“พาณิชย์” เผยมาตรการควบคุมการส่งออก (Export Control) เป็นมาตรการหนึ่งที่ใช้เพื่อ
ป้องกันการแพร่ขยายอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง (Weapons of Mass Destruction : WMD) และ
สินค้าที่ใช้ประโยชน์ได้สองทาง (Dual Use Goods) หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือสินค้าที่สามารถนำไปใช้ใน
ทางสันติ ขณะเดียวกันก็สามารถนำไปใช้ในทางสงคราม โดยนำไปพัฒนาเป็นอาวุธเพื่อใช้ในการก่อการร้ายได้
ด้วย
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเปิดเผยว่า ขณะนี้การก่อการร้ายมีทุก
ภูมิภาคของโลก ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย พยายามโน้ม
น้าวและเร่งรัดประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียรวมทั้งประเทศไทย ที่เป็นจุดผ่าน (Transit) จุดถ่ายลำ
(Transshipment) และการส่งต่อไปประเทศที่สาม (Re-export) มีระบบควบคุมการส่งออกที่มีประสิทธิภาพ
เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการหรือประเทศที่ต้องสงสัยใช้เป็นทางผ่านในการนำเข้า ส่งออก การส่งผ่าน รวมทั้งการ
ถ่ายลำ โดยนำสินค้า WMD และสินค้า Dual Use ไปพัฒนาหรือผลิตเป็นอาวุธร้ายแรง โดยเฉพาะอาวุธ
นิวเคลียร์ ทั้งนี้ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า แม้ประเทศไทยจะไม่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงที่
จะนำไปผลิตอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง แต่ประเทศไทยมีการผลิตสินค้าที่อาจใช้ได้สองทาง และสามารถ
นำไปพัฒนาการผลิตอาวุธร้ายแรงได้ อาทิ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคม
อุปกรณ์เซนเซอร์และเลเซอร์ เครื่องมือนำทาง อุปกรณ์ที่ใช้ทางทะเล อุปกรณ์ขับเคลื่อนและยุทธปัจจัย หลาย ๆ
รายการ เป็นสินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกกในรูปชิ้นส่วนเป็นมูลค่านับแสนล้านบาท เช่น ในปี 2546 ไทยส่งออก
แผงวงจรไฟฟ้า มูลค่า 191,540 ล้านบาท ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ 146,593 ล้านบาท ชิ้นส่วนของเครื่องใช้
ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เช่น คอนเดนเซอร์ 496 ล้านบาท เครื่องพักกระแสไฟฟ้า 9,298 ล้านบาท ตลับลูกปืน
8,022 ล้านบาท เป็นต้น หรือส่งออกในรูปสินค้าสำเร็จรูป เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ 339,939 ล้านบาท
ไมโครเวฟ 14,423 ล้านบาท มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 28,521 ล้านบาท และเครื่องแปลงสัญญาณ
เป็นต้น และมีการส่งสินค้ากลุ่มนี้ผ่านประเทศไทยไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการนำไปใช้สร้างอาวุธใน
ประเทศแถบเอเชีย ตะวันออกกลาง ปีละประมาณ 800 ล้านบาท และ 2,600 ล้านบาท ตามลำดับ
ดังนั้น หากประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างระบบควบคุมการส่งออกใด ๆ กรมการค้าต่างประเทศเห็น
ว่าต้องไม่กระทบต่อการค้าปกติ ไม่เพิ่มค่าใช้จ่าย ไม่สร้างภาระ และความไม่สะดวกให้ผู้ส่งออกเป็นสำคัญ
--กรมการค้าต่างประเทศ สิงหาคม 2547--
-สส-
ป้องกันการแพร่ขยายอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง (Weapons of Mass Destruction : WMD) และ
สินค้าที่ใช้ประโยชน์ได้สองทาง (Dual Use Goods) หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือสินค้าที่สามารถนำไปใช้ใน
ทางสันติ ขณะเดียวกันก็สามารถนำไปใช้ในทางสงคราม โดยนำไปพัฒนาเป็นอาวุธเพื่อใช้ในการก่อการร้ายได้
ด้วย
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเปิดเผยว่า ขณะนี้การก่อการร้ายมีทุก
ภูมิภาคของโลก ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย พยายามโน้ม
น้าวและเร่งรัดประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียรวมทั้งประเทศไทย ที่เป็นจุดผ่าน (Transit) จุดถ่ายลำ
(Transshipment) และการส่งต่อไปประเทศที่สาม (Re-export) มีระบบควบคุมการส่งออกที่มีประสิทธิภาพ
เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการหรือประเทศที่ต้องสงสัยใช้เป็นทางผ่านในการนำเข้า ส่งออก การส่งผ่าน รวมทั้งการ
ถ่ายลำ โดยนำสินค้า WMD และสินค้า Dual Use ไปพัฒนาหรือผลิตเป็นอาวุธร้ายแรง โดยเฉพาะอาวุธ
นิวเคลียร์ ทั้งนี้ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า แม้ประเทศไทยจะไม่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงที่
จะนำไปผลิตอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง แต่ประเทศไทยมีการผลิตสินค้าที่อาจใช้ได้สองทาง และสามารถ
นำไปพัฒนาการผลิตอาวุธร้ายแรงได้ อาทิ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคม
อุปกรณ์เซนเซอร์และเลเซอร์ เครื่องมือนำทาง อุปกรณ์ที่ใช้ทางทะเล อุปกรณ์ขับเคลื่อนและยุทธปัจจัย หลาย ๆ
รายการ เป็นสินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกกในรูปชิ้นส่วนเป็นมูลค่านับแสนล้านบาท เช่น ในปี 2546 ไทยส่งออก
แผงวงจรไฟฟ้า มูลค่า 191,540 ล้านบาท ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ 146,593 ล้านบาท ชิ้นส่วนของเครื่องใช้
ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เช่น คอนเดนเซอร์ 496 ล้านบาท เครื่องพักกระแสไฟฟ้า 9,298 ล้านบาท ตลับลูกปืน
8,022 ล้านบาท เป็นต้น หรือส่งออกในรูปสินค้าสำเร็จรูป เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ 339,939 ล้านบาท
ไมโครเวฟ 14,423 ล้านบาท มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 28,521 ล้านบาท และเครื่องแปลงสัญญาณ
เป็นต้น และมีการส่งสินค้ากลุ่มนี้ผ่านประเทศไทยไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการนำไปใช้สร้างอาวุธใน
ประเทศแถบเอเชีย ตะวันออกกลาง ปีละประมาณ 800 ล้านบาท และ 2,600 ล้านบาท ตามลำดับ
ดังนั้น หากประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างระบบควบคุมการส่งออกใด ๆ กรมการค้าต่างประเทศเห็น
ว่าต้องไม่กระทบต่อการค้าปกติ ไม่เพิ่มค่าใช้จ่าย ไม่สร้างภาระ และความไม่สะดวกให้ผู้ส่งออกเป็นสำคัญ
--กรมการค้าต่างประเทศ สิงหาคม 2547--
-สส-