กรุงเทพ--20 ส.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
พิธีแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารเพื่อการมีผลบังคับใช้ของความตกลงระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทยกับสหภาพเบลโกลักเซมเบอร์ก เรื่องการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทน
ด้วยจะมีพิธีลงนามบันทึกวาจาแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารเพื่อการมีผลบังคับใช้ของความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับสหภาพเบลโกลักเซมเบอร์ก เพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทน (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Belgo-Luxemburg Economic Union for the Promotion and Reciprocal Protection of Investments) ในวันที่ 20 สิงหาคม 2547 เวลา 14.30-15.00 น. ณ ห้องบัวแก้ว กระทรวงการต่างประเทศ โดยนายประชา คุณะเกษม ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับ ฯพณฯ นาย Pierre Jean Marie Antoine Vaesen เอกอักครราชทูตเบลเยี่ยมประจำประเทศไทยเป็นผู้ลงนามในนามสหภาพเบลโกลักเซมเบอร์ก
การจัดทำความตกลงดังกล่าวระหว่างกัน จะเป็นกรอบและกลไกที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ การมีความตกลงฯ ระหว่างกันจะเป็นการสนับสนุนพร้อมทั้งอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนแก่นักลงทุนของทั้งสองประเทศ โดยนักลงทุนจะได้รับการประติบัติที่เป็นธรรมและการคุ้มครองอย่างเต็มที่ อันจะส่งผลให้นักธุรกิจของทั้งสองประเทศมีความมั่นใจที่จะลงทุนทำธุรกิจระหว่างกันมากขึ้น (ดังสรุปสาระสำคัญของความตกลงฯ แนบมา)
สรุปสาระสำคัญของร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับ
สหภาพเบลโกลักเซมเบอร์ก เพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทน
1. ภาคีคู่สัญญาแต่ละฝ่ายตกลงที่จะสนับสนุนและสร้างสภาวะเอื้ออำนวยในดินแดนของตนต่อผู้ลงทุนของภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
2. ภาคีคู่สัญญาตกลงที่จะให้การประติบัติที่เป็นธรรมและการคุ้มครองอย่างเต็มที่แก่การลงทุน และให้การประติบัติแก่การลงทุนหรือผลตอบแทนของผู้ลงทุนที่ไม่ด้อยไปกว่าที่ให้แก่การลงทุนหรือผลตอบแทนของการลงทุนของประเทศที่สาม
3. การลงทุนโดยผู้ลงทุนของภาคีคู่สัญญาที่จะไดรับสิทธิประโยชน์จากความตกลงนี้ จะต้องได้รับความเห็นชอบเป็นลายลักษณ์อักษรโดยหน่วยงานผู้มีอำนาจ หากกำหนดไว้โดยกฎหมายและข้อบังคับของภาคีคู่สัญญา และเมื่อการลงทุนได้รับการ ยอมรับ ภาคีคู่สัญญาตกลงที่จะให้ใบอนุญาตที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการลงทุนเช่นว่านั้นตามกฎหมายและข้อบังคับของตน
4. ภาคีคู่สัญญาตกลงที่จะไม่ยึดหรือโอนการลงทุนของผู้ลงทุนของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นของรัฐหรือดำเนินมาตรการใดที่มีผลเท่าเทียมกัน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ และต้องมีการให้ค่าทดแทนที่พอเพียง อย่างมีประสิทธิผลและไม่ล่าช้า ตามมูลค่าของการลงทุนก่อนวันที่การยึดหรือเวนคืนจะเป็นที่ล่วงรู้ของสาธารณชน
5. ในกรณีที่การลงทุนของผู้ลงทุนของภาคีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งประสบความสูญเสียอันเกิดจากสงคราม หรือการขัดกันด้วยอาวุธอื่นๆ ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ หรือการก่อกบฏ จะได้รับการประติบัติเกี่ยวกับการช่วยให้คืนสู่สภาพเดิม การชดใช้ค่าเสียหาย ค่าทดแทนที่ไม่ด้อยไปกว่าที่ภาคีคู่สัญญาผู้รับการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนของตน หรือผู้ลงทุนของประเทศที่สาม
6. ภาคีคู่สัญญาให้หลักประกันว่า การลงทุนและผลตอบแทนของผู้ลงทุนของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับอนุญาตให้มีการโอนกลับออกไปโดยไม่ล่าช้า ด้วยเงินสกุลที่สามารถแลกเปลี่ยนได้โดยเสรี ในอัตราแลกเปลี่ยนตลาดของวันที่มีการโอนเงิน
7. ในกรณีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการลงทุนระหว่างภาคีคู่สัญญากับผู้ลงทุนของภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง ให้มีการดำเนินการเพื่อระงับข้อพิพาทโดยการปรึกษาหารือกันก่อน หากไม่สามารถหาข้อยุติได้ภายใน 6 เดือน ผู้ลงทุนสามารถเสนอข้อพิพาทไปยังศาลของรัฐภาคีที่ได้มีการลงทุนหรือศูนย์ระหว่างประเทศสำหรับการระงับข้อพิพาทการลงทุนในกรณีที่ภาคีสองฝ่ายได้เป็นสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยการระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการลงทุนระหว่างรัฐและคนชาติของรัฐอื่น ทำ ณ กรุงวอชิงตัน (ICSID) ค.ศ. 1965 หรืออนุญาโตตุลาการ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎระเบียบว่าด้วยอนุญาโตตุลาการของคณะกรรมาธิการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศของสหประชาชาติ (UNCITRAL) ค.ศ. 1976 โดยคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการให้ถือเป็นที่สุดและผูกพันคู่พิพาท
8. ข้อพิพาทระหว่างภาคีคู่สัญญาที่เกิดจากการใช้หรือตีความความตกลง ให้มีการดำเนินการเพื่อระงับข้อพิพาทอย่างฉันมิตร หากไม่สามารถหาข้อยุติได้ภายใน 6 เดือน ภาคีคู่สัญญามีสิทธิเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา โดยคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการให้มีผลผูกพันคู่กรณี
9. ความตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้ได้ต่อเมื่อประเทศคู่ภาคีทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารระหว่างกัน โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่สามสิบหลังจากวันที่ได้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร และจะคงมีผลบังคับใช้มีกำหนดระยะเวลาช่วงแรกสิบปี หลังจากนั้น ความตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อไปอีกสิบปีโดยอัตโนมัติ นอกจากภาคีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกความตกลงโดยการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ในส่วนการลงทุนที่ได้รับความเห็นชอบแล้วในขณะที่ความตกลงมีผลใช้บังคับ บทบัญญัติของความตกลงนี้จะมีผลต่อไปเป็นระยะเวลาสิบปีนับจากวันที่มีการบอกเลิกความตกลงฯ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
พิธีแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารเพื่อการมีผลบังคับใช้ของความตกลงระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทยกับสหภาพเบลโกลักเซมเบอร์ก เรื่องการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทน
ด้วยจะมีพิธีลงนามบันทึกวาจาแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารเพื่อการมีผลบังคับใช้ของความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับสหภาพเบลโกลักเซมเบอร์ก เพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทน (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Belgo-Luxemburg Economic Union for the Promotion and Reciprocal Protection of Investments) ในวันที่ 20 สิงหาคม 2547 เวลา 14.30-15.00 น. ณ ห้องบัวแก้ว กระทรวงการต่างประเทศ โดยนายประชา คุณะเกษม ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับ ฯพณฯ นาย Pierre Jean Marie Antoine Vaesen เอกอักครราชทูตเบลเยี่ยมประจำประเทศไทยเป็นผู้ลงนามในนามสหภาพเบลโกลักเซมเบอร์ก
การจัดทำความตกลงดังกล่าวระหว่างกัน จะเป็นกรอบและกลไกที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ การมีความตกลงฯ ระหว่างกันจะเป็นการสนับสนุนพร้อมทั้งอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนแก่นักลงทุนของทั้งสองประเทศ โดยนักลงทุนจะได้รับการประติบัติที่เป็นธรรมและการคุ้มครองอย่างเต็มที่ อันจะส่งผลให้นักธุรกิจของทั้งสองประเทศมีความมั่นใจที่จะลงทุนทำธุรกิจระหว่างกันมากขึ้น (ดังสรุปสาระสำคัญของความตกลงฯ แนบมา)
สรุปสาระสำคัญของร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับ
สหภาพเบลโกลักเซมเบอร์ก เพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทน
1. ภาคีคู่สัญญาแต่ละฝ่ายตกลงที่จะสนับสนุนและสร้างสภาวะเอื้ออำนวยในดินแดนของตนต่อผู้ลงทุนของภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
2. ภาคีคู่สัญญาตกลงที่จะให้การประติบัติที่เป็นธรรมและการคุ้มครองอย่างเต็มที่แก่การลงทุน และให้การประติบัติแก่การลงทุนหรือผลตอบแทนของผู้ลงทุนที่ไม่ด้อยไปกว่าที่ให้แก่การลงทุนหรือผลตอบแทนของการลงทุนของประเทศที่สาม
3. การลงทุนโดยผู้ลงทุนของภาคีคู่สัญญาที่จะไดรับสิทธิประโยชน์จากความตกลงนี้ จะต้องได้รับความเห็นชอบเป็นลายลักษณ์อักษรโดยหน่วยงานผู้มีอำนาจ หากกำหนดไว้โดยกฎหมายและข้อบังคับของภาคีคู่สัญญา และเมื่อการลงทุนได้รับการ ยอมรับ ภาคีคู่สัญญาตกลงที่จะให้ใบอนุญาตที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการลงทุนเช่นว่านั้นตามกฎหมายและข้อบังคับของตน
4. ภาคีคู่สัญญาตกลงที่จะไม่ยึดหรือโอนการลงทุนของผู้ลงทุนของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นของรัฐหรือดำเนินมาตรการใดที่มีผลเท่าเทียมกัน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ และต้องมีการให้ค่าทดแทนที่พอเพียง อย่างมีประสิทธิผลและไม่ล่าช้า ตามมูลค่าของการลงทุนก่อนวันที่การยึดหรือเวนคืนจะเป็นที่ล่วงรู้ของสาธารณชน
5. ในกรณีที่การลงทุนของผู้ลงทุนของภาคีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งประสบความสูญเสียอันเกิดจากสงคราม หรือการขัดกันด้วยอาวุธอื่นๆ ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ หรือการก่อกบฏ จะได้รับการประติบัติเกี่ยวกับการช่วยให้คืนสู่สภาพเดิม การชดใช้ค่าเสียหาย ค่าทดแทนที่ไม่ด้อยไปกว่าที่ภาคีคู่สัญญาผู้รับการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนของตน หรือผู้ลงทุนของประเทศที่สาม
6. ภาคีคู่สัญญาให้หลักประกันว่า การลงทุนและผลตอบแทนของผู้ลงทุนของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับอนุญาตให้มีการโอนกลับออกไปโดยไม่ล่าช้า ด้วยเงินสกุลที่สามารถแลกเปลี่ยนได้โดยเสรี ในอัตราแลกเปลี่ยนตลาดของวันที่มีการโอนเงิน
7. ในกรณีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการลงทุนระหว่างภาคีคู่สัญญากับผู้ลงทุนของภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง ให้มีการดำเนินการเพื่อระงับข้อพิพาทโดยการปรึกษาหารือกันก่อน หากไม่สามารถหาข้อยุติได้ภายใน 6 เดือน ผู้ลงทุนสามารถเสนอข้อพิพาทไปยังศาลของรัฐภาคีที่ได้มีการลงทุนหรือศูนย์ระหว่างประเทศสำหรับการระงับข้อพิพาทการลงทุนในกรณีที่ภาคีสองฝ่ายได้เป็นสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยการระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการลงทุนระหว่างรัฐและคนชาติของรัฐอื่น ทำ ณ กรุงวอชิงตัน (ICSID) ค.ศ. 1965 หรืออนุญาโตตุลาการ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎระเบียบว่าด้วยอนุญาโตตุลาการของคณะกรรมาธิการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศของสหประชาชาติ (UNCITRAL) ค.ศ. 1976 โดยคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการให้ถือเป็นที่สุดและผูกพันคู่พิพาท
8. ข้อพิพาทระหว่างภาคีคู่สัญญาที่เกิดจากการใช้หรือตีความความตกลง ให้มีการดำเนินการเพื่อระงับข้อพิพาทอย่างฉันมิตร หากไม่สามารถหาข้อยุติได้ภายใน 6 เดือน ภาคีคู่สัญญามีสิทธิเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา โดยคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการให้มีผลผูกพันคู่กรณี
9. ความตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้ได้ต่อเมื่อประเทศคู่ภาคีทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารระหว่างกัน โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่สามสิบหลังจากวันที่ได้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร และจะคงมีผลบังคับใช้มีกำหนดระยะเวลาช่วงแรกสิบปี หลังจากนั้น ความตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อไปอีกสิบปีโดยอัตโนมัติ นอกจากภาคีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกความตกลงโดยการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ในส่วนการลงทุนที่ได้รับความเห็นชอบแล้วในขณะที่ความตกลงมีผลใช้บังคับ บทบัญญัติของความตกลงนี้จะมีผลต่อไปเป็นระยะเวลาสิบปีนับจากวันที่มีการบอกเลิกความตกลงฯ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-