วันนี้ (11 ส.ค.47 ) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “ ข่าวยามเช้า ” ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 เมกะเฮิร์ท ในกรณีการยุบรวมพรรคชาติพัฒนากับพรรคไทยรักไทย ว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย เพราะมีกระแสข่าวเกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ ซึ่งสัมพันธ์กับความเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจกลับเข้าไปร่วมรัฐบาล หรือกรณีของผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่เคยประกาศลงสมัครในนามของพรรคฯ ภายหลังก็ได้ขอลาออกจากพรรคเพื่อลงสมัครในนามอิสระ ตนจึงอยากจะย้ำว่า ท่ามกลางกระแสที่เกิดขึ้นทำให้สภาพของพรรคการเมืองไทยน่าเป็นห่วง เนื่องจากสังคมต้องการเห็นการเติบโตของพรรคการเมืองที่เติบโตแบบธรรมชาติ โดยการสร้างบุคลากรทางการเมือง และนักการเมืองใหม่ ทำให้ประชาชนมีทางเลือกเพิ่มขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญพยายามที่จะส่งเสริมให้รัฐบาลมีเสถียรภาพอยู่แล้ว โดยผ่านหลายกระบวนการไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่มีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการย้ายพรรค เรื่องเกี่ยวกับการเสริมภาวะการเป็นผู้นำของนายกฯ เรื่องที่จะให้รัฐมนตรีไม่เป็นส.ส. หรือเรื่องของการเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อ ในอีกด้านรัฐบาลก็ต้องการที่จะให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลที่เหมาะสม แต่ลักษณะของการเติบโตที่มีเป้าหมายจะเป็นรัฐบาลขั้วเดียว ไม่น่าจะสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และเจตนารมย์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ‘ขณะนี้แนวคิดของการเติบโตของพรรคการเมืองในส่วนของรัฐบาลไปยึดกับเรื่องส.ส.ในปัจจุบัน แล้วก็ใช้วิธีการยุบรวมพรรคซึ่งเกิดขึ้นในปี 2544 ตั้งแต่พรรคเสรีธรรมมาจนถึงพรรคความหวังใหม่ ล่าสุดเป็นพรรคชาติพัฒนา ซึ่งก็น่าคิดว่าสอดคล้องกับเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญมากน้อยแค่ไหน’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า นายกฯได้พูดหลายครั้งว่าประชาธิปไตยไม่ใช่เป้าหมาย และยังมีความคิดว่าเหลือฝ่ายค้านคนเดียวก็ไม่เป็นไร พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่าในต่างประเทศบางประเทศยังสามารถทำได้ เช่น ประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น ตนจึงอยากให้นายกฯแยกแยะความคิดว่า ความแตกต่างระหว่างประเทศไทยกับประเทศเหล่านั้นเป็นอย่างไร อีกทั้งผู้นำของประเทศนั้นๆก็ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนแต่อย่างใด ‘ไม่อยากจะให้เราหลงไหลไปตามกระแสหรือคำพูดอย่างที่ว่า เพราะผมมองว่าจะเป็นอันตรายสำหรับอนาคต ไม่ใช่ในแง่ของการเมืองไทยอย่างเดียว แต่จะรวมไปถึงในแง่ของกรอบความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศด้วย ’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 11 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญพยายามที่จะส่งเสริมให้รัฐบาลมีเสถียรภาพอยู่แล้ว โดยผ่านหลายกระบวนการไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่มีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการย้ายพรรค เรื่องเกี่ยวกับการเสริมภาวะการเป็นผู้นำของนายกฯ เรื่องที่จะให้รัฐมนตรีไม่เป็นส.ส. หรือเรื่องของการเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อ ในอีกด้านรัฐบาลก็ต้องการที่จะให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลที่เหมาะสม แต่ลักษณะของการเติบโตที่มีเป้าหมายจะเป็นรัฐบาลขั้วเดียว ไม่น่าจะสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และเจตนารมย์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ‘ขณะนี้แนวคิดของการเติบโตของพรรคการเมืองในส่วนของรัฐบาลไปยึดกับเรื่องส.ส.ในปัจจุบัน แล้วก็ใช้วิธีการยุบรวมพรรคซึ่งเกิดขึ้นในปี 2544 ตั้งแต่พรรคเสรีธรรมมาจนถึงพรรคความหวังใหม่ ล่าสุดเป็นพรรคชาติพัฒนา ซึ่งก็น่าคิดว่าสอดคล้องกับเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญมากน้อยแค่ไหน’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า นายกฯได้พูดหลายครั้งว่าประชาธิปไตยไม่ใช่เป้าหมาย และยังมีความคิดว่าเหลือฝ่ายค้านคนเดียวก็ไม่เป็นไร พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่าในต่างประเทศบางประเทศยังสามารถทำได้ เช่น ประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น ตนจึงอยากให้นายกฯแยกแยะความคิดว่า ความแตกต่างระหว่างประเทศไทยกับประเทศเหล่านั้นเป็นอย่างไร อีกทั้งผู้นำของประเทศนั้นๆก็ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนแต่อย่างใด ‘ไม่อยากจะให้เราหลงไหลไปตามกระแสหรือคำพูดอย่างที่ว่า เพราะผมมองว่าจะเป็นอันตรายสำหรับอนาคต ไม่ใช่ในแง่ของการเมืองไทยอย่างเดียว แต่จะรวมไปถึงในแง่ของกรอบความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศด้วย ’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 11 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-