‘รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์’ ระบุ ปชป.ต้องเร่งปรับปรุงพรรคเพื่อเสนอตัวเป็นทางเลือกกับปชช. ชี้ ตัวหัวหน้าพรรคไม่จำเป็นต้องรอถึงการประชุมใหญ่เดือนเมษา เพราะปรับเร็วเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น
วันนี้(9 ก.พ.48) เวลา 09.15 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘ข่าวยามเช้า’ ทางคลื่นวิทยุ 101.0 เมกะเฮิรต์ ถึงการเข้ารับตำแหน่งรักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แทนนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ที่ประกาศลาออกไปก่อนหน้านี้ว่า การดูแลพรรคประชาธิปัตย์ คงไม่ใช่ภาระของตนคนเดียว แต่เป็นภาระของสมาชิกพรรคทุกคน ที่จะต้องช่วยกันฟื้นฟูพรรคให้เป็นทางเลือกของประชาชน ซึ่งตนเชื่ออยู่เสมอว่า ในระบอบประชาธิปไตยต้องมีทางเลือกให้ประชาชน ทั้งนี้ต้องขอแสดงความยินดีกับพรรคไทยรักไทยที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง และได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างท่วมท้น ซึ่งเป็นโอกาสดีที่พรรคไทยรักไทยจะใช้แรงสนับสนุนนี้ผลักดันนโยบายที่ได้เสนอไว้ต่อประชาชน แต่ขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ก็จะทำหน้าที่ช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างสมดุลและโปร่งใส
ส่วนการรับตำแหน่งรักษาการหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการรักษาการอะไรทั้งสิ้น เพราะเป็นอำนาจของคณะกรรมการบริหารพรรค ที่จะแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรักษาการหัวหน้าพรรค ซึ่งจะมีการประชุมกันในวันพรุ่งนี้ (1 ก.พ.48) ซึ่งในส่วนของตัวบุคคลจะเป็นใครก็ตาม ตนคิดว่าคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรอการประชุมใหญ่ในเดือนเมษายน ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะจะแสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้าน แม้จะอ่อนกำลังลง แต่ก็มีความกระตือรือต้นที่จะปรับพรรค เพื่อที่จะให้สังคมมีกำลังส่วนหนึ่งที่เป็นตัวแทนทางความคิด เพราะแม้พรรคไทยรักไทยจะชนะท่วมท้น แต่ก็มีคนในสังคมอีกไม่น้อย ที่อาจจะมีความเชื่อแตกต่างไปจากรัฐบาล เพราะฉะนั้นความกระตือรือร้นของพรรค จะเป็นตัวช่วยให้สังคมมีทางออก
‘สำหรับพรรคเองยิ่งปรับได้เร็วเท่าไหร่ ก็มีเวลาในการทำงานมากเท่านั้น วันนี้เราต้องมองไปอีก 4 ปีข้างหน้า ถ้าเราเชื่อว่าการเมืองที่ดีไม่ใช่การเมืองที่เหลือเพียงพรรคการเมืองเดียว วันนี้ประชาธิปัตย์ต้องทำให้คนที่มาสนับสนุนประชาธิปัตย์ มาสนับสนุนเพราะอยากสนับสนุน ไม่ใช่เพียงแค่อยากเก็บเอาไว้เพื่อให้มีอีกพรรคหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเวลาตรงนี้ที่จะต้องใช้ผมว่านานพอสมควรที่จะฟื้นฟูที่จะสร้างขึ้นมา เพราะว่าสภาพของการเมืองเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุผลหลายอย่าง’ นายอภิสิทธิ์กล่าว และว่า แม้พรรคจะมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ แต่ก็คงอุดมการณ์เอาไว้ เพราะอุดมการณ์ของพรรคไม่ใช่เรื่องล้าสมัย แต่วิธีการที่จะนำไปสู่เป้าหมายจะต้องมีการปรับปรุงอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องการเมืองที่เห็นได้ชัด คือ ต้องเลิกคิดเรื่องการเมืองหลายพรรค หรือรัฐบาลผสม และวันนี้ก็ต้องคิดว่าจะแข่งขันกับพรรคไทยรักไทยอย่างไร
ส่วนการเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร ที่ บัญชีจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของกรุงเทพฯกับกระทรวงมหาดไทยไม่ตรงกัน โดยจำนวนผู้มีสิทธิ์ของกระทรวงมหาดไทยมีจำนวนมากกว่าของกรุงเทพฯ 1 หมื่นคนเกือบทุกเขตนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องมีการตรวจสอบกัน แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์เกือบทุกคนได้คะแนนมากกว่า ส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เพียงแต่มีคะแนนเพิ่มขึ้นมาเป็นหมื่นเกือบทุกเขต ซึ่งคงเป็นเรื่องของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเพิ่มขึ้น ‘คงต้องไปตรวจสอบกันดู เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ต่อไป ว่า คนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งเพิ่มขึ้นตรงนี้ มาใช้สิทธิ์ด้วย และต้องดูว่าที่เพิ่มขึ้น เพราะว่าย้ายเข้ามา เมื่อไหร่ อย่างไร แต่เป็นเรื่องที่เราจะต้องเรียนรู้ เพราะต่อไปนี้การแข่งขัน ฐานมันกว้างขึ้น คนไปลงคะแนนใช้สิทธิ์กันถึง 70-80% เมื่อก่อนใครได้คะแนน 40% ชนะ เดี๋ยวนี้ใครได้ 40% คือแพ้ ซึ่งเราจะต้องพยายามเข้าถึงประชาชนอีกหลายกลุ่ม’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 9 ก.พ. 2548--จบ--
-ดท-
วันนี้(9 ก.พ.48) เวลา 09.15 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘ข่าวยามเช้า’ ทางคลื่นวิทยุ 101.0 เมกะเฮิรต์ ถึงการเข้ารับตำแหน่งรักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แทนนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ที่ประกาศลาออกไปก่อนหน้านี้ว่า การดูแลพรรคประชาธิปัตย์ คงไม่ใช่ภาระของตนคนเดียว แต่เป็นภาระของสมาชิกพรรคทุกคน ที่จะต้องช่วยกันฟื้นฟูพรรคให้เป็นทางเลือกของประชาชน ซึ่งตนเชื่ออยู่เสมอว่า ในระบอบประชาธิปไตยต้องมีทางเลือกให้ประชาชน ทั้งนี้ต้องขอแสดงความยินดีกับพรรคไทยรักไทยที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง และได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างท่วมท้น ซึ่งเป็นโอกาสดีที่พรรคไทยรักไทยจะใช้แรงสนับสนุนนี้ผลักดันนโยบายที่ได้เสนอไว้ต่อประชาชน แต่ขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ก็จะทำหน้าที่ช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างสมดุลและโปร่งใส
ส่วนการรับตำแหน่งรักษาการหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการรักษาการอะไรทั้งสิ้น เพราะเป็นอำนาจของคณะกรรมการบริหารพรรค ที่จะแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรักษาการหัวหน้าพรรค ซึ่งจะมีการประชุมกันในวันพรุ่งนี้ (1 ก.พ.48) ซึ่งในส่วนของตัวบุคคลจะเป็นใครก็ตาม ตนคิดว่าคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรอการประชุมใหญ่ในเดือนเมษายน ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะจะแสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้าน แม้จะอ่อนกำลังลง แต่ก็มีความกระตือรือต้นที่จะปรับพรรค เพื่อที่จะให้สังคมมีกำลังส่วนหนึ่งที่เป็นตัวแทนทางความคิด เพราะแม้พรรคไทยรักไทยจะชนะท่วมท้น แต่ก็มีคนในสังคมอีกไม่น้อย ที่อาจจะมีความเชื่อแตกต่างไปจากรัฐบาล เพราะฉะนั้นความกระตือรือร้นของพรรค จะเป็นตัวช่วยให้สังคมมีทางออก
‘สำหรับพรรคเองยิ่งปรับได้เร็วเท่าไหร่ ก็มีเวลาในการทำงานมากเท่านั้น วันนี้เราต้องมองไปอีก 4 ปีข้างหน้า ถ้าเราเชื่อว่าการเมืองที่ดีไม่ใช่การเมืองที่เหลือเพียงพรรคการเมืองเดียว วันนี้ประชาธิปัตย์ต้องทำให้คนที่มาสนับสนุนประชาธิปัตย์ มาสนับสนุนเพราะอยากสนับสนุน ไม่ใช่เพียงแค่อยากเก็บเอาไว้เพื่อให้มีอีกพรรคหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเวลาตรงนี้ที่จะต้องใช้ผมว่านานพอสมควรที่จะฟื้นฟูที่จะสร้างขึ้นมา เพราะว่าสภาพของการเมืองเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุผลหลายอย่าง’ นายอภิสิทธิ์กล่าว และว่า แม้พรรคจะมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ แต่ก็คงอุดมการณ์เอาไว้ เพราะอุดมการณ์ของพรรคไม่ใช่เรื่องล้าสมัย แต่วิธีการที่จะนำไปสู่เป้าหมายจะต้องมีการปรับปรุงอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องการเมืองที่เห็นได้ชัด คือ ต้องเลิกคิดเรื่องการเมืองหลายพรรค หรือรัฐบาลผสม และวันนี้ก็ต้องคิดว่าจะแข่งขันกับพรรคไทยรักไทยอย่างไร
ส่วนการเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร ที่ บัญชีจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของกรุงเทพฯกับกระทรวงมหาดไทยไม่ตรงกัน โดยจำนวนผู้มีสิทธิ์ของกระทรวงมหาดไทยมีจำนวนมากกว่าของกรุงเทพฯ 1 หมื่นคนเกือบทุกเขตนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องมีการตรวจสอบกัน แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์เกือบทุกคนได้คะแนนมากกว่า ส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เพียงแต่มีคะแนนเพิ่มขึ้นมาเป็นหมื่นเกือบทุกเขต ซึ่งคงเป็นเรื่องของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเพิ่มขึ้น ‘คงต้องไปตรวจสอบกันดู เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ต่อไป ว่า คนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งเพิ่มขึ้นตรงนี้ มาใช้สิทธิ์ด้วย และต้องดูว่าที่เพิ่มขึ้น เพราะว่าย้ายเข้ามา เมื่อไหร่ อย่างไร แต่เป็นเรื่องที่เราจะต้องเรียนรู้ เพราะต่อไปนี้การแข่งขัน ฐานมันกว้างขึ้น คนไปลงคะแนนใช้สิทธิ์กันถึง 70-80% เมื่อก่อนใครได้คะแนน 40% ชนะ เดี๋ยวนี้ใครได้ 40% คือแพ้ ซึ่งเราจะต้องพยายามเข้าถึงประชาชนอีกหลายกลุ่ม’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 9 ก.พ. 2548--จบ--
-ดท-