นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกระทรวง การคลังเปิดเผยรายงานฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด และระบบ สศค. ประจำเดือนมิถุนายน 2547 สรุปได้ว่า ตัวชี้วัดทางการคลังตามระบบ สศค. และตามระบบกระแสเงินสดสะท้อนถึงฐานะการคลังอันแข็งแกร่ง และภาคเอกชนที่มีการขยายตัวอย่างมาก ซึ่งสะท้อนจากการที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิของผู้ประกอบการได้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนภาครายจ่ายของรัฐบาลยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ฐานะการคลังทั้งตามระบบสศค. และระบบกระแสเงินสดได้ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจอย่างอัตโนมัติ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ
1. ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด (Cash Basis)
1.1 เดือนมิถุนายน 2547
รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 167,551 ล้านบาท และมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 94,595 ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายปีปัจจุบัน 89,937 ล้านบาท และรายจ่ายปีก่อน 4,658 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลงบประมาณเกินดุล 72,957 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณซึ่งขาดดุล 24,335 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลเกินดุลเงินสด 48,622 ล้านบาท (สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วซึ่งเกินดุล 30,932 ล้านบาท ) เมื่อพิจารณาดุลการคลังเบื้องต้น (รายรับที่ไม่รวมดอกเบี้ยรับ หักด้วยรายจ่ายที่ไม่รวมดอกเบี้ยจ่าย) รัฐบาลเกินดุลจำนวน 79,940 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิจัดเก็บได้สูงกว่าปีที่แล้วถึงร้อยละ 30
1.2 ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค.46 - มิ.ย.47)
รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวมทั้งสิ้น 831,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 113,173 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.8 ขณะที่การเบิกจ่ายมีจำนวนทั้งสิ้น 835,576 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 121,435 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.0 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวน 39,217 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลงบประมาณขาดดุล 4,166 ล้านบาท เมื่อรวมกับการขาดดุลนอกงบประมาณ 77,117 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 81,283 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลชดเชยการขาดดุลโดยการใช้เงินคงคลัง จำนวน 38,283 ล้านบาท และโดยการกู้เงิน จำนวน 43,000 ล้านบาท ด้วยการออกตั๋วเงินคลัง และพันธบัตร 13,000 และ 30,000 ล้านบาท ตามลำดับ
2. เงินคงคลังรัฐบาล
เงินคงคลังเบื้องต้น ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2547 มีจำนวน 92,934 ล้านบาท (ประมาณ 23 วันทำการ) เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 48,622 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิในเดือนมิถุนายน 2547 ที่เพิ่มขึ้นมาก
3. ฐานะการคลังตามระบบ สศค. (GFS Basis)
3.1 เดือนมิถุนายน 2547
3.1.1 ด้านรายได้
รัฐบาลมีรายได้รวมทั้งสิ้น 187,720 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้นำส่งคลัง 167,551 ล้านบาท และรายได้จากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณ รวมทั้งเงินช่วยเหลืออีกจำนวน 20,169 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักรายการนับซ้ำออกแล้ว รัฐบาลมีรายได้สุทธิจำนวน 180,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 26.8 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้ปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้น
3.1.2 ด้านรายจ่าย
รัฐบาลมีรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 103,762 ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายจากงบประมาณปีปัจจุบันและปีก่อนจำนวน 94,194 ล้านบาท รายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศและเงินช่วยเหลือจำนวน 900 ล้านบาท และรายจ่ายจากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณอีก 8,668 ล้านบาท ส่งผลให้มีเม็ดเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ (หลังจากหักนับซ้ำแล้ว) จำนวน 97,022 ล้านบาท (ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 87,291 ล้านบาทและรายจ่ายลงทุน 9,730 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 7.5
3.1.3 ดุลการคลังรัฐบาล
ดุลการคลัง (Fiscal Balance) ของรัฐบาลตามระบบ สศค.เดือนมิถุนายน 2547 เกินดุลสูงถึง 82,410 ล้านบาท เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้วเกินดุลเพียง 48,399 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลจากการมีรายได้นำส่งคลังสูงกว่ารายจ่าย
3.2 ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค.46 - มิ.ย.47)
3.2.1 ด้านรายได้
รัฐบาลมีรายได้รวม 1,060,682 ล้านบาท โดยมีรายได้นำส่งคลัง 823,604 ล้านบาท รายได้จากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณ และเงินช่วยเหลืออีกจำนวน 237,078 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักรายการนับซ้ำออกแล้ว รัฐบาลมีรายได้สุทธิจำนวน 992,631 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 23.0 สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องส่งผลให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งเป็นผลจากหน่วยงานจัดเก็บได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดเก็บภาษี
3.2.2 ด้านรายจ่าย
รัฐบาลได้จ่ายเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 974,924 ล้านบาท โดยจ่ายจากงบประมาณจำนวน 841,788 ล้านบาท จากรายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศและเงินช่วยเหลือจำนวน 8,306 ล้านบาท รายจ่ายจากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณอีก 124,830 ล้านบาท ส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้า สู่ระบบเศรษฐกิจ (หลังหักนับซ้ำแล้ว) จำนวน 906,874 ล้านบาท (ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 827,894 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน 78,980 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 20.1 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายประจำร้อยละ 22.2 ในขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.7
3.2.3 ดุลการคลัง
รัฐบาลเกินดุลการดำเนินงานเบื้องต้น 164,737 ล้านบาท และเกินดุลการให้กู้ยืมสุทธิจำนวน 85,757 ล้านบาท และเมื่อหักผลของการให้กู้ยืมตามนโยบายรัฐบาลสุทธิจำนวน 23,304 ล้านบาท ทำให้ดุลการคลังเกินดุลทั้งสิ้น 62,453 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วเกินดุลเพิ่มขึ้น 30,609 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 96.1
4. ผลกระทบของผลการดำเนินงานรัฐบาลในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 ที่มีต่อภาคเศรษฐกิจอื่นๆ
4.1 ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง
รายจ่ายของรัฐบาลที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของ GDP โดยตรงมี 2 ส่วนคือรายจ่ายเพื่อการบริโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาล (ประกอบด้วยรายจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง การใช้สินค้าและบริการ) และรายจ่ายเพื่อการลงทุนของรัฐบาล ในขณะเดียวกันรายได้หลักของรัฐบาล คือ ภาษี และเงินสมทบประกันสังคม เป็นการดึงอำนาจซื้อจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐบาล ซึ่งจะส่งผลให้ภาคเอกชนมีอำนาจซื้อลดลง
รายจ่ายเพื่อการบริโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาลในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากการขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการ ในขณะที่รายจ่ายลงทุนของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ด้านภาระภาษี และเงินสมทบประกันสังคมของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 10.2 สะท้อนถึงการจ้างงาน และผลประกอบการภาคเอกชนได้ปรับตัวสูงขึ้น
4.2 ภาคการเงิน
ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 ขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 81,283 ล้านบาท และได้ชดเชยการขาดดุลโดยใช้เงินคงคลังจำนวน 38,283 ล้านบาท และการกู้ยืมเงินโดยการออกตั๋วเงินคลังและพันธบัตรจำนวน 13,000 และ 30,000 ล้านบาท ตามลำดับ
เนื่องจาก ณ สิ้นเดือนพฤษภาคมเป็นวันสุดท้ายของการยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลของกำไรสุทธิรอบบัญชีปี 2546 ของนิติบุคคล และรัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 77,873 ล้านบาท แต่เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะชำระภาษีในช่วงสิ้นเดือนทำให้จำนวนเงินดังกล่าวถูกนำส่งคลังในช่วงต้นเดือนมิถุนายน จำนวนภาษีดังกล่าวเป็นเม็ดเงินที่ภาครัฐบาลดูดออกจากระบบเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาสั้นจึงส่งผลต่อตลาดการเงินคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคารตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม ถึง 6 มิถุนายนสูงขึ้น จากร้อยละ 1.05 เป็นประมาณร้อยละ 1.1 และกลับลงมาที่ร้อยละ 1.05 อีกในวันที่ 9 มิถุนายน ผลกระทบดังกล่าวเป็นผลระยะสั้นต่อการบริหารสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์จึงทำให้อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารสูงขึ้นในระยะสั้น และกลับลดลงมาอยู่ในระดับเดิมในเวลาที่ไม่นานนัก ในอีกด้านหนึ่งการดูดเงินออกจากระบบการเงินนี้เป็นการช่วยลดสภาพคล่องส่วนเกินได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ส่งผลต่อระบบการเงินมากนักเพราะเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับสภาพคล่องส่วนเกินทั้งหมด หากในอนาคตรัฐบาลนำเงินคงคลังที่มีอยู่มาใช้ก็จะเป็นการเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่เศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 56/2547 3 สิงหาคม 2547--
1. ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด (Cash Basis)
1.1 เดือนมิถุนายน 2547
รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 167,551 ล้านบาท และมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 94,595 ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายปีปัจจุบัน 89,937 ล้านบาท และรายจ่ายปีก่อน 4,658 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลงบประมาณเกินดุล 72,957 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณซึ่งขาดดุล 24,335 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลเกินดุลเงินสด 48,622 ล้านบาท (สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วซึ่งเกินดุล 30,932 ล้านบาท ) เมื่อพิจารณาดุลการคลังเบื้องต้น (รายรับที่ไม่รวมดอกเบี้ยรับ หักด้วยรายจ่ายที่ไม่รวมดอกเบี้ยจ่าย) รัฐบาลเกินดุลจำนวน 79,940 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิจัดเก็บได้สูงกว่าปีที่แล้วถึงร้อยละ 30
1.2 ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค.46 - มิ.ย.47)
รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวมทั้งสิ้น 831,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 113,173 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.8 ขณะที่การเบิกจ่ายมีจำนวนทั้งสิ้น 835,576 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 121,435 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.0 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวน 39,217 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลงบประมาณขาดดุล 4,166 ล้านบาท เมื่อรวมกับการขาดดุลนอกงบประมาณ 77,117 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 81,283 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลชดเชยการขาดดุลโดยการใช้เงินคงคลัง จำนวน 38,283 ล้านบาท และโดยการกู้เงิน จำนวน 43,000 ล้านบาท ด้วยการออกตั๋วเงินคลัง และพันธบัตร 13,000 และ 30,000 ล้านบาท ตามลำดับ
2. เงินคงคลังรัฐบาล
เงินคงคลังเบื้องต้น ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2547 มีจำนวน 92,934 ล้านบาท (ประมาณ 23 วันทำการ) เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 48,622 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิในเดือนมิถุนายน 2547 ที่เพิ่มขึ้นมาก
3. ฐานะการคลังตามระบบ สศค. (GFS Basis)
3.1 เดือนมิถุนายน 2547
3.1.1 ด้านรายได้
รัฐบาลมีรายได้รวมทั้งสิ้น 187,720 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้นำส่งคลัง 167,551 ล้านบาท และรายได้จากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณ รวมทั้งเงินช่วยเหลืออีกจำนวน 20,169 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักรายการนับซ้ำออกแล้ว รัฐบาลมีรายได้สุทธิจำนวน 180,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 26.8 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้ปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้น
3.1.2 ด้านรายจ่าย
รัฐบาลมีรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 103,762 ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายจากงบประมาณปีปัจจุบันและปีก่อนจำนวน 94,194 ล้านบาท รายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศและเงินช่วยเหลือจำนวน 900 ล้านบาท และรายจ่ายจากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณอีก 8,668 ล้านบาท ส่งผลให้มีเม็ดเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ (หลังจากหักนับซ้ำแล้ว) จำนวน 97,022 ล้านบาท (ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 87,291 ล้านบาทและรายจ่ายลงทุน 9,730 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 7.5
3.1.3 ดุลการคลังรัฐบาล
ดุลการคลัง (Fiscal Balance) ของรัฐบาลตามระบบ สศค.เดือนมิถุนายน 2547 เกินดุลสูงถึง 82,410 ล้านบาท เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้วเกินดุลเพียง 48,399 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลจากการมีรายได้นำส่งคลังสูงกว่ารายจ่าย
3.2 ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค.46 - มิ.ย.47)
3.2.1 ด้านรายได้
รัฐบาลมีรายได้รวม 1,060,682 ล้านบาท โดยมีรายได้นำส่งคลัง 823,604 ล้านบาท รายได้จากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณ และเงินช่วยเหลืออีกจำนวน 237,078 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักรายการนับซ้ำออกแล้ว รัฐบาลมีรายได้สุทธิจำนวน 992,631 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 23.0 สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องส่งผลให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งเป็นผลจากหน่วยงานจัดเก็บได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดเก็บภาษี
3.2.2 ด้านรายจ่าย
รัฐบาลได้จ่ายเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 974,924 ล้านบาท โดยจ่ายจากงบประมาณจำนวน 841,788 ล้านบาท จากรายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศและเงินช่วยเหลือจำนวน 8,306 ล้านบาท รายจ่ายจากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณอีก 124,830 ล้านบาท ส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้า สู่ระบบเศรษฐกิจ (หลังหักนับซ้ำแล้ว) จำนวน 906,874 ล้านบาท (ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 827,894 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน 78,980 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 20.1 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายประจำร้อยละ 22.2 ในขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.7
3.2.3 ดุลการคลัง
รัฐบาลเกินดุลการดำเนินงานเบื้องต้น 164,737 ล้านบาท และเกินดุลการให้กู้ยืมสุทธิจำนวน 85,757 ล้านบาท และเมื่อหักผลของการให้กู้ยืมตามนโยบายรัฐบาลสุทธิจำนวน 23,304 ล้านบาท ทำให้ดุลการคลังเกินดุลทั้งสิ้น 62,453 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วเกินดุลเพิ่มขึ้น 30,609 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 96.1
4. ผลกระทบของผลการดำเนินงานรัฐบาลในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 ที่มีต่อภาคเศรษฐกิจอื่นๆ
4.1 ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง
รายจ่ายของรัฐบาลที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของ GDP โดยตรงมี 2 ส่วนคือรายจ่ายเพื่อการบริโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาล (ประกอบด้วยรายจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง การใช้สินค้าและบริการ) และรายจ่ายเพื่อการลงทุนของรัฐบาล ในขณะเดียวกันรายได้หลักของรัฐบาล คือ ภาษี และเงินสมทบประกันสังคม เป็นการดึงอำนาจซื้อจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐบาล ซึ่งจะส่งผลให้ภาคเอกชนมีอำนาจซื้อลดลง
รายจ่ายเพื่อการบริโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาลในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากการขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการ ในขณะที่รายจ่ายลงทุนของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ด้านภาระภาษี และเงินสมทบประกันสังคมของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 10.2 สะท้อนถึงการจ้างงาน และผลประกอบการภาคเอกชนได้ปรับตัวสูงขึ้น
4.2 ภาคการเงิน
ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 ขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 81,283 ล้านบาท และได้ชดเชยการขาดดุลโดยใช้เงินคงคลังจำนวน 38,283 ล้านบาท และการกู้ยืมเงินโดยการออกตั๋วเงินคลังและพันธบัตรจำนวน 13,000 และ 30,000 ล้านบาท ตามลำดับ
เนื่องจาก ณ สิ้นเดือนพฤษภาคมเป็นวันสุดท้ายของการยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลของกำไรสุทธิรอบบัญชีปี 2546 ของนิติบุคคล และรัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 77,873 ล้านบาท แต่เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะชำระภาษีในช่วงสิ้นเดือนทำให้จำนวนเงินดังกล่าวถูกนำส่งคลังในช่วงต้นเดือนมิถุนายน จำนวนภาษีดังกล่าวเป็นเม็ดเงินที่ภาครัฐบาลดูดออกจากระบบเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาสั้นจึงส่งผลต่อตลาดการเงินคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคารตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม ถึง 6 มิถุนายนสูงขึ้น จากร้อยละ 1.05 เป็นประมาณร้อยละ 1.1 และกลับลงมาที่ร้อยละ 1.05 อีกในวันที่ 9 มิถุนายน ผลกระทบดังกล่าวเป็นผลระยะสั้นต่อการบริหารสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์จึงทำให้อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารสูงขึ้นในระยะสั้น และกลับลดลงมาอยู่ในระดับเดิมในเวลาที่ไม่นานนัก ในอีกด้านหนึ่งการดูดเงินออกจากระบบการเงินนี้เป็นการช่วยลดสภาพคล่องส่วนเกินได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ส่งผลต่อระบบการเงินมากนักเพราะเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับสภาพคล่องส่วนเกินทั้งหมด หากในอนาคตรัฐบาลนำเงินคงคลังที่มีอยู่มาใช้ก็จะเป็นการเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่เศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 56/2547 3 สิงหาคม 2547--