ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ก.คลังเตรียมออกพันธบัตรออมทรัพย์เพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รมว.คลัง กล่าวว่า รับรู้เรื่องยอดขายพันธบัตรที่ประชาชนพากันมาจองซื้อและหมดอย่างรวดเร็วแล้ว และเพื่อ
เป็นการรองรับกับความต้องการซื้อพันธบัตรที่ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก ก.คลังจะหารือกับ ธปท. เพื่อเตรียมออก
พันธบัตรออมทรัพย์เพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท ขายให้กับประชาชน และมีเงื่อนไขเหมือนกับพันธบัตรออมทรัพย์ที่
ออกในครั้งนี้ทุกอย่าง ขายให้กับประชาชนเฉพาะผู้ที่ยังซื้อพันธบัตรงวดนี้ไม่ได้ ผู้ที่ได้แล้วจะไม่ได้รับการจัดสรร
เพิ่มอีก เพราะต้องการกระจายให้แก่ประชาชนรายย่อยในการลงทุนและเป็นทางเลือกให้แก่ผู้มีเงินออม ส่วน
รายละเอียดของพันธบัตรออมทรัพย์ที่จะออกใหม่จะพยายามยึดตามรูปแบบเดิมที่ใช้ออกพันธบัตร 70,000 ล้าน
บาท และจะพยายามให้ออกโดยเร็วที่สุด (บ้านเมือง, โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
2. สภาพัฒน์ฯ เตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งอัดฉีดเงินเข้าระบบ นายจักรมณฑ์ ผา
สุกวนิช เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ฯ เปิดเผยว่า
รัฐบาลควรเร่งนำ งปม. และเงินจากสภาพคล่องขององค์กรรัฐและเอกชนจำนวนหลายแสนล้านบาท มาลงทุน
เพื่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ และการบริโภคจนไปสู่การกระตุ้นจีดีพี โดยเฉพาะการลงทุนในโครง
สร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน และเส้นทางคมนาคม ทดแทนการลงทุนของภาคเอกชนที่จะชะลอ
ตัวจากปัญหาราคาน้ำมัน ทั้งนี้ หากจีดีพีของไทยปรับลดลงร้อยละ 1 จะทำให้เงินหายไปจากระบบทันที 6 หมื่น
ล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งหาเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบแทนการลงทุนของภาคเอกชนที่เริ่มมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
จากราคาน้ำมัน แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเรื่องหนี้สาธารณะตามมา เพราะปัญหาราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่สูง
ขึ้นนั้นกระทบการบริโภคของประชาชน โดยเฉพาะธุรกิจการบริการ ร้านอาหาร และธุรกิจรถยนต์ เพราะ
ประชาชนเลิกใช้รถเดินทางเนื่องจากราคาน้ำมันแพง ส่วนธุรกิจที่ได้ประโยชน์คือโทรศัพท์มือถือ เนื่องจาก
ประชาชนใช้วิธีการติดต่อทางโทรศัพท์แทนการพบปะกัน ด้านการลงทุนต้นทุนการลงทุนในโครงการต่าง ๆ
เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจกว่า 1.5 แสนล้านบาท ที่สภาพัฒน์ฯ จะ
เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ 17 ส.ค.นี้ เพื่อให้เร่งเบิกเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจทั้ง 23 ราย
เพราะถือว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูง อาทิ เงินลงทุนด้านขนส่ง และไฟฟ้า ของบริษัท
การบินไทย และการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นต้น (โพสต์ทูเดย์)
3. กลต. เปิดแผน 3 ปี เตรียมพร้อมสู่เวทีโลก นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล เลขาธิการ
สนง.คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เปิดเผยถึงแผนกลยุทธ์ของ กลต. ปี
2548-2550 ว่า ในการจัดทำแผน กลต. ได้คำนึงถึงความต้องการของผู้ลงทุนภายในประเทศ ประกอบกับ
แนวโน้มที่ตลาดทุนระหว่างประเทศจะมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น และเงินทุนมีการเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ
มากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้ตลาดทุนไทยเป็นที่น่าสนใจของผู้ลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ กลต. จึงได้
กำหนดแผนในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อให้ กลต. และผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนไทยจะได้เตรียมพร้อมรองรับแนว
โน้มดังกล่าวได้ทันเหตุการณ์ โดยมุ่งเน้นเป้าหมายหลายประการ เช่น การทำให้ผู้ระดมทุนเข้าถึงตลาดทุนได้
สะดวกในรูปแบบที่หลากหลาย และมีต้นทุนต่ำ มีการเสนอขายสินค้าที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ โดยบริษัทจด
ทะเบียนและผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องมีบรรษัทภิบาลที่ดี มีคุณภาพและมาตรฐานด้านการเปิดเผยข้อมูล ในขณะเดียวกัน
จะต้องมั่นใจได้ว่าระบบและกลไกในตลาดทุนน่าเชื่อถือ ตัวกลางมีการบริหารจัดการที่ดี มีฐานะมั่นคง ทำให้
กลุ่มผู้ลงทุนประเภทต่าง ๆ มีความสมดุลมากขึ้น ทำให้การซื้อขายหุ้นเป็นไปอย่างมีระเบียบ ปราศจากการเอา
รัดเอาเปรียบ และกฎเกณฑ์ที่ใช้ในการกำกับดูแลตลาดทุนเป็นไปตามมาตรฐานสากล ส่วนการพัฒนาโครง
สร้างตลาดทุนให้สมบูรณ์นั้นจำเป็นที่จะต้องพัฒนาตลาดตราสารหนี้ให้สามารถรองรับความต้องการของผู้ลงทุน
และพัฒนาตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน
และเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงเมื่อตลาดใดตลาดหนึ่งเกิดความผันผวน ตลอดจนแก้ไขปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่
เป็นอุปสรรค์ต่อการปฏิบัติงาน (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
4. กลต. เตรียมตรวจสอบการปล่อยข่าวลือในตลาดหุ้นไทย นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล
เลขาธิการ สนง.คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เปิดเผยว่า จะแบ่งหน้าที่ในการ
ตรวจสอบข่าวลือที่ออกมากระทบต่อสภาพการลงทุนในตลาดหุ้นและให้ตลาดรับรู้ข่าวและข้อมูลที่เป็นจริงถูกต้อง
ทันกับสถานการณ์ โดย กลต. จะรับผิดชอบตรวจสอบข่าวที่เกิดขึ้นในส่วนของภาคราชการ รวมถึงภาคการ
เมืองและ ครม. ด้วย โดยจะประสานไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้มีทีมงานที่สามารถตอบข้อเท็จจริงหรือ
ประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์จะเป็นผู้รับผิดชอบข่าวที่เกิดขึ้นในส่วนของภาคเอกชน หากมี
ความผิดปกติหรือข่าวไม่ดีจะต้องไปหาข้อมูลที่เป็นจริงมารายงานให้ กลต. และนักลงทุนทั่วไปทราบภายใน 30
นาที สำหรับการกำกับดูแลนักวิเคราะห์จะส่งหนังสือเวียนถึงบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมดเร็ว ๆ นี้ และตั้งคณะทีม
งานติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของนักวิเคราะห์ เพื่อให้การวิเคราะห์มีมาตรฐานและจะตั้งคณะที่ปรึกษาซึ่งจะมีตัว
แทนจากสมาคมวิเคราะห์หลักทรัพย์และผู้ลงทุนสถาบัน เช่น กบข. และ บลจ. เข้าร่วม เพื่อให้กระบวนการ
พิจารณาบทลงโทษมีความเป็นธรรม (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่ายอดสร้างบ้านใหม่ของสรอ.ในเดือนก.ค.จะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 1.9 ล้านหลัง รายงาน
จากชิคาโก เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 47 จากผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 27 คนของรอยเตอร์คาด
ว่ายอดการสร้างบ้านใหม่ในเดือนก.ค.จะอยู่ในระดับ 1.9 ล้านหลังเพิ่มขึ้นจาก 1.802 ล้านหลังในเดือน
มิ.ย.ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบปีโดยมีระดับการคาดการณ์ระหว่าง 1.78 — 1.95 ล้านหลัง ส่วนคำขอ
อนุญาตสร้างบ้านคาดว่าจะมีจำนวน 1.950 ล้านหลังจาก 1.945 ล้านหลังในเดือนมิ.ย. ซึ่งช่วงที่คาดการณ์
อยู่ระหว่าง 1.90 — 2.02 ล้านหลัง ทั้งนี้ก.พาณิชย์สรอ.มีกำหนดจะเปิดเผยตัวเลขยอดการสร้างบ้านใหม่ใน
วันนี้เวลา 8.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าอุปสงค์ในที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นใน
ระดับสูงสุดเมื่อปลายปี 46 แล้วและต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นปัจจัยสนับสนุน (รอยเตอร์)
2 . เดือน ส.ค.47 ผู้ประกอบการก่อสร้างบ้าน สรอ.มีมุมมองในแง่ดีเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์
ภาคอสังหาริมทรัพย์ รายงานจากนิวยอร์กเมื่อ 16 ส.ค.47 The National Association of Home
Builders เปิดเผยตัวเลข Housing market index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการก่อ
สร้างบ้าน สรอ.ในเดือน ส.ค.47 ว่าอยู่ที่ระดับ 71 เพิ่มขึ้นจากระดับ 67 ในเดือนก่อน เป็นผลจากอัตรา
ดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะยาวที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งดัชนีที่อยู่เหนือระดับ 50 แสดงว่าผู้ประกอบการมีความ
เชื่อมั่นต่อภาวะการขายบ้านในด้านบวกมากกว่าด้านลบ นอกจากนี้ ดัชนีอีก 3 ประเภทซึ่งเป็นดัชนีย่อยของ
Housing market index ได้แก่ ดัชนีชี้วัดยอดขายในปัจจุบัน ดัชนีชี้วัดความคาดหวังเกี่ยวกับยอดขายใน 6
เดือนข้างหน้า และดัชนีชี้วัดความคาดหวังเกี่ยวกับความสามารถของผู้ซื้อ ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกันที่ระดับ 76,
78 และ 57 จากระดับ 74, 74 และ 51 ในเดือนก่อน ตามลำดับ (รอยเตอร์)
3. คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของ สรอ.ในเดือน ก.ค.47 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 รายงานจาก
นิวยอร์ค เมื่อ 16 ส.ค.47 ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรม
ของ สรอ.ซึ่งใช้วัดปริมาณผลผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม เหมืองและสาธารณูปโภคในเดือน ก.ค.47 เพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 0.5 เทียบกับเดือน มิ.ย.47 ซึ่งลดลงร้อยละ 0.3 โดยเป็นผลจากมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 10,000
ตำแหน่ง ในขณะที่จำนวนชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เป็น 40.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นอก
จากนี้ยังคาดว่าการใช้ประโยชน์จากกำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 77.5 เทียบกับร้อยละ 77.2 ในเดือน
มิ.ย.47 ธ.กลาง สรอ.มีกำหนดจะรายงานตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 ส.ค.47
นี้ เวลา 13.15 น. ตามเวลากรีนนิช (รอยเตอร์)
4. ยอดการค้าปลีกของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.47 เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ รายงานจาก
สิงคโปร์ เมื่อ 16 ส.ค.47 สำนักงานสถิติสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ยอดการค้าปลีกของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.47
หลังจากปรับปัจจัยทางฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 เมื่อเทียบต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ประมาณ
การไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.5 ขณะที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.6 หากไม่นับรวมถึงสินค้าหมวดรถยนต์ที่มี
ยอดขายพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและภาษีรถยนต์ที่อยู่ในระดับต่ำ ส่วนยอดการค้า
ปลีกในรอบครึ่งแรกของปี 47 เพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 17.6 ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าเพิ่มขึ้น
เพียงร้อยละ 13 เนื่องจากเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาเป็นช่วงลดราคาสินค้าประจำปีเป็นเวลา 8 สัปดาห์ติดต่อ
กันของร้านค้าส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดหวังว่า ยอดการค้าปลีกในปี 47
จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่เคยอยู่ในระดับต่ำเมื่อกลางปี 46 ที่ผ่านมา จากผลกระทบของโรคไข้หวัดซาร์สอันส่ง
ผลให้มีนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคจำนวนมากจับจ่ายใช้สอยน้อยลง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงกังวลเกี่ยว
กับระดับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในขณะนี้อาจจะเริ่มส่งผลกับยอดขายในเดือนถัดไป (รอยเตอร์)
5. ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของเกาหลีใต้ ณ กลางเดือน ส.ค.47 เพิ่มขึ้นจำนวน 2.7 พัน
ล.ดอลลาร์ สรอ. รายงานจากเกาหลีใต้ เมื่อ 17 ส.ค.47 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ทุนสำรองเงิน
ตราต่างประเทศของเกาหลีใต้ซึ่งมีจำนวนสูงสุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ณ กลางเดือน ส.ค.47 อยู่ที่จำนวน
170.7 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือเพิ่มขึ้นจำนวน 2.7 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. จากจำนวน 168 พัน ล.
ดอลลาร์ สรอ.เมื่อสิ้นเดือน ก.ค.47 และหากเทียบกับสิ้นปี 46 ทุนสำรองฯ เพิ่มขึ้นจำนวน 15.37 พัน ล.
ดอลลาร์ สรอ. หรือคิดเป็นร้อยละ 9.9 โดยมีสาเหตุมาจากค่าเงินสกุลดอลลาร์ สรอ.อ่อนตัวลง อันสนับ
สนุนให้มูลค่าของสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปเงินสกุลอื่น เช่น เงินยูโร เมื่อเทียบเป็นดอลลาร์ สรอ.มีมูลค่าสูงขึ้น ทั้งนี้
ธ.กลางเกาหลีใต้ไม่ได้กล่าวถึงการแทรกแซงตลาดเงินตราต่างประเทศ แต่ผู้ค้าเงินคาดว่าเจ้าหน้าที่ด้าน
นโยบายการเงินได้เข้าไปแทรกแซงด้วยการซื้อเงินสกุลดอลลาร์ สรอ.อย่างมาก เพื่อสนับสนุนการแข่งขันทาง
ด้านการส่งออกของเกาหลีใต้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 17 ส.ค. 47 16 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.536 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.3372/41.6282 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1000-1.3125 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 596.98/10.45 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,800/7,900 7,750/7,850 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 40.91 40.53 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.19*/14.59 20.59/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 17 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ก.คลังเตรียมออกพันธบัตรออมทรัพย์เพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รมว.คลัง กล่าวว่า รับรู้เรื่องยอดขายพันธบัตรที่ประชาชนพากันมาจองซื้อและหมดอย่างรวดเร็วแล้ว และเพื่อ
เป็นการรองรับกับความต้องการซื้อพันธบัตรที่ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก ก.คลังจะหารือกับ ธปท. เพื่อเตรียมออก
พันธบัตรออมทรัพย์เพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท ขายให้กับประชาชน และมีเงื่อนไขเหมือนกับพันธบัตรออมทรัพย์ที่
ออกในครั้งนี้ทุกอย่าง ขายให้กับประชาชนเฉพาะผู้ที่ยังซื้อพันธบัตรงวดนี้ไม่ได้ ผู้ที่ได้แล้วจะไม่ได้รับการจัดสรร
เพิ่มอีก เพราะต้องการกระจายให้แก่ประชาชนรายย่อยในการลงทุนและเป็นทางเลือกให้แก่ผู้มีเงินออม ส่วน
รายละเอียดของพันธบัตรออมทรัพย์ที่จะออกใหม่จะพยายามยึดตามรูปแบบเดิมที่ใช้ออกพันธบัตร 70,000 ล้าน
บาท และจะพยายามให้ออกโดยเร็วที่สุด (บ้านเมือง, โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
2. สภาพัฒน์ฯ เตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งอัดฉีดเงินเข้าระบบ นายจักรมณฑ์ ผา
สุกวนิช เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ฯ เปิดเผยว่า
รัฐบาลควรเร่งนำ งปม. และเงินจากสภาพคล่องขององค์กรรัฐและเอกชนจำนวนหลายแสนล้านบาท มาลงทุน
เพื่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ และการบริโภคจนไปสู่การกระตุ้นจีดีพี โดยเฉพาะการลงทุนในโครง
สร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน และเส้นทางคมนาคม ทดแทนการลงทุนของภาคเอกชนที่จะชะลอ
ตัวจากปัญหาราคาน้ำมัน ทั้งนี้ หากจีดีพีของไทยปรับลดลงร้อยละ 1 จะทำให้เงินหายไปจากระบบทันที 6 หมื่น
ล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งหาเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบแทนการลงทุนของภาคเอกชนที่เริ่มมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
จากราคาน้ำมัน แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเรื่องหนี้สาธารณะตามมา เพราะปัญหาราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่สูง
ขึ้นนั้นกระทบการบริโภคของประชาชน โดยเฉพาะธุรกิจการบริการ ร้านอาหาร และธุรกิจรถยนต์ เพราะ
ประชาชนเลิกใช้รถเดินทางเนื่องจากราคาน้ำมันแพง ส่วนธุรกิจที่ได้ประโยชน์คือโทรศัพท์มือถือ เนื่องจาก
ประชาชนใช้วิธีการติดต่อทางโทรศัพท์แทนการพบปะกัน ด้านการลงทุนต้นทุนการลงทุนในโครงการต่าง ๆ
เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจกว่า 1.5 แสนล้านบาท ที่สภาพัฒน์ฯ จะ
เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ 17 ส.ค.นี้ เพื่อให้เร่งเบิกเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจทั้ง 23 ราย
เพราะถือว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูง อาทิ เงินลงทุนด้านขนส่ง และไฟฟ้า ของบริษัท
การบินไทย และการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นต้น (โพสต์ทูเดย์)
3. กลต. เปิดแผน 3 ปี เตรียมพร้อมสู่เวทีโลก นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล เลขาธิการ
สนง.คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เปิดเผยถึงแผนกลยุทธ์ของ กลต. ปี
2548-2550 ว่า ในการจัดทำแผน กลต. ได้คำนึงถึงความต้องการของผู้ลงทุนภายในประเทศ ประกอบกับ
แนวโน้มที่ตลาดทุนระหว่างประเทศจะมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น และเงินทุนมีการเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ
มากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้ตลาดทุนไทยเป็นที่น่าสนใจของผู้ลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ กลต. จึงได้
กำหนดแผนในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อให้ กลต. และผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนไทยจะได้เตรียมพร้อมรองรับแนว
โน้มดังกล่าวได้ทันเหตุการณ์ โดยมุ่งเน้นเป้าหมายหลายประการ เช่น การทำให้ผู้ระดมทุนเข้าถึงตลาดทุนได้
สะดวกในรูปแบบที่หลากหลาย และมีต้นทุนต่ำ มีการเสนอขายสินค้าที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ โดยบริษัทจด
ทะเบียนและผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องมีบรรษัทภิบาลที่ดี มีคุณภาพและมาตรฐานด้านการเปิดเผยข้อมูล ในขณะเดียวกัน
จะต้องมั่นใจได้ว่าระบบและกลไกในตลาดทุนน่าเชื่อถือ ตัวกลางมีการบริหารจัดการที่ดี มีฐานะมั่นคง ทำให้
กลุ่มผู้ลงทุนประเภทต่าง ๆ มีความสมดุลมากขึ้น ทำให้การซื้อขายหุ้นเป็นไปอย่างมีระเบียบ ปราศจากการเอา
รัดเอาเปรียบ และกฎเกณฑ์ที่ใช้ในการกำกับดูแลตลาดทุนเป็นไปตามมาตรฐานสากล ส่วนการพัฒนาโครง
สร้างตลาดทุนให้สมบูรณ์นั้นจำเป็นที่จะต้องพัฒนาตลาดตราสารหนี้ให้สามารถรองรับความต้องการของผู้ลงทุน
และพัฒนาตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน
และเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงเมื่อตลาดใดตลาดหนึ่งเกิดความผันผวน ตลอดจนแก้ไขปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่
เป็นอุปสรรค์ต่อการปฏิบัติงาน (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
4. กลต. เตรียมตรวจสอบการปล่อยข่าวลือในตลาดหุ้นไทย นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล
เลขาธิการ สนง.คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เปิดเผยว่า จะแบ่งหน้าที่ในการ
ตรวจสอบข่าวลือที่ออกมากระทบต่อสภาพการลงทุนในตลาดหุ้นและให้ตลาดรับรู้ข่าวและข้อมูลที่เป็นจริงถูกต้อง
ทันกับสถานการณ์ โดย กลต. จะรับผิดชอบตรวจสอบข่าวที่เกิดขึ้นในส่วนของภาคราชการ รวมถึงภาคการ
เมืองและ ครม. ด้วย โดยจะประสานไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้มีทีมงานที่สามารถตอบข้อเท็จจริงหรือ
ประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์จะเป็นผู้รับผิดชอบข่าวที่เกิดขึ้นในส่วนของภาคเอกชน หากมี
ความผิดปกติหรือข่าวไม่ดีจะต้องไปหาข้อมูลที่เป็นจริงมารายงานให้ กลต. และนักลงทุนทั่วไปทราบภายใน 30
นาที สำหรับการกำกับดูแลนักวิเคราะห์จะส่งหนังสือเวียนถึงบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมดเร็ว ๆ นี้ และตั้งคณะทีม
งานติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของนักวิเคราะห์ เพื่อให้การวิเคราะห์มีมาตรฐานและจะตั้งคณะที่ปรึกษาซึ่งจะมีตัว
แทนจากสมาคมวิเคราะห์หลักทรัพย์และผู้ลงทุนสถาบัน เช่น กบข. และ บลจ. เข้าร่วม เพื่อให้กระบวนการ
พิจารณาบทลงโทษมีความเป็นธรรม (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่ายอดสร้างบ้านใหม่ของสรอ.ในเดือนก.ค.จะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 1.9 ล้านหลัง รายงาน
จากชิคาโก เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 47 จากผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 27 คนของรอยเตอร์คาด
ว่ายอดการสร้างบ้านใหม่ในเดือนก.ค.จะอยู่ในระดับ 1.9 ล้านหลังเพิ่มขึ้นจาก 1.802 ล้านหลังในเดือน
มิ.ย.ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบปีโดยมีระดับการคาดการณ์ระหว่าง 1.78 — 1.95 ล้านหลัง ส่วนคำขอ
อนุญาตสร้างบ้านคาดว่าจะมีจำนวน 1.950 ล้านหลังจาก 1.945 ล้านหลังในเดือนมิ.ย. ซึ่งช่วงที่คาดการณ์
อยู่ระหว่าง 1.90 — 2.02 ล้านหลัง ทั้งนี้ก.พาณิชย์สรอ.มีกำหนดจะเปิดเผยตัวเลขยอดการสร้างบ้านใหม่ใน
วันนี้เวลา 8.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าอุปสงค์ในที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นใน
ระดับสูงสุดเมื่อปลายปี 46 แล้วและต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นปัจจัยสนับสนุน (รอยเตอร์)
2 . เดือน ส.ค.47 ผู้ประกอบการก่อสร้างบ้าน สรอ.มีมุมมองในแง่ดีเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์
ภาคอสังหาริมทรัพย์ รายงานจากนิวยอร์กเมื่อ 16 ส.ค.47 The National Association of Home
Builders เปิดเผยตัวเลข Housing market index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการก่อ
สร้างบ้าน สรอ.ในเดือน ส.ค.47 ว่าอยู่ที่ระดับ 71 เพิ่มขึ้นจากระดับ 67 ในเดือนก่อน เป็นผลจากอัตรา
ดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะยาวที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งดัชนีที่อยู่เหนือระดับ 50 แสดงว่าผู้ประกอบการมีความ
เชื่อมั่นต่อภาวะการขายบ้านในด้านบวกมากกว่าด้านลบ นอกจากนี้ ดัชนีอีก 3 ประเภทซึ่งเป็นดัชนีย่อยของ
Housing market index ได้แก่ ดัชนีชี้วัดยอดขายในปัจจุบัน ดัชนีชี้วัดความคาดหวังเกี่ยวกับยอดขายใน 6
เดือนข้างหน้า และดัชนีชี้วัดความคาดหวังเกี่ยวกับความสามารถของผู้ซื้อ ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกันที่ระดับ 76,
78 และ 57 จากระดับ 74, 74 และ 51 ในเดือนก่อน ตามลำดับ (รอยเตอร์)
3. คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของ สรอ.ในเดือน ก.ค.47 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 รายงานจาก
นิวยอร์ค เมื่อ 16 ส.ค.47 ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรม
ของ สรอ.ซึ่งใช้วัดปริมาณผลผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม เหมืองและสาธารณูปโภคในเดือน ก.ค.47 เพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 0.5 เทียบกับเดือน มิ.ย.47 ซึ่งลดลงร้อยละ 0.3 โดยเป็นผลจากมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 10,000
ตำแหน่ง ในขณะที่จำนวนชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เป็น 40.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นอก
จากนี้ยังคาดว่าการใช้ประโยชน์จากกำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 77.5 เทียบกับร้อยละ 77.2 ในเดือน
มิ.ย.47 ธ.กลาง สรอ.มีกำหนดจะรายงานตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 ส.ค.47
นี้ เวลา 13.15 น. ตามเวลากรีนนิช (รอยเตอร์)
4. ยอดการค้าปลีกของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.47 เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ รายงานจาก
สิงคโปร์ เมื่อ 16 ส.ค.47 สำนักงานสถิติสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ยอดการค้าปลีกของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.47
หลังจากปรับปัจจัยทางฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 เมื่อเทียบต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ประมาณ
การไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.5 ขณะที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.6 หากไม่นับรวมถึงสินค้าหมวดรถยนต์ที่มี
ยอดขายพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและภาษีรถยนต์ที่อยู่ในระดับต่ำ ส่วนยอดการค้า
ปลีกในรอบครึ่งแรกของปี 47 เพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 17.6 ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าเพิ่มขึ้น
เพียงร้อยละ 13 เนื่องจากเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาเป็นช่วงลดราคาสินค้าประจำปีเป็นเวลา 8 สัปดาห์ติดต่อ
กันของร้านค้าส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดหวังว่า ยอดการค้าปลีกในปี 47
จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่เคยอยู่ในระดับต่ำเมื่อกลางปี 46 ที่ผ่านมา จากผลกระทบของโรคไข้หวัดซาร์สอันส่ง
ผลให้มีนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคจำนวนมากจับจ่ายใช้สอยน้อยลง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงกังวลเกี่ยว
กับระดับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในขณะนี้อาจจะเริ่มส่งผลกับยอดขายในเดือนถัดไป (รอยเตอร์)
5. ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของเกาหลีใต้ ณ กลางเดือน ส.ค.47 เพิ่มขึ้นจำนวน 2.7 พัน
ล.ดอลลาร์ สรอ. รายงานจากเกาหลีใต้ เมื่อ 17 ส.ค.47 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ทุนสำรองเงิน
ตราต่างประเทศของเกาหลีใต้ซึ่งมีจำนวนสูงสุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ณ กลางเดือน ส.ค.47 อยู่ที่จำนวน
170.7 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือเพิ่มขึ้นจำนวน 2.7 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. จากจำนวน 168 พัน ล.
ดอลลาร์ สรอ.เมื่อสิ้นเดือน ก.ค.47 และหากเทียบกับสิ้นปี 46 ทุนสำรองฯ เพิ่มขึ้นจำนวน 15.37 พัน ล.
ดอลลาร์ สรอ. หรือคิดเป็นร้อยละ 9.9 โดยมีสาเหตุมาจากค่าเงินสกุลดอลลาร์ สรอ.อ่อนตัวลง อันสนับ
สนุนให้มูลค่าของสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปเงินสกุลอื่น เช่น เงินยูโร เมื่อเทียบเป็นดอลลาร์ สรอ.มีมูลค่าสูงขึ้น ทั้งนี้
ธ.กลางเกาหลีใต้ไม่ได้กล่าวถึงการแทรกแซงตลาดเงินตราต่างประเทศ แต่ผู้ค้าเงินคาดว่าเจ้าหน้าที่ด้าน
นโยบายการเงินได้เข้าไปแทรกแซงด้วยการซื้อเงินสกุลดอลลาร์ สรอ.อย่างมาก เพื่อสนับสนุนการแข่งขันทาง
ด้านการส่งออกของเกาหลีใต้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 17 ส.ค. 47 16 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.536 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.3372/41.6282 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1000-1.3125 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 596.98/10.45 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,800/7,900 7,750/7,850 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 40.91 40.53 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.19*/14.59 20.59/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 17 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-