'พรรคประชาธิปัตย์' มีมติอนุมัติผู้สมัครเพิ่มเติมในภาคอีสาน และภาคใต้ รวม 10 คน พร้อมทั้งตั้งกรรมการบริหารพรรค 5 คน ดำเนินการพิจารณาบุคคลที่เหมาะสม เพื่อลงสมัครแทนส.ส.ภาคใต้ที่จะลาออกไปอยู่พรรคไทยรักไทย
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวภายหลังจากการประชุมกรรมการบริหารพรรค ว่า ในที่ประชุมได้สอบถามนายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ก่อนที่ส.ส.จะตัดสินใจย้ายพรรคผู้บริหารได้มีการพูดคุยกับส.ส.เหล่านั้นหรือไม่ ซึ่งนายบัญญัติได้ชี้แจงว่า ทันทีที่มีข่าวออกมา ทางคณะผู้บริหารได้พยายามที่จะพูดคุยเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง โดย ส.ส.บางคนก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าจะย้ายพรรค และส.ส.บางคนก็ยืนยันที่จะอยู่กับพรรค แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกไปโดยไม่แจ้งให้ทราบ ซึ่งหัวหน้าพรรคยืนยันว่า พรรคได้พยายามที่จะพูดคุย และทำความเข้าใจกับทุกคนแล้ว
นายองอาจ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้คณะกรรมการบริหาร 5 คน คือดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ นายนิพนธ์ บุญญามณี นายธานินท์ ใจสมุทร และนายถาวร เสนเนียม เป็นผู้ดำเนินการพิจารณาบุคคลที่เหมาะสม เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งแทนส.ส.เดิมของพรรคในภาคใต้ทั้ง 4 คน ที่จะลาออกไปอยู่พรรคไทยรักไทย เนื่องจากคณะกรรมการบริหารพรรคได้รับทราบจากผู้ที่รับผิดชอบในพื้นที่ว่า มีบุคคลที่มีความสนใจอยากจะลงสมัครในนามพรรคหลายคนด้วยกัน ซึ่งเมื่อได้ตัวบุคคลที่เหมาะสมแล้ว หัวหน้าพรรคก็จะนัดหมายสื่อมวลชนเพื่อแถลงให้ทราบอีกครั้ง
นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติอนุมัติผู้สมัครเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้
ภาคอีสาน
อุบลราชธานี เขต 7 นายแสง ศรีบุระ
อุบลราชธานี เขต 8 นายอิสสระ สมชัย
อุบลราชธานี เขต 11 นายโอวาท จุลโคตร
อำนาจเจริญ เขต 1 นายวิเชียร อุดมศักดิ์
ภาคใต้
ชุมพร เขต 1 นายศิริศักดิ์ อ่อนละมัย
ชุมพร เขต 2 นายสุวโรช พะลัง
ชุมพร เขต 3 นายธีรชาติ ปางวิรุฬรักษ์
นครศรีธรรมราช เขต 8 นายอภิชาติ ศักดิเศรษฐ์
สงขลา เขต 5 นายประพร เอกอุรุ
ตรัง เขต 2 นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย
ผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลหลักของการย้ายพรรค โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุผลหลักคงเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทางการเมือง โดยพรรคจะมีค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของส.ส.ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้เต็มที่ในเรื่องที่จำเป็น แต่ส.ส.ส่วนมากของพรรคประชาธิปัตย์ นั้นก็อยู่บนพื้นฐานของการช่วยตัวเองเป็นหลัก
ต่อข้อถามที่นายกฯบอกว่าทุกคนมาเพราะอยากอยู่กับผู้ชนะนั้น นายองอาจกล่าวว่า ตนคิดว่านักการเมือง ต้องพร้อมที่จะเป็นทั้งผู้ชนะและผู้ที่ไม่ชนะ เพราะไม่ว่าจะชนะหรือไม่ชนะก็สามารถทำงานการเมืองได้ในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ‘ ถ้าเป็นผู้ชนะได้รับเสียงข้างมากก็เป็นรัฐบาลนำนโยบายไปบริหารประเทศ แต่ถ้าเกิดไม่ชนะก็เป็นฝ่ายค้าน ซึ่งมีภาระหน้าที่สำคัญ คือตรวจสอบรัฐบาล จริงๆแล้วโลกของมนุษย์โดยทั่วๆไปทุกคนอยากเป็นผู้ชนะ แต่ในโลกของการเมืองนั้นนักการเมืองต้องพร้อมที่จะเป็นทั้ง 2 อย่าง และต้องพร้อมที่จะทำงานไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม ผมคิดว่าโลกของทางการเมืองไม่ได้ตัดสินกันที่แพ้ชนะแต่ต้องตัดสินด้วยองค์ประกอบในเรื่องของอุดมการณ์และจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน’ นายองอาจกล่าว
ส่วนกรณีที่ส.ส.ที่ย้ายพรรคระบุว่าไม่พอใจในตัวหัวหน้าพรรคฯนั้น นายองอาจกล่าวว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดพรรคฯคงห้ามไม่ได้ แต่เรื่องของหัวหน้าพรรคฯก็ได้พูดชัดเจนในที่ประชุมส.ส.แล้วว่า จะไม่เปลี่ยนหัวหน้าพรรคฯ ซึ่งพรรคต้องยืนอยู่บนความเห็นของคนส่วนใหญ่ พรรคฯคงไม่สามารถไปยืนอยู่บนความเห็นของคนส่วนน้อยได้ แต่ก็เคารพในการตัดสินใจหรือความคิดเห็นของคนส่วนน้อย จะเห็นได้ว่า ส.ส. 100 กว่าคนของพรรคยังเลือกที่จะยืนเคียงข้างพรรคฯไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ในทางกลับกันพรรคฯก็เคารพในการตัดสินใจของ ส.ส. 10 กว่าคนที่มีความประสงค์ย้ายพรรค เพียงแต่ว่าเหตุผลในการลาออกจากพรรคฯที่นำเสนอต่อประชาชนนั้นไม่ควรเป็นเหตุผลที่ใส่ร้ายป้ายสีพรรคประชาธิปัตย์ ‘หลายคนก็อยู่กับพรรคมานานจะมาอ้างว่าอุดมการณ์ไม่ตรงกับพรรคนั้นเป็นไปไม่ได้’ นายองอาจกล่าว
อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ (11 ส.ค. 47) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม จะแถลงข่าวต่อผู้สื่อข่าว เพื่อยืนยันว่าจะยังอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ส่วนนายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส.ยะลา นั้นก็ยังยืนยันกับพรรคฯว่าจะไม่ย้ายพรรคแน่นอน โดยจะแถลงข่าวด้วยตนเองในภายหลัง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวภายหลังจากการประชุมกรรมการบริหารพรรค ว่า ในที่ประชุมได้สอบถามนายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ก่อนที่ส.ส.จะตัดสินใจย้ายพรรคผู้บริหารได้มีการพูดคุยกับส.ส.เหล่านั้นหรือไม่ ซึ่งนายบัญญัติได้ชี้แจงว่า ทันทีที่มีข่าวออกมา ทางคณะผู้บริหารได้พยายามที่จะพูดคุยเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง โดย ส.ส.บางคนก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าจะย้ายพรรค และส.ส.บางคนก็ยืนยันที่จะอยู่กับพรรค แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกไปโดยไม่แจ้งให้ทราบ ซึ่งหัวหน้าพรรคยืนยันว่า พรรคได้พยายามที่จะพูดคุย และทำความเข้าใจกับทุกคนแล้ว
นายองอาจ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้คณะกรรมการบริหาร 5 คน คือดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ นายนิพนธ์ บุญญามณี นายธานินท์ ใจสมุทร และนายถาวร เสนเนียม เป็นผู้ดำเนินการพิจารณาบุคคลที่เหมาะสม เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งแทนส.ส.เดิมของพรรคในภาคใต้ทั้ง 4 คน ที่จะลาออกไปอยู่พรรคไทยรักไทย เนื่องจากคณะกรรมการบริหารพรรคได้รับทราบจากผู้ที่รับผิดชอบในพื้นที่ว่า มีบุคคลที่มีความสนใจอยากจะลงสมัครในนามพรรคหลายคนด้วยกัน ซึ่งเมื่อได้ตัวบุคคลที่เหมาะสมแล้ว หัวหน้าพรรคก็จะนัดหมายสื่อมวลชนเพื่อแถลงให้ทราบอีกครั้ง
นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติอนุมัติผู้สมัครเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้
ภาคอีสาน
อุบลราชธานี เขต 7 นายแสง ศรีบุระ
อุบลราชธานี เขต 8 นายอิสสระ สมชัย
อุบลราชธานี เขต 11 นายโอวาท จุลโคตร
อำนาจเจริญ เขต 1 นายวิเชียร อุดมศักดิ์
ภาคใต้
ชุมพร เขต 1 นายศิริศักดิ์ อ่อนละมัย
ชุมพร เขต 2 นายสุวโรช พะลัง
ชุมพร เขต 3 นายธีรชาติ ปางวิรุฬรักษ์
นครศรีธรรมราช เขต 8 นายอภิชาติ ศักดิเศรษฐ์
สงขลา เขต 5 นายประพร เอกอุรุ
ตรัง เขต 2 นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย
ผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลหลักของการย้ายพรรค โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุผลหลักคงเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทางการเมือง โดยพรรคจะมีค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของส.ส.ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้เต็มที่ในเรื่องที่จำเป็น แต่ส.ส.ส่วนมากของพรรคประชาธิปัตย์ นั้นก็อยู่บนพื้นฐานของการช่วยตัวเองเป็นหลัก
ต่อข้อถามที่นายกฯบอกว่าทุกคนมาเพราะอยากอยู่กับผู้ชนะนั้น นายองอาจกล่าวว่า ตนคิดว่านักการเมือง ต้องพร้อมที่จะเป็นทั้งผู้ชนะและผู้ที่ไม่ชนะ เพราะไม่ว่าจะชนะหรือไม่ชนะก็สามารถทำงานการเมืองได้ในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ‘ ถ้าเป็นผู้ชนะได้รับเสียงข้างมากก็เป็นรัฐบาลนำนโยบายไปบริหารประเทศ แต่ถ้าเกิดไม่ชนะก็เป็นฝ่ายค้าน ซึ่งมีภาระหน้าที่สำคัญ คือตรวจสอบรัฐบาล จริงๆแล้วโลกของมนุษย์โดยทั่วๆไปทุกคนอยากเป็นผู้ชนะ แต่ในโลกของการเมืองนั้นนักการเมืองต้องพร้อมที่จะเป็นทั้ง 2 อย่าง และต้องพร้อมที่จะทำงานไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม ผมคิดว่าโลกของทางการเมืองไม่ได้ตัดสินกันที่แพ้ชนะแต่ต้องตัดสินด้วยองค์ประกอบในเรื่องของอุดมการณ์และจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน’ นายองอาจกล่าว
ส่วนกรณีที่ส.ส.ที่ย้ายพรรคระบุว่าไม่พอใจในตัวหัวหน้าพรรคฯนั้น นายองอาจกล่าวว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดพรรคฯคงห้ามไม่ได้ แต่เรื่องของหัวหน้าพรรคฯก็ได้พูดชัดเจนในที่ประชุมส.ส.แล้วว่า จะไม่เปลี่ยนหัวหน้าพรรคฯ ซึ่งพรรคต้องยืนอยู่บนความเห็นของคนส่วนใหญ่ พรรคฯคงไม่สามารถไปยืนอยู่บนความเห็นของคนส่วนน้อยได้ แต่ก็เคารพในการตัดสินใจหรือความคิดเห็นของคนส่วนน้อย จะเห็นได้ว่า ส.ส. 100 กว่าคนของพรรคยังเลือกที่จะยืนเคียงข้างพรรคฯไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ในทางกลับกันพรรคฯก็เคารพในการตัดสินใจของ ส.ส. 10 กว่าคนที่มีความประสงค์ย้ายพรรค เพียงแต่ว่าเหตุผลในการลาออกจากพรรคฯที่นำเสนอต่อประชาชนนั้นไม่ควรเป็นเหตุผลที่ใส่ร้ายป้ายสีพรรคประชาธิปัตย์ ‘หลายคนก็อยู่กับพรรคมานานจะมาอ้างว่าอุดมการณ์ไม่ตรงกับพรรคนั้นเป็นไปไม่ได้’ นายองอาจกล่าว
อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ (11 ส.ค. 47) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม จะแถลงข่าวต่อผู้สื่อข่าว เพื่อยืนยันว่าจะยังอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ส่วนนายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส.ยะลา นั้นก็ยังยืนยันกับพรรคฯว่าจะไม่ย้ายพรรคแน่นอน โดยจะแถลงข่าวด้วยตนเองในภายหลัง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-