นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ โฆษกพรรคไทยรักไทย ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรจะเปลี่ยนอุดมการณ์มากกว่าเปลี่ยนฮวงจุ้ยถึงจะอยู่รอดได้นั้น ว่า การปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์หรือสถานที่เป็นเรื่องภายในพรรคที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่และไม่ควรมาก้าวก่ายกัน ตนคิดว่าถ้าพรรคไทยรักไทยย้ายเก้าอี้สักตัวหนึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์แน่นอน แต่ก็ดีใจที่การปรับเปลี่ยนครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้โฆษกพรรคไทยรักไทยต้องออกมาแถลงและให้ความเห็น
นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า นายสุรนันทน์และพรรคไทยรักไทยไม่เข้าใจอุดมการณ์และนโยบาย พรรคประชาธิปัตย์ก่อตั้งขึ้นโดยมี 2 สิ่งมาประกอบกันคืออุดมการณ์และนโยบายที่รองรับอุดมการณ์ เพราะฉะนั้นคำแนะดังกล่าวจริงๆแล้วไม่ได้ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนอุดมการณ์เมื่อไร พรรคนี้ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งหนี่งที่พรรคประชาธิปัตย์ยึดถือมาตลอดคืออุดมการณ์ของพรรคที่เปลี่ยนไม่ได้ แต่สิ่งที่พรรคปรับเปลี่ยนมาตลอดคือนโยบาย เพื่อให้สอดคล้องกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ถ้าพรรคไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายก็คงจะอยู่มาถึงทุกวันนี้ไม่ได้
“อยากจะฝากไปถึงพรรคไทยรักไทยว่า ในการก่อตั้งพรรคไทยรักไทยนั้นไม่มีอุดมการณ์ มีเฉพาะนโยบายอย่างเดียว นี่คือสิ่งที่เราแตกต่างกันคือประชาธิปัตย์มีทั้งอุดมการณ์และนโยบาย” นายนิพิฏฐ์ กล่าวและว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างนักการเมืองมาตลอด แต่นักการเมืองที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์นั้นอยู่ยาก เพราะถูกกำกับด้วยอุดมการณ์และนโยบาย ดังนั้นจึงมีการย้ายพรรคออกไปเรื่อยๆแต่เราก็ยังอยู่มาได้ การอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์นั้นอยู่ยาก เพราะเราเป็นสถาบันทางการเมืองแล้ว ไม่เหมือนกับการอยู่ในพรรคไทยรักไทย ที่อยู่ง่าย เพียงแต่ทำตามคำสั่งของหัวหน้าพรรคก็อยู่ได้
“ความแตกต่างของส.ส.ไทยรักไทยกับประชาธิปัตย์เปรียบเหมือนดวงดาว ส.ส.ประชาธิปัตย์เปรียบเหมือนดาวฤกษ์ที่ต้องมีแสงสว่างในตัวเองด้วย แต่ส.ส.ไทยรักไทยเปรียบเหมือนดาวเคราะห์ที่ไม่ต้องอาศัยแสงสว่างในตัวเอง เพียงแต่อาศัยแสงจากหัวหน้าพรรคก็เพียงพอแล้ว วันใดวันหนึ่งที่หัวหน้าพรรคล้มหายตายจากไป ผมทำนายไว้เลยว่า พรรคไทยรักไทยจะล้มหายตายจากไปจากระบบการเมืองไปด้วย” นายนิพิฏฐ์ กล่าว
นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า วันนี้ตื่นเช้นขึ้นมาพรรคไทยรักไทยทำ 2 สิ่งคือ ฝ่ายหนึ่งนั่งด่าพรรคประชาธิปัตย์และจะส่งอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายดูดและฝ่ายจัดซื้อ ไปกว้านซื้อตัวส.ส.ที่มีอยู่ 2 ระบบคือ ซื้อแบบเหมาโหลราคาหนึ่งที่ถูกกว่า และซื้อแบบเดี่ยวที่ราคาอาจจะแพงกว่า ดังนั้นที่บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์เลือดไหลไม่หยุดนั้นก็ต้องยอมรับความจริง แต่ขณะเดียวกันเลือดไม่ดีดังกล่าวก็ไหลเข้าไทยรักไทย เพราะฉะนั้นถ้าให้ยกมือกันในพรรคไทยรักไทยว่าใครเคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บ้าง ผมคิดว่าเกินครึ่งหนึ่งที่เคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ นั่นคือสิ่งที่พรรคไทยรักไทยต้องตระหนักไว้ด้วย
“ขอเปรียบพรรคไทยรักไทยเหมือนนักเรียนที่เรียนลัดและโกงข้อสอบ ได้คะแนนมากและสอบได้ที่ 1 ไม่เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นนักเรียนที่เรียนตามปกติ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร แต่ได้คะแนนน้อยกว่าคนที่โกงข้อสอบ เพราะฉะนั้นคนที่โกงข้อสอบไม่ควรจะมาตำหนิคนที่เรียนตามปกติด้วยความขยันหมั่นเพียร ไม่ควรจะมาดูถูกกันอย่างนั้น ควรจะรังเกียจตัวของคุณเองมากกว่าที่เรียนลัดและโกงข้อสอบ ไม่ควรชื่นชมว่าตัวเองมีคะแนนมากกว่า มีส.ส.มากกว่าแต่วิธีไม่สง่างามเลย” นายนิพิฏฐ์ กล่าวและว่า สิ่งที่พรรคไทยรักไทยควรจะทำในวันนี้ก็คือ การสร้างส.ส. สร้างนักการเมืองใหม่ๆ เพื่อเป็นพรรคคิดใหม่ ทำใหม่อย่าใช้วิธีการดูดส.ส. เพราะทุกวันนี้ไม่มีอะไรใหม่เลยในพรรคไทยรักไทย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า นายสุรนันทน์และพรรคไทยรักไทยไม่เข้าใจอุดมการณ์และนโยบาย พรรคประชาธิปัตย์ก่อตั้งขึ้นโดยมี 2 สิ่งมาประกอบกันคืออุดมการณ์และนโยบายที่รองรับอุดมการณ์ เพราะฉะนั้นคำแนะดังกล่าวจริงๆแล้วไม่ได้ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนอุดมการณ์เมื่อไร พรรคนี้ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งหนี่งที่พรรคประชาธิปัตย์ยึดถือมาตลอดคืออุดมการณ์ของพรรคที่เปลี่ยนไม่ได้ แต่สิ่งที่พรรคปรับเปลี่ยนมาตลอดคือนโยบาย เพื่อให้สอดคล้องกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ถ้าพรรคไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายก็คงจะอยู่มาถึงทุกวันนี้ไม่ได้
“อยากจะฝากไปถึงพรรคไทยรักไทยว่า ในการก่อตั้งพรรคไทยรักไทยนั้นไม่มีอุดมการณ์ มีเฉพาะนโยบายอย่างเดียว นี่คือสิ่งที่เราแตกต่างกันคือประชาธิปัตย์มีทั้งอุดมการณ์และนโยบาย” นายนิพิฏฐ์ กล่าวและว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างนักการเมืองมาตลอด แต่นักการเมืองที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์นั้นอยู่ยาก เพราะถูกกำกับด้วยอุดมการณ์และนโยบาย ดังนั้นจึงมีการย้ายพรรคออกไปเรื่อยๆแต่เราก็ยังอยู่มาได้ การอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์นั้นอยู่ยาก เพราะเราเป็นสถาบันทางการเมืองแล้ว ไม่เหมือนกับการอยู่ในพรรคไทยรักไทย ที่อยู่ง่าย เพียงแต่ทำตามคำสั่งของหัวหน้าพรรคก็อยู่ได้
“ความแตกต่างของส.ส.ไทยรักไทยกับประชาธิปัตย์เปรียบเหมือนดวงดาว ส.ส.ประชาธิปัตย์เปรียบเหมือนดาวฤกษ์ที่ต้องมีแสงสว่างในตัวเองด้วย แต่ส.ส.ไทยรักไทยเปรียบเหมือนดาวเคราะห์ที่ไม่ต้องอาศัยแสงสว่างในตัวเอง เพียงแต่อาศัยแสงจากหัวหน้าพรรคก็เพียงพอแล้ว วันใดวันหนึ่งที่หัวหน้าพรรคล้มหายตายจากไป ผมทำนายไว้เลยว่า พรรคไทยรักไทยจะล้มหายตายจากไปจากระบบการเมืองไปด้วย” นายนิพิฏฐ์ กล่าว
นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า วันนี้ตื่นเช้นขึ้นมาพรรคไทยรักไทยทำ 2 สิ่งคือ ฝ่ายหนึ่งนั่งด่าพรรคประชาธิปัตย์และจะส่งอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายดูดและฝ่ายจัดซื้อ ไปกว้านซื้อตัวส.ส.ที่มีอยู่ 2 ระบบคือ ซื้อแบบเหมาโหลราคาหนึ่งที่ถูกกว่า และซื้อแบบเดี่ยวที่ราคาอาจจะแพงกว่า ดังนั้นที่บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์เลือดไหลไม่หยุดนั้นก็ต้องยอมรับความจริง แต่ขณะเดียวกันเลือดไม่ดีดังกล่าวก็ไหลเข้าไทยรักไทย เพราะฉะนั้นถ้าให้ยกมือกันในพรรคไทยรักไทยว่าใครเคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บ้าง ผมคิดว่าเกินครึ่งหนึ่งที่เคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ นั่นคือสิ่งที่พรรคไทยรักไทยต้องตระหนักไว้ด้วย
“ขอเปรียบพรรคไทยรักไทยเหมือนนักเรียนที่เรียนลัดและโกงข้อสอบ ได้คะแนนมากและสอบได้ที่ 1 ไม่เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นนักเรียนที่เรียนตามปกติ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร แต่ได้คะแนนน้อยกว่าคนที่โกงข้อสอบ เพราะฉะนั้นคนที่โกงข้อสอบไม่ควรจะมาตำหนิคนที่เรียนตามปกติด้วยความขยันหมั่นเพียร ไม่ควรจะมาดูถูกกันอย่างนั้น ควรจะรังเกียจตัวของคุณเองมากกว่าที่เรียนลัดและโกงข้อสอบ ไม่ควรชื่นชมว่าตัวเองมีคะแนนมากกว่า มีส.ส.มากกว่าแต่วิธีไม่สง่างามเลย” นายนิพิฏฐ์ กล่าวและว่า สิ่งที่พรรคไทยรักไทยควรจะทำในวันนี้ก็คือ การสร้างส.ส. สร้างนักการเมืองใหม่ๆ เพื่อเป็นพรรคคิดใหม่ ทำใหม่อย่าใช้วิธีการดูดส.ส. เพราะทุกวันนี้ไม่มีอะไรใหม่เลยในพรรคไทยรักไทย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-