นับวันข้อกล่าวหาในเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลภายใต้การนำของ นายกฯทักษิณ ยิ่งมีมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะนับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 4 ปี มีแต่ข่าวคราวอื้อฉาวไม่เว้นแต่ละวันจนหลายฝ่ายเริ่มวิตกกังวลว่านับวันการทุจริตคอร์รัปชั่นยิ่งมีเครือข่ายกว้างขวางและเข้มแข็งขึ้น
ขณะเดียวกันหากพิจารณาแนวโน้มในการจัดการกับปัญหาดังกล่าวกลับมีความมืดมนลงทุกที เนื่องจากผู้นำรัฐบาลไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหา ในทางตรงกันข้ามกลับมีท่าทีปกป้องผู้กระทำผิด หรือไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบใดๆทั้งสิ้นจนสร้างความผิดหวังให้กับประชาชน มากขึ้นเรื่อยๆ
สารพัดทุจริตในกระทรวงสาธารณสุขท้าทายความจริงใจ “ทักษิณ”
กรณีปัญหาความไม่ชอบมาพากลในการประมูลจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ในวงเงินงบประมาณ 900 ล้านบาทของกระทรวงสาธารสุขถือเป็นตัวอย่างล่าสุดที่ชี้ให้เห็นได้เป็นอย่างดีแนวโน้มการทุจริตคอร์รัปชั่นภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดนี้ เป็นการชี้ให้เห็นว่าการทุจริตมีเครือข่ายขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ จนยากเยียวยาแก้ไข
จากการเปิดโปงของ นพ.วัลลภ ไทยเหนือ ซึ่งถูกปลดพ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขหลังจากไปขวางทางขบวนการฮั้วประมูล พบว่ามีการเรียกเก็บค่าหัวคิวจากการประมูลดังกล่าวสูงถึง 20% ทีเดียว
หรือกรณี น.พ.อนันต์ อริยะชัยพาณิชย์ อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ยื่นใบลาออกเพื่อประท้วงความไม่เป็นธรรมภายในกระทรวงสาธารณสุขอีกคนหนึ่งออกมาแฉความไม่ชอบมาพากลในโครงการประมูลจัดซื้อรถพยาบาลฉุกเฉินจำนวนกว่า 200 คัน งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท ว่ามีการจ่ายค่าหัวคิวจากบริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งที่มีความใกล้ชิดกับแกนนำสำคัญในรัฐบาลในราคาคันละ 50,000 บาท รวมแล้วประมาณ 10 ล้านบาทเพื่อให้ได้รับการคัดเลือก ซึ่งหากกล่าวโดยทั่วไปแล้ววิธีการแบบนี้ก็คือมีการล็อกสเป็กเอาไว้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง
ความไม่ชอบมาพากลภายในกระทรวงสาธารณสุขอีกเรื่องหนึ่งที่ออกมามาจากปากของ น.พ.อนันต์ ก็คือเรื่องการประมูลโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาแห่งใหม่ขององค์การเภสัชกรรม
(อภ.) ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ก่อสร้างในวงเงิน 525 ล้านบาท แต่ปรากฎว่า 2 รายยื่นประมูลเสนอราคา 1,000 ล้านบาท และ 1,080 ล้านบาท ตามลำดับ โดยไม่ยอมลดราคาลงมา แม้ว่ามีการเสนอให้ยกเลิกการประมูลก็ตาม แต่ที่น่าจับตาก็คือต่อไปจะมีกาเสนอเพิ่มงบให้สูงตามราคาของเอกชนเพื่อเอาใจฝ่ายการเมืองหรือไม่
จับตาพฤติกรรมปกป้องนักการเมืองพวกเดียวกัน
อย่างไรก็ดีแม้ว่าเป็นเพียงข้อมูล และเป็นข้อกล่าวหาเบื้องต้นก็ตาม แต่สิ่งที่สร้างความผิดหวังให้กับสังคมเป็นอย่างยิ่งก็คือ พฤติกรรมและท่าทีของ นายกฯทักษิณ เพราะแทนที่สนับสนุนให้มีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใสโดยเร็ว ยอมรับข้อเสนอจากหลายฝ่ายที่ต้องการให้คนกลางที่ได้รับการยอมรับจากสังคมมาดำเนินการ กลับกลายเป็นว่า นายกฯทักษิณ ออกมาปกป้องนักการเมืองพวกเดียวกันเอง หรือชี้นำการสอบสวนเสียก่อน
โดยเฉพาะคำพูดของ นายกฯ ทักษิณ ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าต้องการบิดเบือนข้อมูล เช่นระบุว่าสาเหตุที่ต้องยกเลิกการประกวดราคาเนื่องจากเงื่อนไขการประกวดราคา(ทีโออาร์) เขียนไว้ไม่ชัดเจน ถ้าอนุมัติให้บริษัทที่เสนอราคาเครื่องต่ำ แต่ค่าบำรุงรักษาสูง จะเสียประโยชน์ทางราชการประมาณ 300 ล้านบาท แต่ถ้าหากว่าบริษัทที่เสนอราคาเครื่องสูง ค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า รวมแล้วต่ำกว่า ก็จะกลายเป็นว่า “ไม่ถูกเงื่อนไข” เพราะเนื่องจากว่าราคาสูงกว่าเหล่านี้ เป็นต้น
หากสังเกตให้ดีแล้วเป็นการพูดที่เหมือนกับคำพูดของ นางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยของสังคมอยู่ในขณะนี้เคยกล่าวเอาไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยนนั่นเอง
นอกจากนี้ความไม่จริงใจในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นที่แสดงให้เห็นอีกประการหนึ่งก็คือมีความพยายามให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเข้ามาเป็นประธานการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ก็ยิ่งไม่ได้รับความเชื่อถือจากสังคมมากขึ้นไปอีก
เพราะบุคคลที่ต้องสงสัยและถูกกล่าวหาไม่ว่าจะเป็น นางสุดารัตน์ และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ล้วนเป็นนักการเมืองร่วมในคณะรัฐบาลเดียวกัน ทำให้ถูกมองว่ารัฐบาลต้องการซื้อเวลาเพื่อลดกระแสเหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติอยู่เสมอนั่นเอง
3 ตุลาคมประกาศทำสงครามคอรัปชั่นแค่ลดกระแสสังคมไม่พอใจ
การที่ นายกฯทักษิณ ออกมาประกาศว่าในวันที่ 3 ตุลาคม 2547 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 2 ปี การปฏิรูประบบราชการนั้นถือว่าไม่ได้สร้างความมั่นใจกับประชาชนแม้แต่น้อย เพราะถ้าสังเกตให้ดีแล้วทุกครั้งที่รัฐบาลถูกวิจารณ์ในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น นายกฯทักษิณ ก็มักแสดงท่าทีเอาจริงเอาจังอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อกระแสสังคมเริ่มลืมเลือนทุกอย่างก็เงียบหายไป
ดังที่เคยเกิดขึ้นเร็วๆนี้กรณีผลวิจัยของนักวิชาการหลายคน รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่มี นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธานระบุว่ารัฐบาลชุดนี้มีการทุจริตกันอย่างมโหฬารที่สุด มีความแนบเนียนที่สุด และได้แพร่กระจายออกไปทุกหย่อมหญ้าแล้ว พร้อมทั้งเตือนให้เห็นถึงภัยของการทุจริตคอรัปชั่นว่าเป็นภัยของชาติ หากไม่รีบหาทางแก้ไขโดยเร็วปัญหาดังกล่าวก็จะลุกลามจนยากที่จะเยียวยาในที่สุด
หรือกรณีที่มีปัญญาชน เช่น น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ออกมาระบุทำนองเดียวกันพร้อมทั้งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุติโครงการที่ไร้ศิลธรรมและให้ยกเลิก “ฟาสต์ฟูดโพลิซี่” เป็นต้น ในครั้งนั้นนายกรัฐมนตรีก็แสดงท่าทีเอาจริงเอาจังว่าในการเป็นรัฐบาลสมัยหน้าจะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง เพื่อลดกระแสเท่านั้นเอง
สรุป
ดังนั้นหากพิจารณาจากระยะเวลาเกือบ 4 ปีที่ นายกฯทักษิณ และพรรคไทยรักไทยเข้ามาบริหารประเทศกล่าวได้ว่าสอบตกอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ได้เอาจริงเอาจังหรือจริงใจกับการตรวจสอบหรือปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับพบว่ายิ่งนับวันมีบุคคลสำคัญในรัฐบาลถูกกล่าวหามากขึ้นทุกที ทั้งในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน เอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง โดยไม่สนใจต่อคำวิจารณ์หรือเสียงท้วงติงจากสังคม
กรณีความไม่ชอบมาพากลในกระทรวงสาธารสุขถือเป็นตัวอย่างล่าสุดสำหรับพฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลชุดนี้ที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่จริงใจในเรื่องดังกล่าว เพราะในที่สุดแล้วก็ไม่ได้มีเจตนาในการสอบสวนหาข้อเท็จจริง หรือถ้ามีการสอบสวนก็จะดำเนินการไปในลักษณะเพื่อซื้อเวลาและปกป้องพวกเดียวกันเท่านั้นเอง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-
ขณะเดียวกันหากพิจารณาแนวโน้มในการจัดการกับปัญหาดังกล่าวกลับมีความมืดมนลงทุกที เนื่องจากผู้นำรัฐบาลไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหา ในทางตรงกันข้ามกลับมีท่าทีปกป้องผู้กระทำผิด หรือไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบใดๆทั้งสิ้นจนสร้างความผิดหวังให้กับประชาชน มากขึ้นเรื่อยๆ
สารพัดทุจริตในกระทรวงสาธารณสุขท้าทายความจริงใจ “ทักษิณ”
กรณีปัญหาความไม่ชอบมาพากลในการประมูลจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ในวงเงินงบประมาณ 900 ล้านบาทของกระทรวงสาธารสุขถือเป็นตัวอย่างล่าสุดที่ชี้ให้เห็นได้เป็นอย่างดีแนวโน้มการทุจริตคอร์รัปชั่นภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดนี้ เป็นการชี้ให้เห็นว่าการทุจริตมีเครือข่ายขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ จนยากเยียวยาแก้ไข
จากการเปิดโปงของ นพ.วัลลภ ไทยเหนือ ซึ่งถูกปลดพ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขหลังจากไปขวางทางขบวนการฮั้วประมูล พบว่ามีการเรียกเก็บค่าหัวคิวจากการประมูลดังกล่าวสูงถึง 20% ทีเดียว
หรือกรณี น.พ.อนันต์ อริยะชัยพาณิชย์ อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ยื่นใบลาออกเพื่อประท้วงความไม่เป็นธรรมภายในกระทรวงสาธารณสุขอีกคนหนึ่งออกมาแฉความไม่ชอบมาพากลในโครงการประมูลจัดซื้อรถพยาบาลฉุกเฉินจำนวนกว่า 200 คัน งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท ว่ามีการจ่ายค่าหัวคิวจากบริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งที่มีความใกล้ชิดกับแกนนำสำคัญในรัฐบาลในราคาคันละ 50,000 บาท รวมแล้วประมาณ 10 ล้านบาทเพื่อให้ได้รับการคัดเลือก ซึ่งหากกล่าวโดยทั่วไปแล้ววิธีการแบบนี้ก็คือมีการล็อกสเป็กเอาไว้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง
ความไม่ชอบมาพากลภายในกระทรวงสาธารณสุขอีกเรื่องหนึ่งที่ออกมามาจากปากของ น.พ.อนันต์ ก็คือเรื่องการประมูลโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาแห่งใหม่ขององค์การเภสัชกรรม
(อภ.) ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ก่อสร้างในวงเงิน 525 ล้านบาท แต่ปรากฎว่า 2 รายยื่นประมูลเสนอราคา 1,000 ล้านบาท และ 1,080 ล้านบาท ตามลำดับ โดยไม่ยอมลดราคาลงมา แม้ว่ามีการเสนอให้ยกเลิกการประมูลก็ตาม แต่ที่น่าจับตาก็คือต่อไปจะมีกาเสนอเพิ่มงบให้สูงตามราคาของเอกชนเพื่อเอาใจฝ่ายการเมืองหรือไม่
จับตาพฤติกรรมปกป้องนักการเมืองพวกเดียวกัน
อย่างไรก็ดีแม้ว่าเป็นเพียงข้อมูล และเป็นข้อกล่าวหาเบื้องต้นก็ตาม แต่สิ่งที่สร้างความผิดหวังให้กับสังคมเป็นอย่างยิ่งก็คือ พฤติกรรมและท่าทีของ นายกฯทักษิณ เพราะแทนที่สนับสนุนให้มีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใสโดยเร็ว ยอมรับข้อเสนอจากหลายฝ่ายที่ต้องการให้คนกลางที่ได้รับการยอมรับจากสังคมมาดำเนินการ กลับกลายเป็นว่า นายกฯทักษิณ ออกมาปกป้องนักการเมืองพวกเดียวกันเอง หรือชี้นำการสอบสวนเสียก่อน
โดยเฉพาะคำพูดของ นายกฯ ทักษิณ ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าต้องการบิดเบือนข้อมูล เช่นระบุว่าสาเหตุที่ต้องยกเลิกการประกวดราคาเนื่องจากเงื่อนไขการประกวดราคา(ทีโออาร์) เขียนไว้ไม่ชัดเจน ถ้าอนุมัติให้บริษัทที่เสนอราคาเครื่องต่ำ แต่ค่าบำรุงรักษาสูง จะเสียประโยชน์ทางราชการประมาณ 300 ล้านบาท แต่ถ้าหากว่าบริษัทที่เสนอราคาเครื่องสูง ค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า รวมแล้วต่ำกว่า ก็จะกลายเป็นว่า “ไม่ถูกเงื่อนไข” เพราะเนื่องจากว่าราคาสูงกว่าเหล่านี้ เป็นต้น
หากสังเกตให้ดีแล้วเป็นการพูดที่เหมือนกับคำพูดของ นางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยของสังคมอยู่ในขณะนี้เคยกล่าวเอาไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยนนั่นเอง
นอกจากนี้ความไม่จริงใจในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นที่แสดงให้เห็นอีกประการหนึ่งก็คือมีความพยายามให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเข้ามาเป็นประธานการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ก็ยิ่งไม่ได้รับความเชื่อถือจากสังคมมากขึ้นไปอีก
เพราะบุคคลที่ต้องสงสัยและถูกกล่าวหาไม่ว่าจะเป็น นางสุดารัตน์ และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ล้วนเป็นนักการเมืองร่วมในคณะรัฐบาลเดียวกัน ทำให้ถูกมองว่ารัฐบาลต้องการซื้อเวลาเพื่อลดกระแสเหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติอยู่เสมอนั่นเอง
3 ตุลาคมประกาศทำสงครามคอรัปชั่นแค่ลดกระแสสังคมไม่พอใจ
การที่ นายกฯทักษิณ ออกมาประกาศว่าในวันที่ 3 ตุลาคม 2547 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 2 ปี การปฏิรูประบบราชการนั้นถือว่าไม่ได้สร้างความมั่นใจกับประชาชนแม้แต่น้อย เพราะถ้าสังเกตให้ดีแล้วทุกครั้งที่รัฐบาลถูกวิจารณ์ในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น นายกฯทักษิณ ก็มักแสดงท่าทีเอาจริงเอาจังอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อกระแสสังคมเริ่มลืมเลือนทุกอย่างก็เงียบหายไป
ดังที่เคยเกิดขึ้นเร็วๆนี้กรณีผลวิจัยของนักวิชาการหลายคน รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่มี นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธานระบุว่ารัฐบาลชุดนี้มีการทุจริตกันอย่างมโหฬารที่สุด มีความแนบเนียนที่สุด และได้แพร่กระจายออกไปทุกหย่อมหญ้าแล้ว พร้อมทั้งเตือนให้เห็นถึงภัยของการทุจริตคอรัปชั่นว่าเป็นภัยของชาติ หากไม่รีบหาทางแก้ไขโดยเร็วปัญหาดังกล่าวก็จะลุกลามจนยากที่จะเยียวยาในที่สุด
หรือกรณีที่มีปัญญาชน เช่น น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ออกมาระบุทำนองเดียวกันพร้อมทั้งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุติโครงการที่ไร้ศิลธรรมและให้ยกเลิก “ฟาสต์ฟูดโพลิซี่” เป็นต้น ในครั้งนั้นนายกรัฐมนตรีก็แสดงท่าทีเอาจริงเอาจังว่าในการเป็นรัฐบาลสมัยหน้าจะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง เพื่อลดกระแสเท่านั้นเอง
สรุป
ดังนั้นหากพิจารณาจากระยะเวลาเกือบ 4 ปีที่ นายกฯทักษิณ และพรรคไทยรักไทยเข้ามาบริหารประเทศกล่าวได้ว่าสอบตกอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ได้เอาจริงเอาจังหรือจริงใจกับการตรวจสอบหรือปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับพบว่ายิ่งนับวันมีบุคคลสำคัญในรัฐบาลถูกกล่าวหามากขึ้นทุกที ทั้งในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน เอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง โดยไม่สนใจต่อคำวิจารณ์หรือเสียงท้วงติงจากสังคม
กรณีความไม่ชอบมาพากลในกระทรวงสาธารสุขถือเป็นตัวอย่างล่าสุดสำหรับพฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลชุดนี้ที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่จริงใจในเรื่องดังกล่าว เพราะในที่สุดแล้วก็ไม่ได้มีเจตนาในการสอบสวนหาข้อเท็จจริง หรือถ้ามีการสอบสวนก็จะดำเนินการไปในลักษณะเพื่อซื้อเวลาและปกป้องพวกเดียวกันเท่านั้นเอง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-