'อภิมงคล' ตั้งข้อสังเกตรัฐเร่งแปรรูป กฟผ. หวั่น ประโยชน์ตกไม่ถึงมือประชาชน ด้าน ‘กรณ์’ แนะ รัฐพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ควรเร่งรีบ ผลักดันแบบลวกๆ พร้อมทั้งเห็นว่าการเร่งแปรรูปเป็นการกระตุ้นตลาดหุ้นของ รบ.
มล.อภิมงคล โสณกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงวันนี้ (24 เม.ย. 48) ที่พรรคประชาธิปัตย์ ถึงกรณีที่คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ (กนท.) ซึ่งมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 21 เม.ย.48 ให้แปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นบริษัท กฟผ. จำกัด ( มหาชน ) (บมจ. กฟผ.) โดยมีทุนจดทะเบียนจำนวน 60,000 ล้านบาท ซึ่ง มล.อภิมงคล ได้ตั้งข้อสังเกตใน 5 ประเด็น ดังนี้
1. การจดทะเบียน กฟผ. ทั้งองค์กรไม่ส่งเสริมให้มีการแข่งขันอย่างเสรี เนื่องจาก 1. กฟผ. ยังมีระบบส่งและศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าในครอบครอง ส่งผลให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน ขาดแรงผลักดันในการปรับปรุงประสิทธิภาพในระยะยาว เนื่องจาก กฟผ. สามารถกีดกันบริษัทเอกชนในการเชื่อมโยงกับระบบได้ โดยอาศัยเหตุผลทางเทคนิคเป็นข้ออ้าง ซึ่งแม้ว่าจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลที่เป็นอิสระและมีประสิทธิภาพก็ไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหานี้ได้ เนื่องจากข้อมูลด้านเทคนิคทั้งหมดอยู่ในความครอบครองของ กฟผ. ทั้งนี้ การกีดกันการเชื่อมโยงกับระบบในลักษณะนี้เกิดขึ้นในประเทศเยอรมันหลังจากมีการแปรรูปกิจการไฟฟ้าโดยไม่มีการแยกธุรกิจระบบส่งกับธุรกิจผลิตไฟฟ้า โดยในปีแรกหลังจากการแปรรูปมีการฟ้องร้องในชั้นศาลในเรื่องดังกล่าวกว่า 300 กรณี 2.ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะไม่สามารถมั่นใจได้ว่าการสั่งการเดินเครื่องของ กฟผ. ในอนาคตจะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม เนื่องจาก กฟผ. อาจสั่งเดินเครื่องของตนเองก่อนผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแม้ว่าของเอกชนอาจมีต้นทุนต่ำกว่าเพื่อสร้างกำไรให้กับตนเอง ทั้งนี้แม้ว่าต้นทุนโดยรวมในการจัดหาไฟฟ้าจะสูงขึ้นแต่ กฟผ. สามารถส่งต้นทุนดังกล่าวไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าได้ในค่า Ft
2. ร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) กำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกิจการผลิตไฟฟ้าขึ้น เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบการขอเชื่อมโยงระบบส่งของ กฟน. และ กฟภ. แต่ไม่ครอบคลุมถึง กฟผ. รวมทั้งออกข้อบังคับในการจัดการปริมาณน้ำในเขื่อน และพิจารณาให้ความเห็นชอบการก่อสร้างสายส่ง ซึ่งการจัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าวมีความซ้ำซ้อนกับการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2548 ซึ่งจะทำให้การกำกับดูแลทางเศรษฐศาสตร์ขาดความต่อเนื่อง ขาดประสิทธิภาพ
3. บทบาทของรัฐบาลในการดำเนินการของ กฟผ. ขาดความชัดเจน เนื่องจากรัฐบาลจะเป็นทั้งผู้กำหนดนโยบายพลังงาน ผู้ถือหุ้นใหญ่ และ ผู้มีอำนาจกำกับดูแล กฟผ. ซึ่งในแต่ละบทบาทมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน ทำให้กิจการไฟฟ้าโดยรวมขาดความโปร่งใส เช่นเดียวกับในกรณีของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งภายหลังจากมีการแปรรูปบริษัทดังกล่าว รัฐบาลได้ยกเลิกการแยกระบบท่อออกเป็นอิสระ ส่งผลให้กิจการก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยมีลักษณะผูกขาด ทำให้ผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติไม่ได้รับผลประโยชน์จากการแปรรูปอย่างแท้จริง
4. หากมีการโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับเขื่อนและอ่างเก็บน้ำไปให้กระทรวงการคลัง จะต้องมีการยกร่างสัญญาเช่าเขื่อนระหว่างรัฐบาลกับบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ในอนาคต โดยอัตราค่าเช่าสะท้อนถึงการใช้เขื่อนเพื่อประโยชน์ในการชลประทาน อย่างไรก็ตามข้อเสนอของรัฐบาลยังขาดความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว และรัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขเนื่องจากมีผลต่อรายได้หากมีการกระจายหุ้น
5. ในกรณีที่จะมีการแปรรูปรัฐจะต้องมั่นใจว่ามีการตีราคาทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจอย่างสมเหตุสมผล โดยไม่มีการตีราคาต่ำเพื่อรักษาระดับ Return on Invested Capital (ROIC) ไว้โดยไม่ต้องปรับอัตราค่าไฟฟ้าให้สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง เพราะการปรับลดราคาทรัพย์สินลงในลักษณะดังกล่าวเปรียบเสมือนการขายทรัพย์สินของชาติในราคาที่ต่ำเกินความจริง
‘การที่ตั้งข้อสังเกตเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตเตือนใจรัฐบาลว่า ถ้าต้องการให้ผลตอบแทนในการลงทุนอยู่ในระดับที่สูง ต้องการให้อัตราค่าไฟฟ้าอยู่ในระดับต่ำ วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการประเมินทรัพย์สินให้ราคาต่ำ ซึ่งผมขออย่าให้เกิดการดำเนินงานอย่างนั้น เพราะถือเป็นการเอาทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนทุกคนไปขาย โดยที่ไม่ได้รับผลตอบแทนในอัตราที่เหมาะสม และถ้าหากเรามีการแปรรูปออกไปก่อนที่จะมีการยกร่างกฎหมายที่ชัดเจน มีอำนาจทางกฎหมายที่จะเข้าไปดูแลผู้บริโภค ผมเกรงว่าจะเป็นการยกธุรกิจที่มีลักษณะผูกขาดโดยธรรมชาติไปอยู่ในมือเอกชน โดยไม่มีการกำกับดูแล’ มล.อภิมงคลกล่าว
ด้านนายกรณ์ จาติกวนิช รองเลขาธิการพรรคฯ กล่าวว่าการแปรรูปการไฟฟ้า เป็นเรื่องที่เรามีความกังวลมากที่สุด เพราะเป็นการขายทรัพย์สินของประเทศ ดังนั้นขอให้รัฐบาลดูในแง่ของราคาการประเมินทรัพย์สิน ไม่ให้เกิดการขายทรัพย์สินในราคาที่ต่ำเกินควร และรัฐบาลต้องพิจารณาให้รอบคอบในเรื่องของการแยกระบบสายส่งออกมาเป็นหลัก ไม่ควรเร่งรีบ ผลักดันแบบลวกๆ เพราะระบบสายส่งเป็นทรัพย์สินของรัฐ ไม่ได้เป็นระบบที่จะให้มีการแข่งขันเกิดขึ้นได้ เนื่องจากมีเพียงระบบเดียว และไม่จำเป็นต้องมีอีกระบบ เพื่อสร้างขึ้นมาแข่งขัน เพราะฉะนั้นทำไมจึงต้องโอนทรัพย์สมบัติของชาติส่วนนี้ ให้เป็นส่วนของบริษัทที่จะมีการแปรรูป ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร ซึ่งคำถามนี้ไม่เคยมีคำตอบ ซึ่งตนเห็นว่าการที่รัฐบาลเร่งรีบที่จะผลักดันให้ กฟผ. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะนโยบายการแปรรูปวิสาหกิจ เป็น 1 ใน นโยบายหลักของรัฐบาล และปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นกำลังซบเซา รัฐบาลจึงอยากกระตุ้นตลาดหุ้น ด้วยการผลักดันให้มีรัฐวิสาหกิจที่นักลงทุนรอคอย ‘ความจริงข้อเสนอของเราไม่ได้เป็นแนวคิดใหม่ เดิมทีเราเคยคิดในเรื่องของการแปรรูปการไฟฟ้าในส่วนของการผลิตอย่างเดียว ในสมัยนายกฯชวน โดยแยกเป็น 3 บริษัท จัดกลุ่มตามลักษณะประเภทของโรงไฟฟ้า โดยไม่คิดขายสายส่ง คำถามที่ฝากถามกลับไปถึงรัฐบาลคือ ทำไมถึงไม่คิดจะทำตามแบบที่พรรคประชาธิปัตย์ หรือหน่วยราชการหลายหน่วยคิดมาโดยตลอด เพื่อให้มีผลประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด ทำไมถึงคิดว่าวิธีของรัฐบาลได้ผลักดันจึงดีกว่า’ นายกรณ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 เม.ย. 2548--จบ--
-ดท-
มล.อภิมงคล โสณกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงวันนี้ (24 เม.ย. 48) ที่พรรคประชาธิปัตย์ ถึงกรณีที่คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ (กนท.) ซึ่งมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 21 เม.ย.48 ให้แปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นบริษัท กฟผ. จำกัด ( มหาชน ) (บมจ. กฟผ.) โดยมีทุนจดทะเบียนจำนวน 60,000 ล้านบาท ซึ่ง มล.อภิมงคล ได้ตั้งข้อสังเกตใน 5 ประเด็น ดังนี้
1. การจดทะเบียน กฟผ. ทั้งองค์กรไม่ส่งเสริมให้มีการแข่งขันอย่างเสรี เนื่องจาก 1. กฟผ. ยังมีระบบส่งและศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าในครอบครอง ส่งผลให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน ขาดแรงผลักดันในการปรับปรุงประสิทธิภาพในระยะยาว เนื่องจาก กฟผ. สามารถกีดกันบริษัทเอกชนในการเชื่อมโยงกับระบบได้ โดยอาศัยเหตุผลทางเทคนิคเป็นข้ออ้าง ซึ่งแม้ว่าจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลที่เป็นอิสระและมีประสิทธิภาพก็ไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหานี้ได้ เนื่องจากข้อมูลด้านเทคนิคทั้งหมดอยู่ในความครอบครองของ กฟผ. ทั้งนี้ การกีดกันการเชื่อมโยงกับระบบในลักษณะนี้เกิดขึ้นในประเทศเยอรมันหลังจากมีการแปรรูปกิจการไฟฟ้าโดยไม่มีการแยกธุรกิจระบบส่งกับธุรกิจผลิตไฟฟ้า โดยในปีแรกหลังจากการแปรรูปมีการฟ้องร้องในชั้นศาลในเรื่องดังกล่าวกว่า 300 กรณี 2.ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะไม่สามารถมั่นใจได้ว่าการสั่งการเดินเครื่องของ กฟผ. ในอนาคตจะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม เนื่องจาก กฟผ. อาจสั่งเดินเครื่องของตนเองก่อนผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแม้ว่าของเอกชนอาจมีต้นทุนต่ำกว่าเพื่อสร้างกำไรให้กับตนเอง ทั้งนี้แม้ว่าต้นทุนโดยรวมในการจัดหาไฟฟ้าจะสูงขึ้นแต่ กฟผ. สามารถส่งต้นทุนดังกล่าวไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าได้ในค่า Ft
2. ร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) กำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกิจการผลิตไฟฟ้าขึ้น เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบการขอเชื่อมโยงระบบส่งของ กฟน. และ กฟภ. แต่ไม่ครอบคลุมถึง กฟผ. รวมทั้งออกข้อบังคับในการจัดการปริมาณน้ำในเขื่อน และพิจารณาให้ความเห็นชอบการก่อสร้างสายส่ง ซึ่งการจัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าวมีความซ้ำซ้อนกับการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2548 ซึ่งจะทำให้การกำกับดูแลทางเศรษฐศาสตร์ขาดความต่อเนื่อง ขาดประสิทธิภาพ
3. บทบาทของรัฐบาลในการดำเนินการของ กฟผ. ขาดความชัดเจน เนื่องจากรัฐบาลจะเป็นทั้งผู้กำหนดนโยบายพลังงาน ผู้ถือหุ้นใหญ่ และ ผู้มีอำนาจกำกับดูแล กฟผ. ซึ่งในแต่ละบทบาทมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน ทำให้กิจการไฟฟ้าโดยรวมขาดความโปร่งใส เช่นเดียวกับในกรณีของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งภายหลังจากมีการแปรรูปบริษัทดังกล่าว รัฐบาลได้ยกเลิกการแยกระบบท่อออกเป็นอิสระ ส่งผลให้กิจการก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยมีลักษณะผูกขาด ทำให้ผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติไม่ได้รับผลประโยชน์จากการแปรรูปอย่างแท้จริง
4. หากมีการโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับเขื่อนและอ่างเก็บน้ำไปให้กระทรวงการคลัง จะต้องมีการยกร่างสัญญาเช่าเขื่อนระหว่างรัฐบาลกับบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ในอนาคต โดยอัตราค่าเช่าสะท้อนถึงการใช้เขื่อนเพื่อประโยชน์ในการชลประทาน อย่างไรก็ตามข้อเสนอของรัฐบาลยังขาดความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว และรัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขเนื่องจากมีผลต่อรายได้หากมีการกระจายหุ้น
5. ในกรณีที่จะมีการแปรรูปรัฐจะต้องมั่นใจว่ามีการตีราคาทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจอย่างสมเหตุสมผล โดยไม่มีการตีราคาต่ำเพื่อรักษาระดับ Return on Invested Capital (ROIC) ไว้โดยไม่ต้องปรับอัตราค่าไฟฟ้าให้สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง เพราะการปรับลดราคาทรัพย์สินลงในลักษณะดังกล่าวเปรียบเสมือนการขายทรัพย์สินของชาติในราคาที่ต่ำเกินความจริง
‘การที่ตั้งข้อสังเกตเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตเตือนใจรัฐบาลว่า ถ้าต้องการให้ผลตอบแทนในการลงทุนอยู่ในระดับที่สูง ต้องการให้อัตราค่าไฟฟ้าอยู่ในระดับต่ำ วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการประเมินทรัพย์สินให้ราคาต่ำ ซึ่งผมขออย่าให้เกิดการดำเนินงานอย่างนั้น เพราะถือเป็นการเอาทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนทุกคนไปขาย โดยที่ไม่ได้รับผลตอบแทนในอัตราที่เหมาะสม และถ้าหากเรามีการแปรรูปออกไปก่อนที่จะมีการยกร่างกฎหมายที่ชัดเจน มีอำนาจทางกฎหมายที่จะเข้าไปดูแลผู้บริโภค ผมเกรงว่าจะเป็นการยกธุรกิจที่มีลักษณะผูกขาดโดยธรรมชาติไปอยู่ในมือเอกชน โดยไม่มีการกำกับดูแล’ มล.อภิมงคลกล่าว
ด้านนายกรณ์ จาติกวนิช รองเลขาธิการพรรคฯ กล่าวว่าการแปรรูปการไฟฟ้า เป็นเรื่องที่เรามีความกังวลมากที่สุด เพราะเป็นการขายทรัพย์สินของประเทศ ดังนั้นขอให้รัฐบาลดูในแง่ของราคาการประเมินทรัพย์สิน ไม่ให้เกิดการขายทรัพย์สินในราคาที่ต่ำเกินควร และรัฐบาลต้องพิจารณาให้รอบคอบในเรื่องของการแยกระบบสายส่งออกมาเป็นหลัก ไม่ควรเร่งรีบ ผลักดันแบบลวกๆ เพราะระบบสายส่งเป็นทรัพย์สินของรัฐ ไม่ได้เป็นระบบที่จะให้มีการแข่งขันเกิดขึ้นได้ เนื่องจากมีเพียงระบบเดียว และไม่จำเป็นต้องมีอีกระบบ เพื่อสร้างขึ้นมาแข่งขัน เพราะฉะนั้นทำไมจึงต้องโอนทรัพย์สมบัติของชาติส่วนนี้ ให้เป็นส่วนของบริษัทที่จะมีการแปรรูป ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร ซึ่งคำถามนี้ไม่เคยมีคำตอบ ซึ่งตนเห็นว่าการที่รัฐบาลเร่งรีบที่จะผลักดันให้ กฟผ. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะนโยบายการแปรรูปวิสาหกิจ เป็น 1 ใน นโยบายหลักของรัฐบาล และปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นกำลังซบเซา รัฐบาลจึงอยากกระตุ้นตลาดหุ้น ด้วยการผลักดันให้มีรัฐวิสาหกิจที่นักลงทุนรอคอย ‘ความจริงข้อเสนอของเราไม่ได้เป็นแนวคิดใหม่ เดิมทีเราเคยคิดในเรื่องของการแปรรูปการไฟฟ้าในส่วนของการผลิตอย่างเดียว ในสมัยนายกฯชวน โดยแยกเป็น 3 บริษัท จัดกลุ่มตามลักษณะประเภทของโรงไฟฟ้า โดยไม่คิดขายสายส่ง คำถามที่ฝากถามกลับไปถึงรัฐบาลคือ ทำไมถึงไม่คิดจะทำตามแบบที่พรรคประชาธิปัตย์ หรือหน่วยราชการหลายหน่วยคิดมาโดยตลอด เพื่อให้มีผลประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด ทำไมถึงคิดว่าวิธีของรัฐบาลได้ผลักดันจึงดีกว่า’ นายกรณ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 เม.ย. 2548--จบ--
-ดท-