สศอ. เปิดโครงการ "Benchmarking"ชี้วัดศักยภาพอุตสาหกรรมเชิงเปรียบเทียบในกลุ่มปิโตรเคมี ผลศึกษาชี้แนวโน้มอุตสาหกรรมเติบโตอีกหลายปี ทิ้งห่างคู่แข่งอย่างอินเดีย และอินโดนีเซีย เหตุมีโครงการรัฐเกื้อหนุน ทั้งกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น-ครัวโลก-ดีทรอยด์แห่งเอเชีย ส่งผลให้การใช้วัตถุดิบปิโตรเคมีพุ่ง ประกอบกับ ไทยมีแหล่งก๊าซธรรมชาติ เอื้อการลงทุนระยะยาว เร่งวางแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอย่างเป็นระบบ หนุนผู้ประกอบการสร้างกลุ่มคลัสเตอร์ที่เข้มแข็ง เล็งขยายตลาดสู่กลุ่มประเทศอินโดจีน
นางสาวสุชาดา วราภรณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สศอ. ได้ดำเนินโครงการจัดทำฐานข้อมูลอุตสาหกรรมเชิงเปรียบเทียบเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน [Competitive Benchmarking
] สาขาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เนื่องจาก เล็งเห็นถึงทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรม อีกทั้ง ยังมีจุดได้เปรียบในเรื่องของแหล่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีที่มีศักยภาพต่อไปได้ ดังนั้น แผนพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในอนาคต จึงได้เร่งส่งเสริมการขยายกำลังการผลิต ในแถบพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกให้เกิดเป็นคลัสเตอร์ที่เข้มแข็งขึ้น เนื่องจาก บริเวณดังกล่าว มีปัจจัยโครงสร้างสาธารณูปโภค ประเภท ก๊าซธรรมชาติ ที่มีปริมาณสูงและยังไม่ถูกนำมาใช้ในการผลิต ประกอบกับ ระบบขนส่งเอื้ออำนวยทั้งในทางบกและทางน้ำ นอกจากนี้ ได้วางแผนการพัฒนาเส้นทางรถไฟจากในประเทศเชื่อมต่อไปยังตอนใต้ของประเทศจีน เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ผลิตของไทยสามารถเข้าถึงตลาดอินโดจีนได้มากขึ้น อันจะช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถแข่งขันในตลาดสากล
จากผลศึกษา พบว่า ปัจจุบัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในประเทศ มีประสิทธิภาพทางการผลิตและจำหน่ายอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ เนื่องจาก ได้รับปัจจัยสนับสนุนในโครงการหลักๆ ซึ่งผลักดันให้อุตสาหกรรมนี้ขยายตัว อาทิ โครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น โครงการครัวของโลก โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ และการส่งเสริมกลุ่มธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ส่งผลให้มีการบริโภคเม็ดพลาสติกเป็นปริมาณที่สูงขึ้น
นางสาวสุชาดาฯ กล่าวเสริมว่า การเปรียบเทียบข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ได้ดำเนินการเปรียบเทียบกับประเทศผู้ผลิตสำคัญ โดยพิจารณาจากประเทศที่มีศักยภาพในการแข่งขันใกล้เคียงกับประเทศไทย ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ และไต้หวัน โดยมีการสำรวจและสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อสรุปเป็นภาพรวมของไทย ในส่วนการจัดเก็บข้อมูลจะครอบคลุมตลอดกระบวนการผลิตทั้งหมด อาทิ ข้อมูลพื้นฐานอุตสาหกรรม ระดับเทคโนโลยี ประสิทธิผลของกระบวนการผลิต คุณภาพและต้นทุนวัตถุดิบ
สำหรับผลการศึกษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศคู่แข่งในเม็ดพลาสติกหลัก ได้แก่ PE,PP,PVC,PS/EPS,ABS/SAN และ PET พบว่า ประเทศอินเดีย โครงสร้างพื้นฐานยังไม่ดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และมีความล่าช้าในการจัดการขนถ่ายสินค้า (Handing) ทั้งนี้ ประเทศอินเดียมีนโยบายที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกภายในประเทศ อันจะส่งผลให้ความต้องการเม็ดพลาสติกเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่า ในอนาคตอินเดียอาจผลิตเม็ดพลาสติกไม่เพียงพอกับความต้องการ และต้องมีการสั่งนำเข้าจากต่างประเทศ ด้าน ประเทศอินโดนีเซีย มีทรัพยากรที่ใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ ปิโตรเคมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้นำมาผลิตปิโตรเคมีเลย เนื่องจาก ภูมิประเทศเป็นเกาะในทะเลลึก จึงไม่สามารถวางท่อได้ นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังคงมีปัญหาเรื่องความมั่นคงภายในประเทศ การคอรัปชั่น ส่งผลต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ส่วนประเทศเกาหลีใต้ มีข้อจำกัดเรื่องทรัพยากรปิโตรเลียมในประเทศ และประสบปัญหาอย่างหนักในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ในปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายเสริมสร้างอุตสาหกรรมแปรรูปพลาสติก เพื่อสร้างตลาดในประเทศ และส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์เกรดพิเศษซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูง ทั้งนี้ ผู้ผลิตไทยมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าผู้ผลิตเกาหลีใต้ แต่อาจเสียเปรียบเรื่องต้นทุนค่าขนส่งไปยังตลาดจีน ขณะที่ ประเทศมาเลเซีย จัดเป็นคู่แข่งสำคัญของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทย เนื่องจาก มีความได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนการผลิต เพราะผู้ผลิตส่วนใหญ่ใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิต อีกทั้ง รัฐบาลเร่งสร้างระบบขนส่งและสาธารณูปโภคพื้นฐานรองรับการขยายตัวของปิโตรเคมี อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยมีการพัฒนาก๊าซธรรมชาติมาใช้ในการผลิตปิโตรเคมีมากขึ้น ย่อมทำให้ศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มขึ้น
สำหรับ ประเทศสิงคโปร์ มีข้อได้เปรียบในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะ ท่าเรือที่ทันสมัย จนได้รับการยอมรับให้เป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคเอเชีย และคุณภาพแรงงาน ทั้งในด้านภาษาอังกฤษและทักษะแรงงาน แต่เสียเปรียบมากในเรื่องตลาดที่มีขนาดเล็ก ทำให้ต้องพึ่งพาตลาดส่งออกเป็นหลัก ขณะที่ ประเทศไต้หวัน กำลังเผชิญปัญหา ผู้ผลิตย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศจีน ดังนั้น ไต้หวันจึงควรเร่งปรับนโยบายการค้า และส่งเสริมการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง นอกจากนี้ รัฐบาลไต้หวันได้จัดทำแผนพัฒนาประเทศระยะ 6 ปี โดยมีเป้าหมายว่าในปี 2008 ไต้หวันจะต้องกลายเป็น Green Silicon island โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นสำคัญ
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
นางสาวสุชาดา วราภรณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สศอ. ได้ดำเนินโครงการจัดทำฐานข้อมูลอุตสาหกรรมเชิงเปรียบเทียบเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน [Competitive Benchmarking
] สาขาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เนื่องจาก เล็งเห็นถึงทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรม อีกทั้ง ยังมีจุดได้เปรียบในเรื่องของแหล่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีที่มีศักยภาพต่อไปได้ ดังนั้น แผนพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในอนาคต จึงได้เร่งส่งเสริมการขยายกำลังการผลิต ในแถบพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกให้เกิดเป็นคลัสเตอร์ที่เข้มแข็งขึ้น เนื่องจาก บริเวณดังกล่าว มีปัจจัยโครงสร้างสาธารณูปโภค ประเภท ก๊าซธรรมชาติ ที่มีปริมาณสูงและยังไม่ถูกนำมาใช้ในการผลิต ประกอบกับ ระบบขนส่งเอื้ออำนวยทั้งในทางบกและทางน้ำ นอกจากนี้ ได้วางแผนการพัฒนาเส้นทางรถไฟจากในประเทศเชื่อมต่อไปยังตอนใต้ของประเทศจีน เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ผลิตของไทยสามารถเข้าถึงตลาดอินโดจีนได้มากขึ้น อันจะช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถแข่งขันในตลาดสากล
จากผลศึกษา พบว่า ปัจจุบัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในประเทศ มีประสิทธิภาพทางการผลิตและจำหน่ายอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ เนื่องจาก ได้รับปัจจัยสนับสนุนในโครงการหลักๆ ซึ่งผลักดันให้อุตสาหกรรมนี้ขยายตัว อาทิ โครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น โครงการครัวของโลก โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ และการส่งเสริมกลุ่มธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ส่งผลให้มีการบริโภคเม็ดพลาสติกเป็นปริมาณที่สูงขึ้น
นางสาวสุชาดาฯ กล่าวเสริมว่า การเปรียบเทียบข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ได้ดำเนินการเปรียบเทียบกับประเทศผู้ผลิตสำคัญ โดยพิจารณาจากประเทศที่มีศักยภาพในการแข่งขันใกล้เคียงกับประเทศไทย ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ และไต้หวัน โดยมีการสำรวจและสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อสรุปเป็นภาพรวมของไทย ในส่วนการจัดเก็บข้อมูลจะครอบคลุมตลอดกระบวนการผลิตทั้งหมด อาทิ ข้อมูลพื้นฐานอุตสาหกรรม ระดับเทคโนโลยี ประสิทธิผลของกระบวนการผลิต คุณภาพและต้นทุนวัตถุดิบ
สำหรับผลการศึกษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศคู่แข่งในเม็ดพลาสติกหลัก ได้แก่ PE,PP,PVC,PS/EPS,ABS/SAN และ PET พบว่า ประเทศอินเดีย โครงสร้างพื้นฐานยังไม่ดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และมีความล่าช้าในการจัดการขนถ่ายสินค้า (Handing) ทั้งนี้ ประเทศอินเดียมีนโยบายที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกภายในประเทศ อันจะส่งผลให้ความต้องการเม็ดพลาสติกเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่า ในอนาคตอินเดียอาจผลิตเม็ดพลาสติกไม่เพียงพอกับความต้องการ และต้องมีการสั่งนำเข้าจากต่างประเทศ ด้าน ประเทศอินโดนีเซีย มีทรัพยากรที่ใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ ปิโตรเคมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้นำมาผลิตปิโตรเคมีเลย เนื่องจาก ภูมิประเทศเป็นเกาะในทะเลลึก จึงไม่สามารถวางท่อได้ นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังคงมีปัญหาเรื่องความมั่นคงภายในประเทศ การคอรัปชั่น ส่งผลต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ส่วนประเทศเกาหลีใต้ มีข้อจำกัดเรื่องทรัพยากรปิโตรเลียมในประเทศ และประสบปัญหาอย่างหนักในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ในปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายเสริมสร้างอุตสาหกรรมแปรรูปพลาสติก เพื่อสร้างตลาดในประเทศ และส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์เกรดพิเศษซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูง ทั้งนี้ ผู้ผลิตไทยมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าผู้ผลิตเกาหลีใต้ แต่อาจเสียเปรียบเรื่องต้นทุนค่าขนส่งไปยังตลาดจีน ขณะที่ ประเทศมาเลเซีย จัดเป็นคู่แข่งสำคัญของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทย เนื่องจาก มีความได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนการผลิต เพราะผู้ผลิตส่วนใหญ่ใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิต อีกทั้ง รัฐบาลเร่งสร้างระบบขนส่งและสาธารณูปโภคพื้นฐานรองรับการขยายตัวของปิโตรเคมี อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยมีการพัฒนาก๊าซธรรมชาติมาใช้ในการผลิตปิโตรเคมีมากขึ้น ย่อมทำให้ศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มขึ้น
สำหรับ ประเทศสิงคโปร์ มีข้อได้เปรียบในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะ ท่าเรือที่ทันสมัย จนได้รับการยอมรับให้เป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคเอเชีย และคุณภาพแรงงาน ทั้งในด้านภาษาอังกฤษและทักษะแรงงาน แต่เสียเปรียบมากในเรื่องตลาดที่มีขนาดเล็ก ทำให้ต้องพึ่งพาตลาดส่งออกเป็นหลัก ขณะที่ ประเทศไต้หวัน กำลังเผชิญปัญหา ผู้ผลิตย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศจีน ดังนั้น ไต้หวันจึงควรเร่งปรับนโยบายการค้า และส่งเสริมการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง นอกจากนี้ รัฐบาลไต้หวันได้จัดทำแผนพัฒนาประเทศระยะ 6 ปี โดยมีเป้าหมายว่าในปี 2008 ไต้หวันจะต้องกลายเป็น Green Silicon island โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นสำคัญ
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-