นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานกล่าวปิดการสัมมนาแกนนำประชาธิปัตย์พบประชาชน เมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ตนมีความมั่นใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลังจากมีการเลือกตั้งในปี 2548 เพราะประวัติศาสตร์ในทางการเมืองที่ผ่านมาก็บอกเราว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ถ้าคนรู้ทันรัฐบาลมากขึ้น ก็เป็นอันตรายสำหรับรัฐบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาลในหลายๆเรื่องประกอบกับปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ที่กำลังรุมเร้ารัฐบาลอยู่เช่นเดียวกันก็ปรากฏให้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งตนคิดว่าก็จะทำให้คนคิดมากและรู้มากขึ้น โดยตัวชี้วัดที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นก็คือผลกระทบที่เกิดกับประชาชนนั่นเอง ซึ่งเวลานี้เริ่มมีมากขึ้นแล้ว ส่วนจะกลายเป็นโอกาสของพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่นั้น ก็คงไม่ถึงกับขนาดนั้น แต่ว่าอย่างน้อยถ้าพรรคการเมืองอย่างพวกเราเป็นพรรคการเมืองที่ดำรงอยู่ได้บนพื้นฐานของความเข้าใจของประชาชน ตนคิดว่าส่วนนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคด้วย
ต่อข้อถามที่ว่าในแผนปฏิบัติการเตรียมการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้มีการอนุมัติขึ้นมานั้นมีอะไรที่จะทำให้เกิดการสนับสนุนจากประชาชนเพิ่มมากขึ้นได้ นายบัญญัติ กล่าวว่า ในการรณรงค์เลือกตั้งก็คือแผนในการสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ได้ตระหนักในปัญหาที่เขามีอยู่ แล้วให้เขาได้รับความเข้าใจต่อไปว่าด้วยทิศทางอะไรที่จะคลี่คลายปัญหาเหล่านี้ได้อย่างถาวร ไม่ใช่ลักษณะแก้ไขเฉพาะหน้าไปวันๆ ซึ่งนอกเหนือจากยุทธศาสตร์ในเรื่องแนวคิดแล้วจะเป็นเรื่องของกระบวนการในการทำอย่างไรที่จะแพร่หลายกระจายแนวคิดเหล่านี้ให้ได้รับรู้รับทราบในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
เมื่อถามว่า ขณะนี้ยังมั่นใจในเป้า 200 เสียงที่ตั้งอยู่ไว้หรือไม่ นายบัญญัติ กล่าวว่า ในการทำแผนเลือกตั้งตนคิดว่าก็ต้องมีเป้าหมาย แล้วเป้าหมายที่ตนเข้าใจว่าคนในบ้านเมืองเวลานี้ก็ค่อนข้างจะวิตกอยู่เหมือนกัน ก็คือเป้าหมายที่จะต้องควบคุมรัฐบาล ตรวจสอบรัฐบาลได้ตามสมควร
เมื่อถามว่า นายกฯอ้างว่าประเทศสิงคโปร์มีฝ่ายค้านแค่ 2 คนยังมีความเจริญได้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จะเอาประเทศสิงคโปร์เมื่อเทียบกับเราไม่ได้ เพราะว่าเป็นประเทศที่เล็ก มีประชากรน้อยเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ แต่ที่สำคัญก็คือว่าความขัดกันในผลประโยชน์ของประชาชนชาวสิงคโปร์ในระหว่างกลุ่มผู้ประกอบอาชีพต่างๆ ไม่หลากหลายเหมือนเช่นในสังคมไทย ของเรามันหลากอาชีพ ซึ่งสิงคโปร์จะมีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ก็ไม่ชัดเจน แต่ว่าของเรามันชัดเจน หลายอย่างที่รัฐบาลทำมันเข้าลักษณะผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งถ้าไม่มีฝ่ายค้านหรือมีรัฐบาลที่แข็งแรงอย่างสิงคโปร์ ตนเข้าใจว่ามันจะลำบาก คือในขณะที่มีเสียงทัดทานกันอยู่บ้าง การเอารัดเอาเปรียบยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา การคุ้มครองผลประโยชน์ตัวเอง ผลประโยชน์พรรคพวกมากกว่าคุ้มครองผลประโยชน์ประชาชนยังทำได้อยู่ แล้วถ้าปราศจากการทัดทาน และการถ่วงดุลโดยสิ้นเชิงเหมือนสิงคโปร์แล้วมันไม่ยิ่งไปกันใหญ่หรือ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-
ต่อข้อถามที่ว่าในแผนปฏิบัติการเตรียมการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้มีการอนุมัติขึ้นมานั้นมีอะไรที่จะทำให้เกิดการสนับสนุนจากประชาชนเพิ่มมากขึ้นได้ นายบัญญัติ กล่าวว่า ในการรณรงค์เลือกตั้งก็คือแผนในการสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ได้ตระหนักในปัญหาที่เขามีอยู่ แล้วให้เขาได้รับความเข้าใจต่อไปว่าด้วยทิศทางอะไรที่จะคลี่คลายปัญหาเหล่านี้ได้อย่างถาวร ไม่ใช่ลักษณะแก้ไขเฉพาะหน้าไปวันๆ ซึ่งนอกเหนือจากยุทธศาสตร์ในเรื่องแนวคิดแล้วจะเป็นเรื่องของกระบวนการในการทำอย่างไรที่จะแพร่หลายกระจายแนวคิดเหล่านี้ให้ได้รับรู้รับทราบในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
เมื่อถามว่า ขณะนี้ยังมั่นใจในเป้า 200 เสียงที่ตั้งอยู่ไว้หรือไม่ นายบัญญัติ กล่าวว่า ในการทำแผนเลือกตั้งตนคิดว่าก็ต้องมีเป้าหมาย แล้วเป้าหมายที่ตนเข้าใจว่าคนในบ้านเมืองเวลานี้ก็ค่อนข้างจะวิตกอยู่เหมือนกัน ก็คือเป้าหมายที่จะต้องควบคุมรัฐบาล ตรวจสอบรัฐบาลได้ตามสมควร
เมื่อถามว่า นายกฯอ้างว่าประเทศสิงคโปร์มีฝ่ายค้านแค่ 2 คนยังมีความเจริญได้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จะเอาประเทศสิงคโปร์เมื่อเทียบกับเราไม่ได้ เพราะว่าเป็นประเทศที่เล็ก มีประชากรน้อยเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ แต่ที่สำคัญก็คือว่าความขัดกันในผลประโยชน์ของประชาชนชาวสิงคโปร์ในระหว่างกลุ่มผู้ประกอบอาชีพต่างๆ ไม่หลากหลายเหมือนเช่นในสังคมไทย ของเรามันหลากอาชีพ ซึ่งสิงคโปร์จะมีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ก็ไม่ชัดเจน แต่ว่าของเรามันชัดเจน หลายอย่างที่รัฐบาลทำมันเข้าลักษณะผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งถ้าไม่มีฝ่ายค้านหรือมีรัฐบาลที่แข็งแรงอย่างสิงคโปร์ ตนเข้าใจว่ามันจะลำบาก คือในขณะที่มีเสียงทัดทานกันอยู่บ้าง การเอารัดเอาเปรียบยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา การคุ้มครองผลประโยชน์ตัวเอง ผลประโยชน์พรรคพวกมากกว่าคุ้มครองผลประโยชน์ประชาชนยังทำได้อยู่ แล้วถ้าปราศจากการทัดทาน และการถ่วงดุลโดยสิ้นเชิงเหมือนสิงคโปร์แล้วมันไม่ยิ่งไปกันใหญ่หรือ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-