ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ครม. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ
ในการแข่งขันของประเทศ 3 ด้าน เพื่อเป็นการจูงใจให้ภาคเอกชนหันมาปรับปรุงและพยายามเพิ่มขีดความสามารถในการ
แข่งขันของตัวเองให้มากขึ้น ซึ่งหัวใจในการแข่งขันของภาคธุรกิจอยู่ที่การลงทุนในต่างประเทศ แต่ปัญหา
อุปสรรคที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้ประกอบการของไทยยังขาดข้อมูลข่าวสารในประเทศที่จะไปลงทุน ดังนั้น ครม. จึง
มอบหมายให้ ก.พาณิชย์ดูแล ส่วนอุปสรรคทางด้านภาษีกรมสรรพากรได้จัดทำมาตรการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว คือ
มาตรการที่ 1 ยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลที่ได้รับ ให้กับบริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่เข้าไปลงทุน
ในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ภายใต้เงื่อนไข คือ 1) บริษัทต้องถือหุ้น
ของบริษัทในต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 และต้องถือหุ้นไว้ไม่น้อยกว่า 6 เดือน 2) เงินปันผลดัง
กล่าวต้องมาจากกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษีในต่างประเทศในอัตราปกติไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของกำไรสุทธิ 3)
ถึงแม้ว่าบริษัทที่ไปลงทุนได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากต่างประเทศมาแล้ว ก็จะให้สิทธิตามมาตรการดังกล่าว
หากการลงทุนผ่านตามเงื่อนไขใน 2 ข้อแรก มาตรการที่ 2 ส่งเสริมให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีการ
ขายโรงงานพร้อมที่ดิน เพื่อย้ายเข้าไปอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมากขึ้นเพื่อให้เกิดการรวมกลุ่มแบบคลัสเตอร์
โดยได้ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายโรงงานพร้อมที่ดินเพื่อนำรายได้ไปซื้อโรงงานพร้อมที่ดินแห่งใหม่
โดยจะต้องย้ายโรงงานเข้าไปอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมให้เสร็จก่อนหรือหลังการขายโรงงานพร้อมที่ดินภายใน
เวลาไม่เกิน 1 ปี และมาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้เพียง 5 ปี หลัง ก.คลังมีประกาศ และมาตรการสุดท้าย
คือ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนธุรกิจเงินร่วมลงทุน ดังนี้ 1) ปรับลดระยะเวลาการถือหุ้นของ
ธุรกิจร่วมลงทุนในเอสเอ็มอีต่าง ๆ จากเดิมที่กำหนดว่าจะต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 7 ปี เหลือไม่น้อยกว่า 5 ปี
ในรอบปีบัญชีต่อเนื่อง และในกรณีที่ธุรกิจร่วมลงทุนสามารถนำเอสเอ็มอีเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้
ให้ลดระยะเวลาการถือหุ้นจากที่ไม่น้อยกว่า 5 ปี เหลือไม่น้อยกว่า 3 ปีในรอบปีบัญชีต่อเนื่องกัน และแก้ไข
หลักเกณฑ์กรณีภายหลังการลงทุนในธุรกิจเอสเอ็มอีแล้วมีการขยายตัวจนเกินความเป็นเอสเอ็มอีทำให้ธุรกิจร่วม
ลงทุนไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีทั้งหมด มาเป็นให้ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีเฉพาะในช่วงเวลาที่เข้าไปลงทุนจน
ถึงปีบัญชีสุดท้ายที่เอสเอ็มอีมีสถานะเกินกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนด (บ้านเมือง)
2. ครม. อนุมัติจัดตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กก.ผจก.ธ.อาคาร
สงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ครม. เห็นชอบอนุมัติให้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เพื่อทำหน้าที่ดูแล
และกำกับนโยบาย รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศทั้งหมด โดยให้ ธอส.
เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในส่วนของเงินที่ใช้ในการดำเนินโครงการทั้งหมด เฉลี่ยปีละ 30 ล้านบาทต่อปี แต่รัฐบาล
จะชดเชยให้ในภายหลัง โดยหักกับผลกำไรที่นำส่งคืนเข้าคลังในแต่ละปี และในวันที่ 25 ส.ค.นี้ รมว.คลังจะ
เป็นประธานเปิดศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ โดยในช่วงแรกจะเปิดให้บริการฟรีเนื่องจากข้อมูลยังไม่ครบ ซึ่ง
คาดว่าจะใช้เวลาในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลไม่เกิน 1 ปี จึงจะสามารถคิดค่าบริการจากผู้ที่เข้ามาใช้ข้อมูลได้
และหลังจากนี้จะนัดประชุมผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
จำนวน 127 บริษัท มาหารือกัน เพื่อขอข้อมูลยอดการขายบ้าน ส่วนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
จำนวน 26 บริษัท ธอส. จะขอข้อมูลยอดขายบ้านด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จะทำหน้าที่เป็น
ฐานข้อมูลในการวิเคราะห์ข้อมูลภาครัฐและภาคเอกชนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดเพื่อป้องกันภาวะฟองสบู่
รวมถึงสามารถพยากรณ์แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้ (โพสต์ทูเดย์, แนวหน้า)
3. ธปท. ลงนามบันทึกข้อตกลงกับ ธ.สปป.ลาว ว่าด้วยข้อตกลงทางการเงิน 2 ฉบับ ม.ร.ว.
ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงกับธนาคารแห่งสาธารณรัฐ
ประชาธิปไตยประชาชนลาว (ธ.สปป.ลาว) ว่าด้วยข้อตกลงทางการเงิน 2 ฉบับ คือ ความตกลงว่าด้วยการ
แลกเปลี่ยน (Swap) เงินกีบและเงินบาท และความตกลงว่าด้วยการสนับสนุนสภาพคล่องเงินบาท ทั้งนี้ การทำ
Swap เงินบาทและเงินกีบนั้น ธปท. จะนำเงินบาท จำนวน 500 ล้านบาท แลกเงินกีบมูลค่าเทียบเท่ากับ ธ.
สปป.ลาว โดย ธปท. จะส่งมอบเงินบาทเข้าบัญชีของ ธ.สปป.ลาวที่เปิดไว้กับ ธปท. และ ธ.สปป.ลาวจะ
ส่งมอบเงินกีบมูลค่าเทียบเท่า 500 ล้านบาท เข้าบัญชีเงินฝากของ ธปท. ที่เปิดไว้กับ ธ.สปป.ลาว โดยเงิน
บาทและเงินกีบดังกล่าวจะสามารถนำไปใช้ได้เมื่อมีความจำเป็น สำหรับความตกลงฉบับที่ 2 เป็นการตกลงที่
ธปท. จะสนับสนุนสภาพคล่องเงินบาทแก่ ธ.สปป.ลาว โดยการ Swap เงินดอลลาร์ สรอ. กับเงินบาทกับ
ธปท. โดยความตกลงทั้ง 2 ฉบับนี้เป็นความร่วมมือของธนาคารทั้ง 2 ประเทศ ในการเสริมสร้างความเชื่อ
มั่นและสนับสนุนการใช้เงินกีบและเงินบาทเป็นสื่อกลางในการชำระสินค้าและการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับ
ลาว นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศ จะร่วมมือกันเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเงิน โดยสนับ
สนุนการค้าชายแดนของทั้ง 2 ประเทศให้ชำระเงินด้วยสกุลเงินกีบและเงินบาทระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้การค้า
ชายแดนไทยและลาวขยายตัวมากขึ้น (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
4. ธปท.พอใจเงินบาทมีเสถียรภาพ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ค่า
เงินบาทที่เคลื่อนไหวระหว่าง 41.40-41.50 ต่อดอลลาร์ สรอ. ถือว่าไม่ผันผวนและขณะนี้ไม่มีแนวโน้มว่าจะ
อ่อนค่าลงอีก ถือเป็นเรื่องดี เพราะหากค่าเงินบาทอ่อนหรือผันผวนในช่วงที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นต่อเนื่องคงไม่เป็น
ผลดีต่อเศรษฐกิจไทย และที่ผ่านมา ธปท. ไม่เคยเข้าไปแทรกแซงตลาด เนื่องจากค่าเงินบาทค่อนข้างนิ่ง แต่
จะเข้าแทรกแซงเมื่อไหร่คงตอบไม่ได้ ด้านนักค้าเงินจาก ธ.พาณิชย์กล่าวว่า ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้
อีกเล็กน้อยประมาณ 5-6 สตางค์ ต่อดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากมีข่าวที่เป็นปัจจัยลบในต่างประเทศ เช่น การ
ขาดดุลของ สรอ. ความเชื่อมั่นลดลง รวมทั้งราคาน้ำมันแพง สำหรับอัตราการซื้อขายเงินบาทประจำวันที่ 17
ส.ค.47 ปิดตลาดที่ 41.48-41.52 บาท ต่อ ดอลลาร์ สรอ. (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีราคาผู้บริโภคของสรอ.ในเดือนก.ค. 47 ลดลง เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน รายงาน
จากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 47 ก.แรงงานสรอ.เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค | CPI ซึ่งเป็นตัวชี้วัด
ภาวะเงินเฟ้อของสรอ.ในเดือนก.ค.ลดลงร้อยละ 0.1 เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือนนับตั้งแต่ที่ เคยลดลง
ร้อยละ 0.2 เมื่อเดือน พ.ย. 46 สาเหตุจากต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วได้เริ่มลดลงแล้ว โดยต้น
ทุนพลังงานได้ลดลงร้อยละ 1.9 จากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ในเดือนมิ.ย. และร้อยละ 4.6 ในเดือนพ.ค.
ซึ่งการลดลงดังกล่าวมีจำนวนมากกว่า และสามารถชดเชยกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ของราคาอาหาร ส่วน
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน - Core CPI ที่ไม่นับรวมราคาอาหาร และพลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เทียบกับที่
นักเศรษฐศาสตร์จากวอลสตรีทคาดว่า CPI จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 และ Core CPI จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2
ส่งผลให้มีการคาดว่าธ.กลาง สรอ. คงยังไม่เร่งรีบปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อ ส่วน
ราคาน้ำมันดิบที่เคยทำสถิติสูงสุดที่ระดับ 46.58 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้เริ่มอ่อนตัว
ลงในสัปดาห์นี้โดยน้ำมันดิบไลท์ซื้อ-ขายกันที่ระดับ 45.76 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลเมื่อวานนี้ ( รอยเตอร์)
2. ผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวมของ สรอ.ในเดือน ก.ค.47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 รายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อ 17 ส.ค.47 ธ.กลาง สรอ. เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวมของ สรอ. เช่น โรง
งาน เหมืองแร่ และระบบสาธารณูปโภค ในเดือน ก.ค.47 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 0.4 ขณะที่ capacity
utilization เพิ่มขึ้นสู่ระดับร้อยละ 77.1 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์จากวอลล์สตรีทประมาณไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อย
ละ 0.5 และ 77.5 ตามลำดับ ทั้งนี้ ตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวม และ capacity utilization
ในเดือน มิ.ย.47 ที่ได้รับการทบทวนแล้วนั้น ลดลงอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.5 และ 76.9 จากที่รายงานก่อนหน้า
นี้ว่าลดลงร้อยละ 0.3 และ 77.2 ตามลำดับ นอกจากนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมโรงงาน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มีสัด
ส่วนมากกว่า 4 ใน 5 ส่วนของผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวม ในเดือน ก.ค.47 ก็มีตัวเลขที่สดใส เช่น
Factory production เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากที่ลดลงร้อยละ 0.2 ในเดือนก่อน และ Factory
Operate เพิ่มขึ้นร้อยละ 76.3 ของความสามารถในการผลิตเต็ม ซึ่งใกล้เคียงกับที่เคยเพิ่มขึ้นสูงสุดถึงร้อยละ
76.6 เมื่อเดือน เม.ย.44 ส่วนผลผลิตเหมืองแร่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.2 ขณะที่ผลผลิตระบบสาธารณูปโภค
ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยลดลงร้อยละ 2.0 (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน มิ.ย.47 ลดลงน้อยกว่าความคาดหมาย
รายงานจากบรัสเซลส์เมื่อ 17 ส.ค.47 the European Union statistics office เปิดเผยว่า ผล
ผลิต อุตสาหกรรมของเขตเศรษฐกิจยุโรป (Euro zone) ลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ม.ค.47 โดยลด
ลงร้อยละ 0.4 ในเดือน มิ.ย.47 ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งจากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ ขณะที่เมื่อเทียบต่อ
ปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ใกล้เคียงกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ทั้งนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมที่
ลดลง เป็นผลจากผลผลิตสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 1.2 เทียบต่อเดือน ซึ่งนับเป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีจำนวน
การลดลงสูงสุด ขณะที่ผลผลิตสินค้ากึ่งสำเร็จรูปกลับมีทิศทางที่ตรงข้ามคือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 อนึ่ง ผลผลิต
อุตสาหกรรมของเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเขตเศรษฐกิจยุโรป ลดลงมากที่สุดร้อยละ
2.0 ขณะที่ผลผลิตอุตสาหกรรมของไอร์แลนด์เพิ่มขึ้นสูงสุดที่ร้อยละ 2.5 สำหรับผลผลิตอุตสาหกรรมของเขต
เศรษฐกิจยุโรปในเดือน พ.ค.47 (ตัวเลขที่ปรับใหม่) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เทียบต่อเดือน และเพิ่มขึ้นร้อยละ
3.7 เมื่อเทียบต่อปี ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 และ 3.9
ตามลำดับ (รอยเตอร์)
4. ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเยอรมนีลดลงต่ำสุดในรอบ 13 เดือน รายงานจาก
เบอร์ลิน เมื่อ 17 ส.ค.47 ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากผลสำรวจของนักวิเคราะห์และนักลงทุน
สถาบันจำนวน 300 รายระหว่างวันที่ 6 ถึง 16 ส.ค.47 โดย ZEW ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำของ
เยอรมันอยู่ที่ระดับ 45.3 จากระดับ 48.4 ในเดือน ก.ค.47 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.46 ซึ่งอยู่ที่ระดับ
41.9 และต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 47.5 จากผลสำรวจโดยรอยเตอร์ จากความกังวลว่าการฟื้นตัวทาง
เศรษฐกิจของเยอรมนีจะได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นใน
ขณะนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าหากราคาน้ำมันสูงขึ้น 10 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลเป็นระยะเวลานานกว่า 12
เดือนจะทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัวลดลงร้อยละ 0.4 ต่อปี ตัวเลขเบื้องต้นจาก สนง.สถิติแห่งชาติของ
เยอรมนีแจ้งว่าเศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัวร้อยละ 0.5 ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากไตรมาส
แรกปีนี้ซึ่งขยายตัวร้อยละ 0.4 (รอยเตอร์)
5. การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.47) เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
ร้อยละ 31.1 รายงานจากปักกิ่งเมื่อ 17 ส.ค.47 The official Xinhua news agency เปิดเผยว่า
การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.47) เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 31.1 เมื่อเทียบ
กับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่า การลงทุนฯ ที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่งกว่าความคาดหมายมาก
สะท้อนมุมมองที่ตรงข้ามกับทิศทางของเศรษฐกิจจีนซึ่งมีแนวโน้มลดความร้อนแรงลงแล้ว อันเป็นผลจากการปรับ
ตัวลดลงของตัวเลขดัชนีชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ผลผลิตอุตสาหกรรมและดัชนีราคาผู้บริโภคที่มีการเปิดเผยใน
ช่วงสัปดาห์ก่อน อนึ่ง การควบคุมการเติบโตของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนเป็นเป้าหมายในการดำเนิน
นโยบายหลักของจีน โดยจีนได้พยายามควบคุมการเติบโตของการลงทุนฯ ตั้งแต่ปีที่แล้ว เนื่องจากความกังวล
ว่าการเติบโตที่ร้อนแรงเกินไปของภาคการลงทุน จะส่งผลกระทบต่อความต้องการซึ่งขยายตัวมากแล้ว รวมทั้ง
อาจเป็นสาเหตุให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น (รอยเตอร์)
6. การส่งออกของสิงคโปร์ในเดือน ก.ค.47 เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ประมาณการไว้ รายงานจาก
สิงคโปร์เมื่อ 17 ส.ค.47 Trade agency International Enterprise ของสิงคโปร์เปิดเผยว่า
มูลค่าการส่งออกของสิงคโปร์ ซึ่งไม่นับรวมถึงผลิตภัณฑ์น้ำมันในเดือน ก.ค.47 มีจำนวน 11.3 พัน ล.
ดอลลาร์สิงคโปร์ (6.58 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) หรือคิดเป็นร้อยละ 17.6 เมื่อเทียบต่อปี แต่หากเทียบต่อ
เดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4
ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญมาจากการส่งออกผลิตภัณฑ์ยา เคมีภัณฑ์ และชิปคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่การ
ส่งออกสินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์เริ่มมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากผลผลิตจากทั่วโลกเพิ่มขึ้นประกอบกับความต้อง
การสินค้าเทคโนโลยี โดยเฉพาะจากประเทศ สรอ. เริ่มเบาบางลง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 18 ส.ค. 47 17 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.509 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.3210/41.6119 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1000-1.3125 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 602.75/12.60 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,850/7,950 7,800/7,900 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 40.46 40.91 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.19*/14.59 21.19*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 17 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ครม. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ
ในการแข่งขันของประเทศ 3 ด้าน เพื่อเป็นการจูงใจให้ภาคเอกชนหันมาปรับปรุงและพยายามเพิ่มขีดความสามารถในการ
แข่งขันของตัวเองให้มากขึ้น ซึ่งหัวใจในการแข่งขันของภาคธุรกิจอยู่ที่การลงทุนในต่างประเทศ แต่ปัญหา
อุปสรรคที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้ประกอบการของไทยยังขาดข้อมูลข่าวสารในประเทศที่จะไปลงทุน ดังนั้น ครม. จึง
มอบหมายให้ ก.พาณิชย์ดูแล ส่วนอุปสรรคทางด้านภาษีกรมสรรพากรได้จัดทำมาตรการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว คือ
มาตรการที่ 1 ยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลที่ได้รับ ให้กับบริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่เข้าไปลงทุน
ในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ภายใต้เงื่อนไข คือ 1) บริษัทต้องถือหุ้น
ของบริษัทในต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 และต้องถือหุ้นไว้ไม่น้อยกว่า 6 เดือน 2) เงินปันผลดัง
กล่าวต้องมาจากกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษีในต่างประเทศในอัตราปกติไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของกำไรสุทธิ 3)
ถึงแม้ว่าบริษัทที่ไปลงทุนได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากต่างประเทศมาแล้ว ก็จะให้สิทธิตามมาตรการดังกล่าว
หากการลงทุนผ่านตามเงื่อนไขใน 2 ข้อแรก มาตรการที่ 2 ส่งเสริมให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีการ
ขายโรงงานพร้อมที่ดิน เพื่อย้ายเข้าไปอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมากขึ้นเพื่อให้เกิดการรวมกลุ่มแบบคลัสเตอร์
โดยได้ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายโรงงานพร้อมที่ดินเพื่อนำรายได้ไปซื้อโรงงานพร้อมที่ดินแห่งใหม่
โดยจะต้องย้ายโรงงานเข้าไปอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมให้เสร็จก่อนหรือหลังการขายโรงงานพร้อมที่ดินภายใน
เวลาไม่เกิน 1 ปี และมาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้เพียง 5 ปี หลัง ก.คลังมีประกาศ และมาตรการสุดท้าย
คือ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนธุรกิจเงินร่วมลงทุน ดังนี้ 1) ปรับลดระยะเวลาการถือหุ้นของ
ธุรกิจร่วมลงทุนในเอสเอ็มอีต่าง ๆ จากเดิมที่กำหนดว่าจะต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 7 ปี เหลือไม่น้อยกว่า 5 ปี
ในรอบปีบัญชีต่อเนื่อง และในกรณีที่ธุรกิจร่วมลงทุนสามารถนำเอสเอ็มอีเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้
ให้ลดระยะเวลาการถือหุ้นจากที่ไม่น้อยกว่า 5 ปี เหลือไม่น้อยกว่า 3 ปีในรอบปีบัญชีต่อเนื่องกัน และแก้ไข
หลักเกณฑ์กรณีภายหลังการลงทุนในธุรกิจเอสเอ็มอีแล้วมีการขยายตัวจนเกินความเป็นเอสเอ็มอีทำให้ธุรกิจร่วม
ลงทุนไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีทั้งหมด มาเป็นให้ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีเฉพาะในช่วงเวลาที่เข้าไปลงทุนจน
ถึงปีบัญชีสุดท้ายที่เอสเอ็มอีมีสถานะเกินกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนด (บ้านเมือง)
2. ครม. อนุมัติจัดตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กก.ผจก.ธ.อาคาร
สงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ครม. เห็นชอบอนุมัติให้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เพื่อทำหน้าที่ดูแล
และกำกับนโยบาย รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศทั้งหมด โดยให้ ธอส.
เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในส่วนของเงินที่ใช้ในการดำเนินโครงการทั้งหมด เฉลี่ยปีละ 30 ล้านบาทต่อปี แต่รัฐบาล
จะชดเชยให้ในภายหลัง โดยหักกับผลกำไรที่นำส่งคืนเข้าคลังในแต่ละปี และในวันที่ 25 ส.ค.นี้ รมว.คลังจะ
เป็นประธานเปิดศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ โดยในช่วงแรกจะเปิดให้บริการฟรีเนื่องจากข้อมูลยังไม่ครบ ซึ่ง
คาดว่าจะใช้เวลาในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลไม่เกิน 1 ปี จึงจะสามารถคิดค่าบริการจากผู้ที่เข้ามาใช้ข้อมูลได้
และหลังจากนี้จะนัดประชุมผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
จำนวน 127 บริษัท มาหารือกัน เพื่อขอข้อมูลยอดการขายบ้าน ส่วนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
จำนวน 26 บริษัท ธอส. จะขอข้อมูลยอดขายบ้านด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จะทำหน้าที่เป็น
ฐานข้อมูลในการวิเคราะห์ข้อมูลภาครัฐและภาคเอกชนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดเพื่อป้องกันภาวะฟองสบู่
รวมถึงสามารถพยากรณ์แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้ (โพสต์ทูเดย์, แนวหน้า)
3. ธปท. ลงนามบันทึกข้อตกลงกับ ธ.สปป.ลาว ว่าด้วยข้อตกลงทางการเงิน 2 ฉบับ ม.ร.ว.
ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงกับธนาคารแห่งสาธารณรัฐ
ประชาธิปไตยประชาชนลาว (ธ.สปป.ลาว) ว่าด้วยข้อตกลงทางการเงิน 2 ฉบับ คือ ความตกลงว่าด้วยการ
แลกเปลี่ยน (Swap) เงินกีบและเงินบาท และความตกลงว่าด้วยการสนับสนุนสภาพคล่องเงินบาท ทั้งนี้ การทำ
Swap เงินบาทและเงินกีบนั้น ธปท. จะนำเงินบาท จำนวน 500 ล้านบาท แลกเงินกีบมูลค่าเทียบเท่ากับ ธ.
สปป.ลาว โดย ธปท. จะส่งมอบเงินบาทเข้าบัญชีของ ธ.สปป.ลาวที่เปิดไว้กับ ธปท. และ ธ.สปป.ลาวจะ
ส่งมอบเงินกีบมูลค่าเทียบเท่า 500 ล้านบาท เข้าบัญชีเงินฝากของ ธปท. ที่เปิดไว้กับ ธ.สปป.ลาว โดยเงิน
บาทและเงินกีบดังกล่าวจะสามารถนำไปใช้ได้เมื่อมีความจำเป็น สำหรับความตกลงฉบับที่ 2 เป็นการตกลงที่
ธปท. จะสนับสนุนสภาพคล่องเงินบาทแก่ ธ.สปป.ลาว โดยการ Swap เงินดอลลาร์ สรอ. กับเงินบาทกับ
ธปท. โดยความตกลงทั้ง 2 ฉบับนี้เป็นความร่วมมือของธนาคารทั้ง 2 ประเทศ ในการเสริมสร้างความเชื่อ
มั่นและสนับสนุนการใช้เงินกีบและเงินบาทเป็นสื่อกลางในการชำระสินค้าและการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับ
ลาว นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศ จะร่วมมือกันเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเงิน โดยสนับ
สนุนการค้าชายแดนของทั้ง 2 ประเทศให้ชำระเงินด้วยสกุลเงินกีบและเงินบาทระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้การค้า
ชายแดนไทยและลาวขยายตัวมากขึ้น (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
4. ธปท.พอใจเงินบาทมีเสถียรภาพ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ค่า
เงินบาทที่เคลื่อนไหวระหว่าง 41.40-41.50 ต่อดอลลาร์ สรอ. ถือว่าไม่ผันผวนและขณะนี้ไม่มีแนวโน้มว่าจะ
อ่อนค่าลงอีก ถือเป็นเรื่องดี เพราะหากค่าเงินบาทอ่อนหรือผันผวนในช่วงที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นต่อเนื่องคงไม่เป็น
ผลดีต่อเศรษฐกิจไทย และที่ผ่านมา ธปท. ไม่เคยเข้าไปแทรกแซงตลาด เนื่องจากค่าเงินบาทค่อนข้างนิ่ง แต่
จะเข้าแทรกแซงเมื่อไหร่คงตอบไม่ได้ ด้านนักค้าเงินจาก ธ.พาณิชย์กล่าวว่า ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้
อีกเล็กน้อยประมาณ 5-6 สตางค์ ต่อดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากมีข่าวที่เป็นปัจจัยลบในต่างประเทศ เช่น การ
ขาดดุลของ สรอ. ความเชื่อมั่นลดลง รวมทั้งราคาน้ำมันแพง สำหรับอัตราการซื้อขายเงินบาทประจำวันที่ 17
ส.ค.47 ปิดตลาดที่ 41.48-41.52 บาท ต่อ ดอลลาร์ สรอ. (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีราคาผู้บริโภคของสรอ.ในเดือนก.ค. 47 ลดลง เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน รายงาน
จากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 47 ก.แรงงานสรอ.เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค | CPI ซึ่งเป็นตัวชี้วัด
ภาวะเงินเฟ้อของสรอ.ในเดือนก.ค.ลดลงร้อยละ 0.1 เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือนนับตั้งแต่ที่ เคยลดลง
ร้อยละ 0.2 เมื่อเดือน พ.ย. 46 สาเหตุจากต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วได้เริ่มลดลงแล้ว โดยต้น
ทุนพลังงานได้ลดลงร้อยละ 1.9 จากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ในเดือนมิ.ย. และร้อยละ 4.6 ในเดือนพ.ค.
ซึ่งการลดลงดังกล่าวมีจำนวนมากกว่า และสามารถชดเชยกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ของราคาอาหาร ส่วน
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน - Core CPI ที่ไม่นับรวมราคาอาหาร และพลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เทียบกับที่
นักเศรษฐศาสตร์จากวอลสตรีทคาดว่า CPI จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 และ Core CPI จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2
ส่งผลให้มีการคาดว่าธ.กลาง สรอ. คงยังไม่เร่งรีบปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อ ส่วน
ราคาน้ำมันดิบที่เคยทำสถิติสูงสุดที่ระดับ 46.58 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้เริ่มอ่อนตัว
ลงในสัปดาห์นี้โดยน้ำมันดิบไลท์ซื้อ-ขายกันที่ระดับ 45.76 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลเมื่อวานนี้ ( รอยเตอร์)
2. ผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวมของ สรอ.ในเดือน ก.ค.47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 รายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อ 17 ส.ค.47 ธ.กลาง สรอ. เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวมของ สรอ. เช่น โรง
งาน เหมืองแร่ และระบบสาธารณูปโภค ในเดือน ก.ค.47 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 0.4 ขณะที่ capacity
utilization เพิ่มขึ้นสู่ระดับร้อยละ 77.1 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์จากวอลล์สตรีทประมาณไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อย
ละ 0.5 และ 77.5 ตามลำดับ ทั้งนี้ ตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวม และ capacity utilization
ในเดือน มิ.ย.47 ที่ได้รับการทบทวนแล้วนั้น ลดลงอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.5 และ 76.9 จากที่รายงานก่อนหน้า
นี้ว่าลดลงร้อยละ 0.3 และ 77.2 ตามลำดับ นอกจากนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมโรงงาน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มีสัด
ส่วนมากกว่า 4 ใน 5 ส่วนของผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวม ในเดือน ก.ค.47 ก็มีตัวเลขที่สดใส เช่น
Factory production เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากที่ลดลงร้อยละ 0.2 ในเดือนก่อน และ Factory
Operate เพิ่มขึ้นร้อยละ 76.3 ของความสามารถในการผลิตเต็ม ซึ่งใกล้เคียงกับที่เคยเพิ่มขึ้นสูงสุดถึงร้อยละ
76.6 เมื่อเดือน เม.ย.44 ส่วนผลผลิตเหมืองแร่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.2 ขณะที่ผลผลิตระบบสาธารณูปโภค
ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยลดลงร้อยละ 2.0 (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน มิ.ย.47 ลดลงน้อยกว่าความคาดหมาย
รายงานจากบรัสเซลส์เมื่อ 17 ส.ค.47 the European Union statistics office เปิดเผยว่า ผล
ผลิต อุตสาหกรรมของเขตเศรษฐกิจยุโรป (Euro zone) ลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ม.ค.47 โดยลด
ลงร้อยละ 0.4 ในเดือน มิ.ย.47 ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งจากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ ขณะที่เมื่อเทียบต่อ
ปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ใกล้เคียงกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ทั้งนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมที่
ลดลง เป็นผลจากผลผลิตสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 1.2 เทียบต่อเดือน ซึ่งนับเป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีจำนวน
การลดลงสูงสุด ขณะที่ผลผลิตสินค้ากึ่งสำเร็จรูปกลับมีทิศทางที่ตรงข้ามคือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 อนึ่ง ผลผลิต
อุตสาหกรรมของเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเขตเศรษฐกิจยุโรป ลดลงมากที่สุดร้อยละ
2.0 ขณะที่ผลผลิตอุตสาหกรรมของไอร์แลนด์เพิ่มขึ้นสูงสุดที่ร้อยละ 2.5 สำหรับผลผลิตอุตสาหกรรมของเขต
เศรษฐกิจยุโรปในเดือน พ.ค.47 (ตัวเลขที่ปรับใหม่) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เทียบต่อเดือน และเพิ่มขึ้นร้อยละ
3.7 เมื่อเทียบต่อปี ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 และ 3.9
ตามลำดับ (รอยเตอร์)
4. ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเยอรมนีลดลงต่ำสุดในรอบ 13 เดือน รายงานจาก
เบอร์ลิน เมื่อ 17 ส.ค.47 ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากผลสำรวจของนักวิเคราะห์และนักลงทุน
สถาบันจำนวน 300 รายระหว่างวันที่ 6 ถึง 16 ส.ค.47 โดย ZEW ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำของ
เยอรมันอยู่ที่ระดับ 45.3 จากระดับ 48.4 ในเดือน ก.ค.47 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.46 ซึ่งอยู่ที่ระดับ
41.9 และต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 47.5 จากผลสำรวจโดยรอยเตอร์ จากความกังวลว่าการฟื้นตัวทาง
เศรษฐกิจของเยอรมนีจะได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นใน
ขณะนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าหากราคาน้ำมันสูงขึ้น 10 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลเป็นระยะเวลานานกว่า 12
เดือนจะทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัวลดลงร้อยละ 0.4 ต่อปี ตัวเลขเบื้องต้นจาก สนง.สถิติแห่งชาติของ
เยอรมนีแจ้งว่าเศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัวร้อยละ 0.5 ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากไตรมาส
แรกปีนี้ซึ่งขยายตัวร้อยละ 0.4 (รอยเตอร์)
5. การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.47) เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
ร้อยละ 31.1 รายงานจากปักกิ่งเมื่อ 17 ส.ค.47 The official Xinhua news agency เปิดเผยว่า
การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.47) เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 31.1 เมื่อเทียบ
กับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่า การลงทุนฯ ที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่งกว่าความคาดหมายมาก
สะท้อนมุมมองที่ตรงข้ามกับทิศทางของเศรษฐกิจจีนซึ่งมีแนวโน้มลดความร้อนแรงลงแล้ว อันเป็นผลจากการปรับ
ตัวลดลงของตัวเลขดัชนีชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ผลผลิตอุตสาหกรรมและดัชนีราคาผู้บริโภคที่มีการเปิดเผยใน
ช่วงสัปดาห์ก่อน อนึ่ง การควบคุมการเติบโตของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนเป็นเป้าหมายในการดำเนิน
นโยบายหลักของจีน โดยจีนได้พยายามควบคุมการเติบโตของการลงทุนฯ ตั้งแต่ปีที่แล้ว เนื่องจากความกังวล
ว่าการเติบโตที่ร้อนแรงเกินไปของภาคการลงทุน จะส่งผลกระทบต่อความต้องการซึ่งขยายตัวมากแล้ว รวมทั้ง
อาจเป็นสาเหตุให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น (รอยเตอร์)
6. การส่งออกของสิงคโปร์ในเดือน ก.ค.47 เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ประมาณการไว้ รายงานจาก
สิงคโปร์เมื่อ 17 ส.ค.47 Trade agency International Enterprise ของสิงคโปร์เปิดเผยว่า
มูลค่าการส่งออกของสิงคโปร์ ซึ่งไม่นับรวมถึงผลิตภัณฑ์น้ำมันในเดือน ก.ค.47 มีจำนวน 11.3 พัน ล.
ดอลลาร์สิงคโปร์ (6.58 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) หรือคิดเป็นร้อยละ 17.6 เมื่อเทียบต่อปี แต่หากเทียบต่อ
เดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4
ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญมาจากการส่งออกผลิตภัณฑ์ยา เคมีภัณฑ์ และชิปคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่การ
ส่งออกสินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์เริ่มมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากผลผลิตจากทั่วโลกเพิ่มขึ้นประกอบกับความต้อง
การสินค้าเทคโนโลยี โดยเฉพาะจากประเทศ สรอ. เริ่มเบาบางลง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 18 ส.ค. 47 17 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.509 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.3210/41.6119 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1000-1.3125 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 602.75/12.60 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,850/7,950 7,800/7,900 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 40.46 40.91 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.19*/14.59 21.19*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 17 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-