ในไตรมาส 2 สะท้อนถึงการ
ฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องร้อยละ 11.7
ส่วนการใช้จ่ายของภาครัฐเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยรายจ่าย งปม. เดือน มิ.ย.47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5 ต่อปี
ทั้งนี้ รายจ่ายประจำขยายตัวร้อยละ 14.6 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนขยายตัวร้อยละ 4.9 นอกจากนี้ มูลค่า
การส่งออกในเดือน มิ.ย.47 สูงถึง 8,500 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.0 และการนำเข้า
มีจำนวน 8,200 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 41.6 ทำให้เกินดุลการค้า 239 ล้านดอลลาร์
สรอ. การขยายตัวภาคอุตสาหกรรมสูง ได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเลียม การใช้กำลังการผลิตใน
เดือน พ.ค.47 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 73.3 จากร้อยละ 69.1 ในเดือน เม.ย.47 ส่วนอัตราเงิน
เฟ้อในเดือน มิ.ย.47 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3 สูงขึ้นกว่าเดือนที่ผ่านมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ขณะที่ดุลบัญชีเดิน
สะพัดในเดือน พ.ค.47 กลับมาเป็นบวก 214 ล้านดอลลาร์ สรอ. (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ1. คาดว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีจะขยายตัวร้อยละ 2.1 ในปีนี้
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 28 ก.ค.47 RWI ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำของเยอรมนีได้เพิ่มการคาด
การณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมนีในปีนี้จากร้อยละ 1.5 เป็นร้อยละ 2.1 ซึ่งเป็นตัวเลขสูง
สุดในบรรดาสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำ 6 แห่งของเยอรมนี จากการที่เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ขยายตัว
ร้อยละ 0.4 จากไตรมาสก่อนซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของการส่งออก ทำให้ธุรกิจ
เพิ่มการลงทุนและจ้างงานเพิ่มซึ่งส่งผลให้การใช้จ่ายในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย โดย RWI คาดว่า
เศรษฐกิจในปีหน้าจะขยายตัวร้อยละ 1.8 และหากปรับตัวเลขตามจำนวนวันทำงานที่แตกต่างกันแล้ว คาดว่า
เศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 1.5 และร้อยละ 2.1 ในปีหน้า (รอยเตอร์)
2. ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นในอนาคตของผู้บริโภคในเยอรมนีในเดือน ส.ค.47 ลดลงจากเดือนก่อน
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 28 ก.ค.47 Market Research Group GfK รายงานผลสำรวจความเชื่อมั่น
ในอนาคตของผู้บริโภคในเยอรมนีในเดือน ส.ค. 47 อยู่ที่ระดับ 3.4 ลดลงจากเดือน ก.ค.47 ซึ่งอยู่ที่ระดับ
3.9 จากแผนการปรับลดต้นทุนของธุรกิจขนาดใหญ่ทำให้ผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับรายได้ของตนในอนาคต ซึ่งจะ
ส่งผลให้ความต้องการในประเทศชะลอตัวลงอีก นอกจากนี้ ดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจ
ของเยอรมนีในเดือน ก.ค.47 ลดลงอยู่ที่ระดับ |20.5 อันเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน พ.ค.46 เป็นต้นมา
ขณะที่ดัชนีความคาดหวังด้านรายได้ก็ลดลงมากกว่า 7 จุด อยู่ที่ระดับ |14 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม สถาบันสำรวจดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของเยอรมนีส่วนใหญ่ได้ปรับปรุงประมาณการเติบโตทาง
เศรษฐกิจปี 47 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ขณะที่ประธาน Bundesbank คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเยอรมนีจะเติบ
โตเพียงร้อยละ 0.4 ในไตรมาส 2 ของปีนี้ (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.47 ลดลงร้อยละ 1.3 จากเดือนก่อน รายงานจาก
โตเกียว เมื่อ 29 ก.ค.47 ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.47 ลดลงร้อยละ 1.3 จากเดือน
พ.ค.47 เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน และลดลงมากกว่าที่คาดไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 0.5 จากผลสำรวจของ
รอยเตอร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อันเป็นผลจากการที่ธุรกิจเพิ่มความระมัดระวังในการเพิ่มกำลังการผลิตหลังจาก
ขยายตัวต่อเนื่องกัน 4 ไตรมาส โดยขยายตัวร้อยละ 2.6 ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ซึ่งสิ้นสุดเดือน มิ.ย.47 จาก
ไตรมาสก่อน แต่อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 3 ปีนี้จะขยายตัวร้อยละ
1.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากการขยายตัวของการส่งออกและการใช้จ่ายในประเทศ โดยความต้องการ
สินค้าอิเล็กทรอนิคส์ เช่น กล้องดิจิตอล โทรทัศน์จอแบนและเครื่องเล่นดีวีดีเพิ่มขึ้นมากทั้งในและต่างประเทศ
ทางด้านการบริโภคในประเทศก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากภาวะการจ้างงานที่ดีขึ้น โดยเศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวถึงร้อย
ละ 6.1 ในไตรมาสแรกปีนี้ เมื่อเทียบกับปีก่อน สูงกว่า สรอ.ซึ่งขยายตัวร้อยละ 3.9 ในช่วงเวลาเดียวกัน
(รอยเตอร์)
4. ยอดขายปลีกของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.47 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 รายงานจากโตเกียว เมื่อ
28 ก.ค.47 ก.เศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (METI) เปิดเผยว่า ยอดขายปลีกของญี่ปุ่นลดลงติดต่อกัน
เป็นเดือนที่ 4 โดยในเดือน มิ.ย.47 ลดลงร้อยละ 2.9 เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงมากกว่าที่
นักเศรษฐศาสตร์ประมาณการไว้ว่าจะลดลงเพียงร้อยละ 2.5 และหากเทียบต่อเดือนยอดขายปลีกลดลงร้อยละ
0.6 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ส่วนยอดขายห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้
บริโภค ลดลงร้อยละ 4.9 เทียบต่อปี ทั้งนี้ การที่ยอดขายปลีกลดลงเนื่องจากฤดูกาลที่เลวร้ายและยอดขาย
หมวดเครื่องแต่งกายลดลงอย่างมาก แต่ด้วยสภาวะอากาศที่ร้อนในเดือน ก.ค. ทำให้ยอดขายเบียร์และ
เครื่องปรับอากาศสูงขึ้น อันทำให้คาดการณ์ว่าจะสนับสนุนให้ยอดขายฟื้นตัวในเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ยอด
การขายส่งของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.47 กลับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เทียบต่อปี เนื่องจากความต้องการสินค้าหมวด
เครื่องจักรจากต่างประเทศและความต้องการสินค้าหมวดเครื่องมือที่ใช้ประกอบการผลิตสินค้าหมวด
อิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น (รอยเตอร์)
5. ผลผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ลดลงในเดือน มิ.ย.47 รายงานจากโซล เมื่อ 29
ก.ค.47 สำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ (ตัวเลขหลังปรับฤดู
กาล) ในเดือน มิ.ย.47 ลดลงร้อยละ 2.0 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 ในเดือนก่อน และเป็นการลดลง
ครั้งแรกหลังจากที่เพิ่มขึ้นเป็นระยะเวลา 2 เดือนต่อเนื่อง ซึ่งตรงข้ามกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่
คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ในส่วนของตัวเลขก่อนปรับฤดูกาลในเดือนเดียวกันเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.3 เมื่อ
เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับผลผลิตอุตสาหกรรม (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ในช่วงไตรมาสที่ 2
ของปี 47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 ในไตรมาสก่อน ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า
ตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือน มิ.ย.47 ไม่ส่งผลกระทบถึงความเชื่อมั่นต่อการส่งออก อนึ่ง ผลผลิต
อุตสาหกรรมของเกาหลีใต้มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ปี 46 โดยได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากการส่งออก โดย
ในเดือน มิ.ย. และ พ.ค.47 การส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 38.5 และร้อยละ 42 (เทียบต่อปี) ตามลำดับ
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 29 ก.ค. 47 28 ก.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.417 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.2092/41.4929 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1250-1.2800 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 634.73/11.34 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,600/7,700 7,550/7,650 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 36.33 35.43 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 19.39*/14.59 18.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 29 ก.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ค่าเงินบาทอ่อนเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ
ธปท. เปิดเผยว่า การที่ค่าเงินบาทอ่อนน่าจะเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน เนื่องจากได้ประโยชน์
มากกว่าค่าเงินบาทแข็งค่า ถ้าขณะนี้เงินบาทอยู่ที่ 41.44 บาท ต่อดอลลาร์ สรอ. แสดงว่าค่าบาทอ่อนค่าลง
เพียง 20 สตางค์ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร โดยเมื่อวานนี้ค่าเงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 41.11-41.48 บาท ต่อ
ดอลลาร์ สรอ. ทำให้ผู้ส่งออกต่างเทขายเงินดอลลาร์ สรอ. ออกมาอย่างหนักในตอนท้ายของวัน ซึ่งปัจจัยที่
ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงเป็นผลต่อเนื่องมาตลอด และเมื่อมีการประกาศดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ สรอ.
ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาดีเกินคาดคือ 106.1 ปรับขึ้นจาก 102.8 ในเดือน มิ.ย. ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์
สรอ. ปรับตัวแข็งค่าขึ้นไป นอกจากนี้ ตลาดเอเชียยังรอฟังตัวเลขเกี่ยวกับเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และที่สำคัญมาก
คือการประกาศตัวเลขจีดีพีของ สรอ. ในวันพรุ่งนี้ (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท. เตรียมมาตรการลด NPL จากร้อยละ 12 เหลือร้อยละ 5-8 ในปี 48 นางธาริษา
วัฒนเกส รองผู้ว่าการ สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า สถานะการเงินของ ธ.พาณิชย์ยังมี
ความแข็งแกร่ง แม้จะมี NPL ทั้งระบบอยู่ในระดับ 6.6 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ณ สิ้นเดือน
มิ.ย.47 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง แต่ไม่น่ากังวล เนื่องจาก ธ.พาณิชย์ส่วนใหญ่กันสำรองตามกฎหมายในระดับ
3.1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการกันสำรองเผื่อไว้ รวมทั้งยังมีหลักประกันที่ครอบคลุม ส่วน NPL รายใหม่ และ
NPL ย้อนกลับอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล โดย ณ สิ้นเดือน มี.ค.47 อยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท เทียบกับไตรมาส 4
ของปีก่อนที่อยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท เห็นได้ว่า NPL ย้อนกลับค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ ส่วน NPL รายใหม่ที่
เกิดขึ้นจริงนั้นเพราะลูกค้าไม่สามารถชำระหนี้ได้และไม่ได้อยู่ในระดับที่มากนัก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ
ไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น ขณะเดียวกัน ธ.พาณิชย์ที่ปล่อยสินเชื่อในปัจจุบันมีความระมัดระวังมากขึ้น ส่วนในปี 48
ธปท. จะให้ความสำคัญ 4 อย่าง คือ 1) ความมั่นคงของสถาบันการเงิน 2) มาตรการ NPL ที่มีอยู่แล้วจะ
ลดให้เหลือร้อยละ 5-8 จากร้อยละ 12 ในปัจจุบัน 3) การทำธุรกิจแบบกลุ่มสถาบันการเงิน เช่น นำ บค.
มารวมกับ บง. ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสของการเงินไทยที่จะสามารถลดต้นทุนและเป็นการสร้างการแข่งขันมากขึ้น
ในการยกระดับเป็น ธ.พาณิชย์ 4) การกำกับดูแลความเสี่ยงและการดูแลกฎหมายรองรับของสถาบันการเงิน
ให้เป็นที่ยอมรับ ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศได้สอบถามถึง NPL ของ ธ.พาณิชย์ทั้งระบบที่มีร้อยละ
12 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับ ธ.พาณิชย์ของประเทศอื่น ๆ ซึ่งธปท.ได้ชี้แจงว่า NPL ในอดีตเคยสูง
สุดถึงร้อยละ 57 ซึ่งการปรับตัวลดลงมาในระดับนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีขึ้นมาก และ NPL กว่าร้อยละ 50 อยู่
ในกระบวนการของศาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ สำหรับมาตรการที่เหลือคือ การกันสำรองจากหลักประกัน
เพื่อกระตุ้นหนี้ที่ค้างอยู่ให้มีการปรับโครงสร้างหนี้เร็วขึ้น กำหนดเกณฑ์ว่าหนี้ที่ค้างอยู่ในเวลา 2 ปี ยังไม่ได้
ดำเนินการอะไรให้ ธ.พาณิชย์กันสำรองไว้ร้อยละ 25 ในระยะเวลา 3 ปี ให้กันสำรองร้อยละ 50 และใน
ระดับ 4 ปีขึ้นไปให้กันสำรอง 100% ซึ่งมาตรการดังกล่าวรอให้ ก.คลังให้ความเห็นชอบ นอกจากนี้ ยัง
เตรียมแก้กฎหมายของ บบส. ให้สามารถรับซื้อ NPA ได้ เชื่อว่าประเด็นนี้จะเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยให้ NPL
ลดลง ส่วนนโยบายของ ธปท. ในปี 48 นั้นยังคงเน้นที่จะกำกับดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงินให้มีความ
แข็งแรง รวมถึงติดตามการบริหารความเสี่ยง ซึ่งถือเป็นหน้าที่ตามปรกติที่ ธปท. จะต้องดำเนินการอยู่แล้ว (โลกวันนี้)
3. ธ.พาณิชย์โชว์ระบบดีคุมหนี้เสียย้อนกลับได้ นายประสาน ไตรรัตน์วรกุล กก.ผจก. ธ.กสิกรไทย
เปิดเผยว่า การออกเกณฑ์สินเชื่อคุณภาพของ ธปท. ถ้าหาก ธ.พาณิชย์ในระบบมองเห็นความสำคัญของความ
เสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ก็จะมีการกันสำรองที่เพียงพออยู่แล้ว และที่เป็นอยู่ในปัจจุบันถ้าธนาคารมีกำไรก็
จะแบ่งมากันสำรองเอง โดยที่ ธปท. ไม่ต้องสั่งการ เชื่อว่าธนาคารขนาดใหญ่มีการกันสำรองที่เพียงพออยู่แล้ว
เพราะมีกระบวนการในการอนุมัติสินเชื่อที่มีมาตรฐานที่ดี ทางด้านคุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กก.ผจก.ใหญ่
ธ.พาณิชย์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าการปล่อยสินเชื่อต้องมีปัญหาการเกิดหนี้เสียไหลย้อนกลับบ้าง ซึ่งของ ธ.
ไทยพาณิชย์มีประมาณร้อยละ 1-2 เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ ขณะที่ นายทำนอง ดาศรี ผอ.
อาวุโส สายปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (คปน.) ธปท. กล่าวว่า การปรับโครงสร้าง NPL ของ คปน. ที่เกิด
ปัญหาหนี้ย้อนกลับเกิดเฉพาะในกลุ่มลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ไม่เก่ง ซึ่งเดิมลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้แบบยืด
เวลากับ คปน. มีประมาณร้อยละ 40 ของลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้กับ คปน. ทั้งหมด แต่ลูกหนี้กลุ่มนี้เหลือ
เพียงร้อยละ 20 ส่วนลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างด้วยวิธีอื่น ๆ มีประมาณร้อยละ 60 ซึ่ง คปน. ต้องดูแลลูกหนี้ที่
กลับมาเป็น NPL ต่อไป (โพสต์ทูเดย์)
4. เศรษฐกิจเดือน มิ.ย.47 ยังขยายตัวได้ดีจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน นายสมชัย
สัจจพงษ์ ผอ.สนง.เศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดีต่อเนื่องแม้ว่าความเชื่อมั่น
ผู้บริโภคจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยต่ำกว่า 100 จุด โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศใน
เดือน มิ.ย.47 ขยายตัวร้อยละ 17.3 และภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าคงทนขยายตัวร้อยละ 28.8
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือน พ.ค.47 ขยายตัว
ร้อยละ 8.8 เนื่องจากผู้ประกอบการมีการขยายกำลังการผลิต ขณะที่รายได้จากการเก็บภาษีที่จัดเก็บจาก
การทำธุรกรรมขยายตัวถึงร้อยละ 85.0 ในเดือน มิ.ย.47 และร้อยละ 81.8 ในไตรมาส 2 สะท้อนถึงการ
ฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องร้อยละ 11.7
ส่วนการใช้จ่ายของภาครัฐเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยรายจ่าย งปม. เดือน มิ.ย.47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5 ต่อปี
ทั้งนี้ รายจ่ายประจำขยายตัวร้อยละ 14.6 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนขยายตัวร้อยละ 4.9 นอกจากนี้ มูลค่า
การส่งออกในเดือน มิ.ย.47 สูงถึง 8,500 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.0 และการนำเข้า
มีจำนวน 8,200 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 41.6 ทำให้เกินดุลการค้า 239 ล้านดอลลาร์
สรอ. การขยายตัวภาคอุตสาหกรรมสูง ได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเลียม การใช้กำลังการผลิตใน
เดือน พ.ค.47 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 73.3 จากร้อยละ 69.1 ในเดือน เม.ย.47 ส่วนอัตราเงิน
เฟ้อในเดือน มิ.ย.47 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3 สูงขึ้นกว่าเดือนที่ผ่านมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ขณะที่ดุลบัญชีเดิน
สะพัดในเดือน พ.ค.47 กลับมาเป็นบวก 214 ล้านดอลลาร์ สรอ. (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ1. คาดว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีจะขยายตัวร้อยละ 2.1 ในปีนี้
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 28 ก.ค.47 RWI ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำของเยอรมนีได้เพิ่มการคาด
การณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมนีในปีนี้จากร้อยละ 1.5 เป็นร้อยละ 2.1 ซึ่งเป็นตัวเลขสูง
สุดในบรรดาสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำ 6 แห่งของเยอรมนี จากการที่เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ขยายตัว
ร้อยละ 0.4 จากไตรมาสก่อนซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของการส่งออก ทำให้ธุรกิจ
เพิ่มการลงทุนและจ้างงานเพิ่มซึ่งส่งผลให้การใช้จ่ายในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย โดย RWI คาดว่า
เศรษฐกิจในปีหน้าจะขยายตัวร้อยละ 1.8 และหากปรับตัวเลขตามจำนวนวันทำงานที่แตกต่างกันแล้ว คาดว่า
เศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 1.5 และร้อยละ 2.1 ในปีหน้า (รอยเตอร์)
2. ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นในอนาคตของผู้บริโภคในเยอรมนีในเดือน ส.ค.47 ลดลงจากเดือนก่อน
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 28 ก.ค.47 Market Research Group GfK รายงานผลสำรวจความเชื่อมั่น
ในอนาคตของผู้บริโภคในเยอรมนีในเดือน ส.ค. 47 อยู่ที่ระดับ 3.4 ลดลงจากเดือน ก.ค.47 ซึ่งอยู่ที่ระดับ
3.9 จากแผนการปรับลดต้นทุนของธุรกิจขนาดใหญ่ทำให้ผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับรายได้ของตนในอนาคต ซึ่งจะ
ส่งผลให้ความต้องการในประเทศชะลอตัวลงอีก นอกจากนี้ ดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจ
ของเยอรมนีในเดือน ก.ค.47 ลดลงอยู่ที่ระดับ |20.5 อันเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน พ.ค.46 เป็นต้นมา
ขณะที่ดัชนีความคาดหวังด้านรายได้ก็ลดลงมากกว่า 7 จุด อยู่ที่ระดับ |14 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม สถาบันสำรวจดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของเยอรมนีส่วนใหญ่ได้ปรับปรุงประมาณการเติบโตทาง
เศรษฐกิจปี 47 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ขณะที่ประธาน Bundesbank คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเยอรมนีจะเติบ
โตเพียงร้อยละ 0.4 ในไตรมาส 2 ของปีนี้ (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.47 ลดลงร้อยละ 1.3 จากเดือนก่อน รายงานจาก
โตเกียว เมื่อ 29 ก.ค.47 ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.47 ลดลงร้อยละ 1.3 จากเดือน
พ.ค.47 เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน และลดลงมากกว่าที่คาดไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 0.5 จากผลสำรวจของ
รอยเตอร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อันเป็นผลจากการที่ธุรกิจเพิ่มความระมัดระวังในการเพิ่มกำลังการผลิตหลังจาก
ขยายตัวต่อเนื่องกัน 4 ไตรมาส โดยขยายตัวร้อยละ 2.6 ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ซึ่งสิ้นสุดเดือน มิ.ย.47 จาก
ไตรมาสก่อน แต่อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 3 ปีนี้จะขยายตัวร้อยละ
1.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากการขยายตัวของการส่งออกและการใช้จ่ายในประเทศ โดยความต้องการ
สินค้าอิเล็กทรอนิคส์ เช่น กล้องดิจิตอล โทรทัศน์จอแบนและเครื่องเล่นดีวีดีเพิ่มขึ้นมากทั้งในและต่างประเทศ
ทางด้านการบริโภคในประเทศก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากภาวะการจ้างงานที่ดีขึ้น โดยเศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวถึงร้อย
ละ 6.1 ในไตรมาสแรกปีนี้ เมื่อเทียบกับปีก่อน สูงกว่า สรอ.ซึ่งขยายตัวร้อยละ 3.9 ในช่วงเวลาเดียวกัน
(รอยเตอร์)
4. ยอดขายปลีกของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.47 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 รายงานจากโตเกียว เมื่อ
28 ก.ค.47 ก.เศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (METI) เปิดเผยว่า ยอดขายปลีกของญี่ปุ่นลดลงติดต่อกัน
เป็นเดือนที่ 4 โดยในเดือน มิ.ย.47 ลดลงร้อยละ 2.9 เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงมากกว่าที่
นักเศรษฐศาสตร์ประมาณการไว้ว่าจะลดลงเพียงร้อยละ 2.5 และหากเทียบต่อเดือนยอดขายปลีกลดลงร้อยละ
0.6 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ส่วนยอดขายห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้
บริโภค ลดลงร้อยละ 4.9 เทียบต่อปี ทั้งนี้ การที่ยอดขายปลีกลดลงเนื่องจากฤดูกาลที่เลวร้ายและยอดขาย
หมวดเครื่องแต่งกายลดลงอย่างมาก แต่ด้วยสภาวะอากาศที่ร้อนในเดือน ก.ค. ทำให้ยอดขายเบียร์และ
เครื่องปรับอากาศสูงขึ้น อันทำให้คาดการณ์ว่าจะสนับสนุนให้ยอดขายฟื้นตัวในเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ยอด
การขายส่งของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.47 กลับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เทียบต่อปี เนื่องจากความต้องการสินค้าหมวด
เครื่องจักรจากต่างประเทศและความต้องการสินค้าหมวดเครื่องมือที่ใช้ประกอบการผลิตสินค้าหมวด
อิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น (รอยเตอร์)
5. ผลผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ลดลงในเดือน มิ.ย.47 รายงานจากโซล เมื่อ 29
ก.ค.47 สำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ (ตัวเลขหลังปรับฤดู
กาล) ในเดือน มิ.ย.47 ลดลงร้อยละ 2.0 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 ในเดือนก่อน และเป็นการลดลง
ครั้งแรกหลังจากที่เพิ่มขึ้นเป็นระยะเวลา 2 เดือนต่อเนื่อง ซึ่งตรงข้ามกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่
คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ในส่วนของตัวเลขก่อนปรับฤดูกาลในเดือนเดียวกันเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.3 เมื่อ
เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับผลผลิตอุตสาหกรรม (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ในช่วงไตรมาสที่ 2
ของปี 47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 ในไตรมาสก่อน ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า
ตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือน มิ.ย.47 ไม่ส่งผลกระทบถึงความเชื่อมั่นต่อการส่งออก อนึ่ง ผลผลิต
อุตสาหกรรมของเกาหลีใต้มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ปี 46 โดยได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากการส่งออก โดย
ในเดือน มิ.ย. และ พ.ค.47 การส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 38.5 และร้อยละ 42 (เทียบต่อปี) ตามลำดับ
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 29 ก.ค. 47 28 ก.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.417 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.2092/41.4929 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1250-1.2800 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 634.73/11.34 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,600/7,700 7,550/7,650 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 36.33 35.43 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 19.39*/14.59 18.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 29 ก.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-