ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ขอให้ ธ.พาณิชย์ควบคุมความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ธปท. ออกหนังสือเวียนถึง ธ.พาณิชย์
ให้จัดเก็บข้อมูลความเสียหายที่เกิดจากความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ เพื่อให้จัดการความเสี่ยงด้านปฏิบัติการได้
อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้บอร์ดและผู้บริหารระดับสูงเห็นความสำคัญของการควบคุมด้านปฏิบัติการรองรับ
หลักเกณฑ์บาเซิล 2 ที่จะนำมาใช้ในปี 51 โดยกำหนดคำจำกัดความของความเสี่ยงด้านปฏิบัติการว่า เป็น
ความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากการขาดการกำกับดูแลกิจการที่ดี หรือขาดธรรมาภิบาลในองค์
กร โดยการขาดการควบคุมที่ดีอาจเกี่ยวข้องกับกระบวนการปฏิบัติงานภายใน คน ระบบงาน หรือเหตุการณ์
ภายนอก และส่งผลกระทบต่อรายได้และเงินกองทุนของสถาบันการเงิน รวมถึงความเสี่ยงด้านกฎหมายด้วย
สำหรับเหตุการณ์ความเสียหายที่เกิดจากความเสี่ยงด้านปฏิบัติการที่ต้องควบคุมมี 7 ประเภท ได้แก่ 1)
Internal Fraud เช่น การทุจริตของพนักงาน 2) External Fraud เช่น การปลอมเช็ค การ
โจรกรรม 3) Employment practices and workplace safety เช่น การถูกฟ้องร้องจากการ
กระทำผิดกฎหมายแรงงาน หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของสถานที่ทำงาน 4) Client products
and business practices เช่น การที่ลูกค้าใช้ ธ.พาณิชย์เป็นช่องทางการฟอกเงิน 5) Damage to
physical assets เช่น ความเสียหายของทรัพย์สินจากภัยธรรมชาติและการก่อการร้าย 6) Business
disruption and system failures ได้แก่ ความเสียหายจากความล้มเหลวของอุปกรณ์ โปรแกรม
หรือระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และ 7) Execution delivery and process management ได้แก่
ความผิดพลาดของพนักงาน เอกสารสำคัญสูญหาย และความเสียหายที่เกิดจากผู้ให้บริการภายนอกของ ธ.
พาณิชย์ ทั้งนี้ ต่อไปแนวทางการพิจารณาความเสี่ยงจะไม่ใช้เฉพาะดุลพินิจ แต่จะมีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนและ
สอดคล้องกับการปรับปรุงดูแลคุณภาพสินเชื่อตามการประเมินกระแสเงินสดที่ ธปท. นำมาใช้อยู่ในขณะนี้ ทำให้
การดูแลคุณภาพชัดเจนขึ้นมากกว่าที่ดูจากการขาดส่งดอกเบี้ย 3 เดือน 6 เดือน หรือไม่ชำระเงินต้น เพราะ
การดูกระแสเงินสดเป็นการพิจารณาเนื้อที่ของโครงการ ดูเรื่องเงินรายได้ที่จะเข้ามาในอนาคต ต้นทุนใน
อนาคตที่จะเพิ่มขึ้นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวใช้ปฏิบัติกับทุกธนาคารเหมือนกัน (โพสต์ทูเดย์, โลก
วันนี้, ไทยรัฐ)
2. ราคาน้ำมันส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าในปีนี้ลดลงจากปีก่อน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่า
การ ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ได้ประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง พบว่า
จะส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลลดลง 1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยขณะนี้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ซึ่งหากรัฐบาลใช้มาตรการประหยัดพลังงานได้ร้อยละ 10 ก็จะทำให้ลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันได้ถึงร้อยละ 20
ในปีหน้าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะไม่ขาดดุล ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้คาดว่าจะเกินดุล 4-5 พัน
ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจาก 8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 46 สำหรับมาตรการประหยัดพลังงานของ
รัฐบาลที่เตรียมลอยตัวระดับราคาน้ำมันเบนซิน แต่ยังตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้นั้นถือเป็นมาตรการที่พบกันคนละ
ครึ่งทาง ซึ่งการที่รัฐบาลตรึงราคาน้ำมันดีเซลจะช่วยลดแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นพอสมควร โดยขณะนี้
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ณ เดือน ก.ค.47 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.1 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับร้อยละ
0.7 (เดลินิวส์, โพสต์ทูเดย์, บ้านเมือง)
3. ก.คลังถือหุ้นเครดิตบูโรใหม่ร้อยละ 19 นายสมใจนึก เอ็งตระกูล ปลัด ก.คลัง เป็น
ประธานการลงนามบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัทข้อมูลเครดิตไทย จำกัด
(TCB) และบริษัทข้อมูลเครดิตกลาง จำกัด (CCIS) เพื่อให้ระบบข้อมูลเครดิตของประเทศมีความเป็น
เอกภาพและสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็ว และมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจยิ่งขึ้น
อีกทั้งช่วยลดต้นทุนค่าบริการให้ต่ำลง และจะเป็นกลไกหนึ่งในการช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพและความสามารถ
ในการแข่งขันของระบบการเงินในระยะยาว ซึ่งได้มอบหมายให้ สนง.เศรษฐกิจการคลังจัดตั้งคณะทำงาน
เพื่อจัดหาบริษัทกลางเข้าไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เพื่อนำไปสู่การควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัท
และเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ซึ่งคาดว่าขั้นตอนในการตรวจสอบคุณภาพทรัพย์สินจะใช้เวลาประมาณ 2-3
สัปดาห์ และการควบรวมทั้งสองบริษัทจะแล้วเสร็จภายใน 3-4 เดือน สำหรับสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทใหม่นั้น
ก.คลังจะถือหุ้นร้อยละ 19 ธอส.ร้อยละ 30 บ.ทิพยประกันภัย ร้อยละ 2 และบริษัทข้อมูลเครดิตกลาง ร้อย
ละ 49 โดยบริษัทใหม่จะมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 253 ล้านบาท (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
4. ก.คลังจะดึงวงเงินจากเอเชียบอนด์ออกพันธบัตรออมทรัพย์รอบใหม่ 2 หมื่นล้านบาท นายสมคิด
จาตุศรีพิทักษ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงเรื่องการออกพันธบัตรออมทรัพย์
แล้ว โดยยืนยันว่าจะมีการออกพันธบัตรออมทรัพย์รอบใหม่ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งการออกพันธบัตรดังกล่าวจะต้อง
รอผลการสำรวจความต้องการซื้อพันธบัตรของประชาชนจาก ธปท. ก่อน ทั้งนี้ วงเงินที่จะออกพันธบัตรรอบ
ใหม่ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจนว่าจะนำพันธบัตร 2 หมื่นล้านบาท มาจากส่วนใด แต่ในเบื้องต้นอาจจะนำมาจากสัด
ส่วนการออกพันธบัตรเอเชีย (เอเชียบอนด์) ที่มีอยู่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยจะดึงมาเพียง 2 หมื่นล้าน
บาท ส่วนที่เหลืออีก 1 หมื่นล้านบาท จะออกเป็นเอเชียบอนด์เพื่อเป็นการทดสอบตลาด โดยจะออกภายในสิ้นปี
อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม การออกพันธบัตรรอบใหม่นั้นจะสามารถออกได้ภายใน 1-2 เดือนนี้ และเชื่อว่า
จะสามารถกระจายพันธบัตรให้กับประชาชนรายย่อยได้อย่างทั่วถึงมากกว่ารอบที่ผ่านมา (โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ไอเอ็มเอฟอาจปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกสำหรับปี 47 เป็นร้อยละ 4.9
รายงานจากเบอร์ลิน German newspaper Sceddeutsche Zeitung รายงานว่า ในรายงานแนวโน้ม
เศรษฐกิจโลกงวดเดือน ต.ค.ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ จะมีการปรับเพิ่มประมาณ
การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกประจำปี 47 เป็นร้อยละ 4.9 จากที่เคยประมาณการไว้ในรายงานเมื่อเดือน
เม.ย.ว่าจะเติบโตร้อยละ 4.6 ในขณะที่จะยังคงยืนยันการพยากรณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 48 ไว้
ที่ระดับเดิม คือ ร้อยละ 4.4 ทั้งนี้ หัวหน้าไอเอ็มเอฟ (Rodrigo Rato) ยังได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่า
เศรษฐกิจโลกในปีนี้อาจจะสูงกว่าที่ประมาณการไว้เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา แม้ว่าระดับราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้น
อย่างรวดเร็วก็ตาม เขากล่าวว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังคงแข็งแกร่งจนถึงสิ้นปีหน้า โดยคาดว่าเศรษฐกิจใน
หลาย ๆ ภูมิภาคของโลกจะมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะประเทศ สรอ. จีน และญี่ปุ่น โดย
สรอ.ประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 47 และ 48 ว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.4 และ 3.8 ญี่ปุ่นคาดว่า
จะขยายตัวร้อยละ 4.5 และ 2.4 ส่วนจีนคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 9.0 และ 7.5 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม
ก็ยังมีคำเตือนว่า ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงในขณะนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องคำนึงถึงในอนาคตด้วย นอกจากนี้
ไอเอ็มเอฟยังได้ปรับเพิ่มประมาณเติบโตทางเศรษฐกิจของยุโรปสำหรับปี 47 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.7 เป็น
ร้อยละ 2.0 และประมาณการสำหรับปี 48 ยังคงอยู่ที่ร้อยละ 2.3 รวมทั้งยังได้แนะนำ ธ.กลางยุโรปว่ายัง
ไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนกว่าความต้องการในประเทศของเขตเศรษฐกิจยุโรปจะแข็งแกร่งเพียง
พอที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศได้ (รอยเตอร์)
2. ผลผลิตวัตถุดิบเหล็กกล้าของโลกในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 9
รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 47 the International Iron and Steel Institute —
IISI เปิดเผยว่า ผลผลิตวัตถุดิบเหล็กกล้าของ IISI ที่มีสมาชิกรวม 62 ประเทศ เพิ่มขึ้นที่ระดับ 85.55
ล้านตัน ในเดือนก.ค. 47 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งผลผลิตดังกล่าวจาก สมาชิกของ
IISI คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 3 ใน 4 ของผลผลิตเหล็กกล้ารวมทั่วโลก และเมื่อรวมผลผลิตตั้งแต่เดือนม.ค.
— ก.ค.ปีนี้ อยู่ที่ระดับ 589.68 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยจีนซึ่งเป็นผู้นำที่ทั้ง
ผลิตและนำเข้าเหล็กกล้าที่มีสัดส่วนการผลิตถึงร้อยละ 25.7 ของผลผลิตโลก มีผลผลิตสูงถึง 21.99 ล้านตัน
ในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนถึงร้อยละ 20.3 สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปี 47 ผลผลิต
เหล็กกล้าของจีนอยู่ที่ระดับ 146.74 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 21.0 เช่นเดียวกับผล
ผลิตของอเมริกาเหนือ แคนาดา สรอ. และเม็กซิโก ในเดือนก.ค. ต่างก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันร้อยละ 8.4 ,
8.2 , 7.4 และร้อยละ 17.1 ตามลำดับ ส่วนผลผลิตเหล็กกล้าของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 25
ประเทศในเดือนเดียวกันเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 อยู่ที่ระดับ 16.05 ล้านตัน ( รอยเตอร์)
3. จำนวนผู้มีงานทำในเยอรมนีในไตรมาสที่ 2 ปี 47 ลดลงจำนวน 112,000 คน เทียบต่อปี
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 19 ส.ค.47 สำนักงานสถิติเยอรมนี เปิดเผยว่า จำนวนผู้มีงานทำในเยอรมนีใน
ไตรมาสที่ 2 ปี 47 ลดลงจำนวน 112,000 คน (ตัวเลขก่อนปรับฤดูกาล) เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันเมื่อ
ปีก่อน โดยเป็นการลดลงอย่างมากในจำนวนผู้มีงานทำของภาคก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร
ป่าไม้ และการประมง แต่จำนวนผู้มีงานทำในภาคบริการ ซึ่งเป็นภาคที่มีการจ้างงานมากที่สุดนั้น มีจำนวนผู้มี
งานทำเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ทั้งนี้ จำนวนผู้มีงานทำของเยอรมนีเมื่อเทียบต่อปีมีระดับลดลงทุกไตรมาสตั้งแต่ไตร
มาสที่ 4 ปี 44 แม้ในไตรมาสล่าสุดจะลดลงในอัตราที่ชะลอตัวลงก็ตาม อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับไตรมาสที่
2 ปี 46 ชั่วโมงทำงานของลูกจ้างเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 1.8 ชั่วโมงต่อคน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งมาจากการลดชั่วโมง
การลาป่วยลง และนับเป็นการเพิ่มขึ้นของชั่วโมงการทำงานต่อคนต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 แล้ว (รอยเตอร์)
4. จีดีพีของเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 47 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากไตรมาสก่อน
รายงานจากโซลเมื่อ 20 ส.ค.47 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ของเกาหลี
ใต้ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบ
กับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปี 47 จีดีพีเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 เมื่อเทียบกับ
ช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อัตราการเติบโตของจีดีพีในช่วงไตรมาสที่สองดังกล่าวเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าช่วง
ไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังคงชะลอตัว แม้ว่าการส่งออกจะแข็งแกร่งขึ้นก็ตาม
โดยการใช้จ่ายของภาคเอกชนในช่วงไตรมาสที่สองของปี 47 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ลดลงร้อยละ 0.1
หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.3 ในช่วงไตรมาสแรก ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 เทียบกับ
ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า สำหรับการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกัน (ตัวเลขหลังปรับฤดู
กาล) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 7.2 จากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า ซึ่ง ธ.กลางเกาหลีใต้คาดการณ์ว่าการส่ง
ออกของเกาหลีใต้น่าจะเติบโตเพียงพอที่จะผลักดันให้จีดีพีในปี 47 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.2 แม้ว่าจะต้องเผชิญ
กับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนก็ตาม นอกจากนี้ได้คาดการณ์การใช้จ่ายในประเทศว่าจะเติบโตร้อยละ
0.5 ในปี 47 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ยังคงมีความไม่แน่นอน เนื่องจากราคาน้ำมัน
ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น และการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องของการใช้จ่ายและการลงทุน(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20 ส.ค. 47 19 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.483 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.2921/41.5860 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1000-1.3125 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 602.54/11.22 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,850/7,950 7,850/7,950 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 41.73 40.2 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.19*/14.59 21.19*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 17 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ธปท. ขอให้ ธ.พาณิชย์ควบคุมความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ธปท. ออกหนังสือเวียนถึง ธ.พาณิชย์
ให้จัดเก็บข้อมูลความเสียหายที่เกิดจากความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ เพื่อให้จัดการความเสี่ยงด้านปฏิบัติการได้
อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้บอร์ดและผู้บริหารระดับสูงเห็นความสำคัญของการควบคุมด้านปฏิบัติการรองรับ
หลักเกณฑ์บาเซิล 2 ที่จะนำมาใช้ในปี 51 โดยกำหนดคำจำกัดความของความเสี่ยงด้านปฏิบัติการว่า เป็น
ความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากการขาดการกำกับดูแลกิจการที่ดี หรือขาดธรรมาภิบาลในองค์
กร โดยการขาดการควบคุมที่ดีอาจเกี่ยวข้องกับกระบวนการปฏิบัติงานภายใน คน ระบบงาน หรือเหตุการณ์
ภายนอก และส่งผลกระทบต่อรายได้และเงินกองทุนของสถาบันการเงิน รวมถึงความเสี่ยงด้านกฎหมายด้วย
สำหรับเหตุการณ์ความเสียหายที่เกิดจากความเสี่ยงด้านปฏิบัติการที่ต้องควบคุมมี 7 ประเภท ได้แก่ 1)
Internal Fraud เช่น การทุจริตของพนักงาน 2) External Fraud เช่น การปลอมเช็ค การ
โจรกรรม 3) Employment practices and workplace safety เช่น การถูกฟ้องร้องจากการ
กระทำผิดกฎหมายแรงงาน หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของสถานที่ทำงาน 4) Client products
and business practices เช่น การที่ลูกค้าใช้ ธ.พาณิชย์เป็นช่องทางการฟอกเงิน 5) Damage to
physical assets เช่น ความเสียหายของทรัพย์สินจากภัยธรรมชาติและการก่อการร้าย 6) Business
disruption and system failures ได้แก่ ความเสียหายจากความล้มเหลวของอุปกรณ์ โปรแกรม
หรือระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และ 7) Execution delivery and process management ได้แก่
ความผิดพลาดของพนักงาน เอกสารสำคัญสูญหาย และความเสียหายที่เกิดจากผู้ให้บริการภายนอกของ ธ.
พาณิชย์ ทั้งนี้ ต่อไปแนวทางการพิจารณาความเสี่ยงจะไม่ใช้เฉพาะดุลพินิจ แต่จะมีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนและ
สอดคล้องกับการปรับปรุงดูแลคุณภาพสินเชื่อตามการประเมินกระแสเงินสดที่ ธปท. นำมาใช้อยู่ในขณะนี้ ทำให้
การดูแลคุณภาพชัดเจนขึ้นมากกว่าที่ดูจากการขาดส่งดอกเบี้ย 3 เดือน 6 เดือน หรือไม่ชำระเงินต้น เพราะ
การดูกระแสเงินสดเป็นการพิจารณาเนื้อที่ของโครงการ ดูเรื่องเงินรายได้ที่จะเข้ามาในอนาคต ต้นทุนใน
อนาคตที่จะเพิ่มขึ้นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวใช้ปฏิบัติกับทุกธนาคารเหมือนกัน (โพสต์ทูเดย์, โลก
วันนี้, ไทยรัฐ)
2. ราคาน้ำมันส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าในปีนี้ลดลงจากปีก่อน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่า
การ ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ได้ประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง พบว่า
จะส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลลดลง 1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยขณะนี้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ซึ่งหากรัฐบาลใช้มาตรการประหยัดพลังงานได้ร้อยละ 10 ก็จะทำให้ลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันได้ถึงร้อยละ 20
ในปีหน้าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะไม่ขาดดุล ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้คาดว่าจะเกินดุล 4-5 พัน
ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจาก 8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 46 สำหรับมาตรการประหยัดพลังงานของ
รัฐบาลที่เตรียมลอยตัวระดับราคาน้ำมันเบนซิน แต่ยังตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้นั้นถือเป็นมาตรการที่พบกันคนละ
ครึ่งทาง ซึ่งการที่รัฐบาลตรึงราคาน้ำมันดีเซลจะช่วยลดแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นพอสมควร โดยขณะนี้
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ณ เดือน ก.ค.47 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.1 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับร้อยละ
0.7 (เดลินิวส์, โพสต์ทูเดย์, บ้านเมือง)
3. ก.คลังถือหุ้นเครดิตบูโรใหม่ร้อยละ 19 นายสมใจนึก เอ็งตระกูล ปลัด ก.คลัง เป็น
ประธานการลงนามบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัทข้อมูลเครดิตไทย จำกัด
(TCB) และบริษัทข้อมูลเครดิตกลาง จำกัด (CCIS) เพื่อให้ระบบข้อมูลเครดิตของประเทศมีความเป็น
เอกภาพและสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็ว และมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจยิ่งขึ้น
อีกทั้งช่วยลดต้นทุนค่าบริการให้ต่ำลง และจะเป็นกลไกหนึ่งในการช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพและความสามารถ
ในการแข่งขันของระบบการเงินในระยะยาว ซึ่งได้มอบหมายให้ สนง.เศรษฐกิจการคลังจัดตั้งคณะทำงาน
เพื่อจัดหาบริษัทกลางเข้าไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เพื่อนำไปสู่การควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัท
และเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ซึ่งคาดว่าขั้นตอนในการตรวจสอบคุณภาพทรัพย์สินจะใช้เวลาประมาณ 2-3
สัปดาห์ และการควบรวมทั้งสองบริษัทจะแล้วเสร็จภายใน 3-4 เดือน สำหรับสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทใหม่นั้น
ก.คลังจะถือหุ้นร้อยละ 19 ธอส.ร้อยละ 30 บ.ทิพยประกันภัย ร้อยละ 2 และบริษัทข้อมูลเครดิตกลาง ร้อย
ละ 49 โดยบริษัทใหม่จะมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 253 ล้านบาท (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
4. ก.คลังจะดึงวงเงินจากเอเชียบอนด์ออกพันธบัตรออมทรัพย์รอบใหม่ 2 หมื่นล้านบาท นายสมคิด
จาตุศรีพิทักษ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงเรื่องการออกพันธบัตรออมทรัพย์
แล้ว โดยยืนยันว่าจะมีการออกพันธบัตรออมทรัพย์รอบใหม่ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งการออกพันธบัตรดังกล่าวจะต้อง
รอผลการสำรวจความต้องการซื้อพันธบัตรของประชาชนจาก ธปท. ก่อน ทั้งนี้ วงเงินที่จะออกพันธบัตรรอบ
ใหม่ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจนว่าจะนำพันธบัตร 2 หมื่นล้านบาท มาจากส่วนใด แต่ในเบื้องต้นอาจจะนำมาจากสัด
ส่วนการออกพันธบัตรเอเชีย (เอเชียบอนด์) ที่มีอยู่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยจะดึงมาเพียง 2 หมื่นล้าน
บาท ส่วนที่เหลืออีก 1 หมื่นล้านบาท จะออกเป็นเอเชียบอนด์เพื่อเป็นการทดสอบตลาด โดยจะออกภายในสิ้นปี
อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม การออกพันธบัตรรอบใหม่นั้นจะสามารถออกได้ภายใน 1-2 เดือนนี้ และเชื่อว่า
จะสามารถกระจายพันธบัตรให้กับประชาชนรายย่อยได้อย่างทั่วถึงมากกว่ารอบที่ผ่านมา (โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ไอเอ็มเอฟอาจปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกสำหรับปี 47 เป็นร้อยละ 4.9
รายงานจากเบอร์ลิน German newspaper Sceddeutsche Zeitung รายงานว่า ในรายงานแนวโน้ม
เศรษฐกิจโลกงวดเดือน ต.ค.ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ จะมีการปรับเพิ่มประมาณ
การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกประจำปี 47 เป็นร้อยละ 4.9 จากที่เคยประมาณการไว้ในรายงานเมื่อเดือน
เม.ย.ว่าจะเติบโตร้อยละ 4.6 ในขณะที่จะยังคงยืนยันการพยากรณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 48 ไว้
ที่ระดับเดิม คือ ร้อยละ 4.4 ทั้งนี้ หัวหน้าไอเอ็มเอฟ (Rodrigo Rato) ยังได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่า
เศรษฐกิจโลกในปีนี้อาจจะสูงกว่าที่ประมาณการไว้เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา แม้ว่าระดับราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้น
อย่างรวดเร็วก็ตาม เขากล่าวว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังคงแข็งแกร่งจนถึงสิ้นปีหน้า โดยคาดว่าเศรษฐกิจใน
หลาย ๆ ภูมิภาคของโลกจะมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะประเทศ สรอ. จีน และญี่ปุ่น โดย
สรอ.ประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 47 และ 48 ว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.4 และ 3.8 ญี่ปุ่นคาดว่า
จะขยายตัวร้อยละ 4.5 และ 2.4 ส่วนจีนคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 9.0 และ 7.5 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม
ก็ยังมีคำเตือนว่า ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงในขณะนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องคำนึงถึงในอนาคตด้วย นอกจากนี้
ไอเอ็มเอฟยังได้ปรับเพิ่มประมาณเติบโตทางเศรษฐกิจของยุโรปสำหรับปี 47 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.7 เป็น
ร้อยละ 2.0 และประมาณการสำหรับปี 48 ยังคงอยู่ที่ร้อยละ 2.3 รวมทั้งยังได้แนะนำ ธ.กลางยุโรปว่ายัง
ไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนกว่าความต้องการในประเทศของเขตเศรษฐกิจยุโรปจะแข็งแกร่งเพียง
พอที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศได้ (รอยเตอร์)
2. ผลผลิตวัตถุดิบเหล็กกล้าของโลกในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 9
รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 47 the International Iron and Steel Institute —
IISI เปิดเผยว่า ผลผลิตวัตถุดิบเหล็กกล้าของ IISI ที่มีสมาชิกรวม 62 ประเทศ เพิ่มขึ้นที่ระดับ 85.55
ล้านตัน ในเดือนก.ค. 47 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งผลผลิตดังกล่าวจาก สมาชิกของ
IISI คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 3 ใน 4 ของผลผลิตเหล็กกล้ารวมทั่วโลก และเมื่อรวมผลผลิตตั้งแต่เดือนม.ค.
— ก.ค.ปีนี้ อยู่ที่ระดับ 589.68 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยจีนซึ่งเป็นผู้นำที่ทั้ง
ผลิตและนำเข้าเหล็กกล้าที่มีสัดส่วนการผลิตถึงร้อยละ 25.7 ของผลผลิตโลก มีผลผลิตสูงถึง 21.99 ล้านตัน
ในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนถึงร้อยละ 20.3 สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปี 47 ผลผลิต
เหล็กกล้าของจีนอยู่ที่ระดับ 146.74 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 21.0 เช่นเดียวกับผล
ผลิตของอเมริกาเหนือ แคนาดา สรอ. และเม็กซิโก ในเดือนก.ค. ต่างก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันร้อยละ 8.4 ,
8.2 , 7.4 และร้อยละ 17.1 ตามลำดับ ส่วนผลผลิตเหล็กกล้าของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 25
ประเทศในเดือนเดียวกันเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 อยู่ที่ระดับ 16.05 ล้านตัน ( รอยเตอร์)
3. จำนวนผู้มีงานทำในเยอรมนีในไตรมาสที่ 2 ปี 47 ลดลงจำนวน 112,000 คน เทียบต่อปี
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 19 ส.ค.47 สำนักงานสถิติเยอรมนี เปิดเผยว่า จำนวนผู้มีงานทำในเยอรมนีใน
ไตรมาสที่ 2 ปี 47 ลดลงจำนวน 112,000 คน (ตัวเลขก่อนปรับฤดูกาล) เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันเมื่อ
ปีก่อน โดยเป็นการลดลงอย่างมากในจำนวนผู้มีงานทำของภาคก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร
ป่าไม้ และการประมง แต่จำนวนผู้มีงานทำในภาคบริการ ซึ่งเป็นภาคที่มีการจ้างงานมากที่สุดนั้น มีจำนวนผู้มี
งานทำเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ทั้งนี้ จำนวนผู้มีงานทำของเยอรมนีเมื่อเทียบต่อปีมีระดับลดลงทุกไตรมาสตั้งแต่ไตร
มาสที่ 4 ปี 44 แม้ในไตรมาสล่าสุดจะลดลงในอัตราที่ชะลอตัวลงก็ตาม อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับไตรมาสที่
2 ปี 46 ชั่วโมงทำงานของลูกจ้างเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 1.8 ชั่วโมงต่อคน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งมาจากการลดชั่วโมง
การลาป่วยลง และนับเป็นการเพิ่มขึ้นของชั่วโมงการทำงานต่อคนต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 แล้ว (รอยเตอร์)
4. จีดีพีของเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 47 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากไตรมาสก่อน
รายงานจากโซลเมื่อ 20 ส.ค.47 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ของเกาหลี
ใต้ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบ
กับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปี 47 จีดีพีเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 เมื่อเทียบกับ
ช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อัตราการเติบโตของจีดีพีในช่วงไตรมาสที่สองดังกล่าวเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าช่วง
ไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังคงชะลอตัว แม้ว่าการส่งออกจะแข็งแกร่งขึ้นก็ตาม
โดยการใช้จ่ายของภาคเอกชนในช่วงไตรมาสที่สองของปี 47 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ลดลงร้อยละ 0.1
หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.3 ในช่วงไตรมาสแรก ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 เทียบกับ
ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า สำหรับการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกัน (ตัวเลขหลังปรับฤดู
กาล) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 7.2 จากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า ซึ่ง ธ.กลางเกาหลีใต้คาดการณ์ว่าการส่ง
ออกของเกาหลีใต้น่าจะเติบโตเพียงพอที่จะผลักดันให้จีดีพีในปี 47 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.2 แม้ว่าจะต้องเผชิญ
กับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนก็ตาม นอกจากนี้ได้คาดการณ์การใช้จ่ายในประเทศว่าจะเติบโตร้อยละ
0.5 ในปี 47 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ยังคงมีความไม่แน่นอน เนื่องจากราคาน้ำมัน
ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น และการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องของการใช้จ่ายและการลงทุน(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20 ส.ค. 47 19 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.483 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.2921/41.5860 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1000-1.3125 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 602.54/11.22 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,850/7,950 7,850/7,950 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 41.73 40.2 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.19*/14.59 21.19*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 17 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-