"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เผย ส.ส.ใต้ 5 คน ยืนยันจะอยู่กับ ปชป.ต่อไป ติงอย่าสร้างค่านิยมว่าจะต้องเป็น ส.ส. รัฐบาลเท่านั้นถึงจะได้รับการสนับสนุน ระบุอยากเห็นพรรคทางเลือกที่สามเป็นรูปธรรมชัดเจน หากมีเจตนารมณ์เพื่อการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง
วันนี้ (4 ส.ค.47 ) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘ข่าวยามเช้า’ ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 เมกะเฮิร์ท ในเรื่องการย้ายพรรคของ ส.ส.ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ว่า กรณีของ ส.ส. 5 คนในพื้นที่ภาคใต้ นั้น ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคฯ ได้พูดคุยกับ ส.ส.ดังกล่าวในเบื้องต้นแล้ว และได้รับคำยืนยันว่าจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ‘ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ จะเห็นว่าแนวการทำงานที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เราพยายามที่จะสร้างบุคลากรของเรา ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่านักการเมืองก็มีการติดต่อพูดคุยกัน แต่คงไม่มีนโยบายที่จะดึงตัวส.ส.จากพรรคอื่นหรือตั้งเป้าหมายว่า จำนวนกี่คน เท่านั้น เท่านี้ แล้วก็มีคนไปตามล่าอะไรอย่างนั้น คงไม่ใช่ ’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ต่อข้อถามที่ว่าการย้ายพรรคของ ส.ส.ฝ่ายค้าน นั้นมาจากประชาชนต้องการที่จะให้ ส.ส.เป็นฝ่ายรัฐบาล เพราะจะได้รับการสนับสนุนมากกว่านั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่อยากให้ความคิดดังกล่าวเป็นความคิดที่เป็นที่ยอมรับทั่วไป เพราะจะกระทบต่อการทำงานของระบบสภาในระบอบประชาธิปไตย ทั้ง ส.ส.ของฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างก็มีหน้าที่เป็นปากเสียงของประชาชนเหมือนกัน ดังนั้นรัฐบาลจะต้องแยกแยะให้ออกถึงการทำหน้าที่ในฐานะรัฐบาล
‘รัฐบาลต้องแยกแยะให้ออกว่า การทำหน้าที่ในฐานะรัฐบาล การบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อมีความเดือดร้อนปัญหา อะไรอยู่ที่ไหน จะต้องแก้ไขเสมอหน้าทั่วกัน คงจะมาเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ว่า ตรงนี้มีผู้แทนฝ่ายค้านจะไม่ทำอย่างนั้น อย่างนี้ หรือว่า ตรงนั้นมีส.ส.รัฐบาลก็เลยทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วก็เรียนในฐานะที่เป็นส.ส.เขตพื้นที่มาก่อน อะไรที่เป็นนโยบายรัฐบาล อะไรที่เป็นความจำเป็นของประชาชนส่วนใหญ่การทำงานในพื้นที่จริงๆ ก็มักจะไม่มีการแบ่งฝ่ายกัน ดังนั้น อย่าไปสร้างค่านิยมว่าจะต้องเป็น ส.ส. รัฐบาลอย่างเดียว ’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับความเคลื่อนไหวของการตั้งพรรคทางเลือกที่ 3 ของอาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์นั้น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณีนี้ค่อนข้างจะตรงกับการเรียกร้องพรรคที่ 3 ในช่วงที่ ผ่านมา เพราะผู้จัดตั้งพยายามที่จะเสนอการแก้ไขปัญหาในบางประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะกังวลว่ามีการรวบอำนาจ หรือเจตนารมย์ของการปฏิรูปครั้งที่ผ่านมาอาจจะถูกเบี่ยงเบน ซึ่งตนเห็นว่าการจัดตั้งพรรคดังกล่าวไม่มีความเด่นชัดในเรื่องของการส่งผู้สมัครที่จะมาแข่งขันกับพรรคอื่น แต่เกิดขึ้นเพื่อต้องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กับ เรื่องของการปฏิรูปการเมืองเป็นหลัก โดยส่วนตนแล้วก็อยากเห็นพรรคทางเลือกที่สามเป็นรูปธรรมชัดเจนออกมา เนื่องจากที่ผ่านมาการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นักการเมืองมักจะกังวลว่าอาจจะถูกกล่าวหาว่าแก้ไขเพื่อตนเอง ดังนั้นจึงอยากเห็นการริเริ่มจากบุคคลอื่น ซึ่งไม่ได้เป็นนักการเมืองในปัจจุบัน โดยเฉพาะถ้ามีแนวคิดทางวิชาการรองรับ ก็จะตรงกับเจตนารมย์ของการปฏิรูปการเมืองมากขึ้น ‘ผมคิดว่ามันตรงกับเสียงเรียกร้องก่อนหน้านี้ ใจผมยังอยากเห็น กลุ่มคนกลุ่มนี้เป็นรูปธรรมออกมาว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันน่าจะอยู่ตรงไหน เพราะจริงแล้วไม่มีพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่งที่จะไปแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ยกเว้นได้เสียงเกิน 350 เสียง’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-
วันนี้ (4 ส.ค.47 ) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘ข่าวยามเช้า’ ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 เมกะเฮิร์ท ในเรื่องการย้ายพรรคของ ส.ส.ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ว่า กรณีของ ส.ส. 5 คนในพื้นที่ภาคใต้ นั้น ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคฯ ได้พูดคุยกับ ส.ส.ดังกล่าวในเบื้องต้นแล้ว และได้รับคำยืนยันว่าจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ‘ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ จะเห็นว่าแนวการทำงานที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เราพยายามที่จะสร้างบุคลากรของเรา ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่านักการเมืองก็มีการติดต่อพูดคุยกัน แต่คงไม่มีนโยบายที่จะดึงตัวส.ส.จากพรรคอื่นหรือตั้งเป้าหมายว่า จำนวนกี่คน เท่านั้น เท่านี้ แล้วก็มีคนไปตามล่าอะไรอย่างนั้น คงไม่ใช่ ’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ต่อข้อถามที่ว่าการย้ายพรรคของ ส.ส.ฝ่ายค้าน นั้นมาจากประชาชนต้องการที่จะให้ ส.ส.เป็นฝ่ายรัฐบาล เพราะจะได้รับการสนับสนุนมากกว่านั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่อยากให้ความคิดดังกล่าวเป็นความคิดที่เป็นที่ยอมรับทั่วไป เพราะจะกระทบต่อการทำงานของระบบสภาในระบอบประชาธิปไตย ทั้ง ส.ส.ของฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างก็มีหน้าที่เป็นปากเสียงของประชาชนเหมือนกัน ดังนั้นรัฐบาลจะต้องแยกแยะให้ออกถึงการทำหน้าที่ในฐานะรัฐบาล
‘รัฐบาลต้องแยกแยะให้ออกว่า การทำหน้าที่ในฐานะรัฐบาล การบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อมีความเดือดร้อนปัญหา อะไรอยู่ที่ไหน จะต้องแก้ไขเสมอหน้าทั่วกัน คงจะมาเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ว่า ตรงนี้มีผู้แทนฝ่ายค้านจะไม่ทำอย่างนั้น อย่างนี้ หรือว่า ตรงนั้นมีส.ส.รัฐบาลก็เลยทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วก็เรียนในฐานะที่เป็นส.ส.เขตพื้นที่มาก่อน อะไรที่เป็นนโยบายรัฐบาล อะไรที่เป็นความจำเป็นของประชาชนส่วนใหญ่การทำงานในพื้นที่จริงๆ ก็มักจะไม่มีการแบ่งฝ่ายกัน ดังนั้น อย่าไปสร้างค่านิยมว่าจะต้องเป็น ส.ส. รัฐบาลอย่างเดียว ’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับความเคลื่อนไหวของการตั้งพรรคทางเลือกที่ 3 ของอาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์นั้น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณีนี้ค่อนข้างจะตรงกับการเรียกร้องพรรคที่ 3 ในช่วงที่ ผ่านมา เพราะผู้จัดตั้งพยายามที่จะเสนอการแก้ไขปัญหาในบางประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะกังวลว่ามีการรวบอำนาจ หรือเจตนารมย์ของการปฏิรูปครั้งที่ผ่านมาอาจจะถูกเบี่ยงเบน ซึ่งตนเห็นว่าการจัดตั้งพรรคดังกล่าวไม่มีความเด่นชัดในเรื่องของการส่งผู้สมัครที่จะมาแข่งขันกับพรรคอื่น แต่เกิดขึ้นเพื่อต้องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กับ เรื่องของการปฏิรูปการเมืองเป็นหลัก โดยส่วนตนแล้วก็อยากเห็นพรรคทางเลือกที่สามเป็นรูปธรรมชัดเจนออกมา เนื่องจากที่ผ่านมาการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นักการเมืองมักจะกังวลว่าอาจจะถูกกล่าวหาว่าแก้ไขเพื่อตนเอง ดังนั้นจึงอยากเห็นการริเริ่มจากบุคคลอื่น ซึ่งไม่ได้เป็นนักการเมืองในปัจจุบัน โดยเฉพาะถ้ามีแนวคิดทางวิชาการรองรับ ก็จะตรงกับเจตนารมย์ของการปฏิรูปการเมืองมากขึ้น ‘ผมคิดว่ามันตรงกับเสียงเรียกร้องก่อนหน้านี้ ใจผมยังอยากเห็น กลุ่มคนกลุ่มนี้เป็นรูปธรรมออกมาว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันน่าจะอยู่ตรงไหน เพราะจริงแล้วไม่มีพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่งที่จะไปแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ยกเว้นได้เสียงเกิน 350 เสียง’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-