ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.เชื่อว่าสถานการณ์เอ็นพีแอลในไตรมาส 3 ปี 47 จะปรับตัวดีขึ้น ผอ.สายปรับปรุง
โครงสร้างหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(เอ็นพีแอล) ที่ ธปท.เพิ่มเติมการพิจารณากระแสเงินสดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้การปล่อยสินเชื่อของ ธพ.
เริ่มเปลี่ยนไป โดยมีความระมัดระวังมากขึ้น ขณะเดียวกัน โอกาสที่เอ็นพีแอลใหม่จะเกิดขึ้นก็น้อยลงจากช่วงที่
ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งแนวโน้มอัตรา
ดอกเบี้ยที่กลับมาเป็นขาขึ้น อาจกระทบต่อแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ แต่โดยรวมแล้วเชื่อว่า
กระทบน้อยมาก ในส่วนของการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะ
ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะ ธพ.เร่งปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้น คาดว่าตัวเลขหนี้เอ็นพีแอล ณ สิ้นไตรมาส
3 เดือน ก.ย. จะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2 มาก สำหรับเอ็นพีแอลในไตรมาส 2 ที่สูงขึ้นมากนั้นเป็นปัญหา
เฉพาะของ ธ.กรุงไทยที่ต้องตั้งสำรองตามคำสั่งของ ธปท. (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. สนพ.ประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซินอีกลิตรละ 60 สตางค์มีผลตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.47
รายงานข่าวจาก ก.พลังงาน แจ้งว่า สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ประกาศปรับขึ้นราคา
น้ำมันเบนซินอีกลิตรละ 60 สตางค์ มีผลตั้งแต่เวลา 6.00 น. วันที่ 24 ส.ค.47 นี้ ส่งผลให้ราคาขายปลีก
น้ำมันในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นดังนี้ เบนซิน 95 จาก 21.19 บาทต่อลิตรเป็น 21.79 บาทต่อลิตร
เบนซิน 91 จาก 20.39 บาทต่อลิตรเป็น 20.99 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลยังอยู่ระดับเดิม 14.59 บาทต่อลิตร
นับเป็นการปรับราคาน้ำมันครั้งที่ 8 ตั้งแต่มีการตรึงราคาน้ำมัน โดยการปรับราคาครั้งนี้จะลดภาระให้กับกอง
ทุนน้ำมันเชื้อเพลิงวันละ 12 ล.บาท สำหรับสถานการณ์การตรึงราคาน้ำมันของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ล่าสุด
(23 ส.ค.47) มีภาระชดเชยอยู่ที่ 26,741.76 ล.บาท เป็นการชดเชยเบนซิน 95 รวมเป็นเงิน 2,900.04
ล.บาทชดเชยลิตรละ 1.16 บาท เบนซิน 91 รวมเป็นเงิน 4,567.51 ล.บาทชดเชยลิตรละ 1.25 บาท
ส่วนดีเซลมีการชดเชยอยู่ที่ลิตรละ 5.43 บาท รวมเป็นเงิน 19,274.21 ล.บาท (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้,
ผู้จัดการรายวัน)
3. ก.คลังออก พธบ.ออมทรัพย์ครั้งที่ 2 เพิ่มอีกจำนวน 20,000 ล.บาท ผอ.สำนักงานบริหาร
หนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผย ก.คลังจะดำเนินการออก พธบ.ออมทรัพย์ ในปี งปม.47 ครั้งที่ 2 อีกจำนวน
20,000 ล.บาท โดยเป็น พธบ.อายุ 7 ปีและ 10 ปี คิดอัตราดอกเบี้ย 5.1% ต่อปี และ 5.9% ต่อปี ตาม
ลำดับ เท่ากับ พธบ.ออมทรัพย์รอบแรกที่จำหน่ายไปแล้ว 70,000 ล.บาท ทั้งนี้ ในการจำหน่าย พธบ.ชุดดัง
กล่าวจะมีการจำกัดวงเงินการซื้อไว้ไม่เกิน 500,000 บาท และจะต้องไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท โดยให้ ธ.
ออมสินเป็นผู้จัดจำหน่ายทั้งหมด เพื่อให้ พธบ.กระจายไปยังผู้ซื้อรายย่อยให้มากที่สุด โดย ธ.ออมสินจะได้รับ
ค่าธรรมเนียมจากการจำหน่าย 0.15% ของวงเงินการจำหน่าย พธบ.ทั้งหมด หรือประมาณ 30 ล.บาท
สำหรับการซื้อ พธบ.ในครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้กับผู้ซื้อรายย่อยได้ทำการเข้าซื้อก่อน รูปแบบจะเป็นแบบขั้นบันได
คือ ให้ผู้ที่จองจำนวน 20,000 บาทก่อน และไล่ราคาขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ หากพบว่าบุคคลรายเดียวจองซื้อ
มากกว่า 1 ครั้ง จะตัดสิทธิ์การจองซื้อครั้งใดครั้งหนึ่งไปโดยปริยาย และยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่เคยซื้อ พธบ.ใน
รอบแรกไปแล้วสามารถเข้ามาจองซื้อได้อีก ส่วนการจอง พธบ.จะเปิดให้รับใบจองซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 26
ส.ค.47 เป็นต้นไป และจะต้องชำระเงินในวันที่ 30 ส.ค. — 3 ก.ย.47 ซึ่งสามารถชำระเงินผ่านเช็คส่วน
ตัว แคชเชียร์เช็ค หรือเงินสดได้ ส่วน พธบ.จะเริ่มทำการหมุนเวียนในตลาดได้ในวันที่ 9 ก.ย.47 และจะ
เริ่มคิดอัตราดอกเบี้ยในวันเดียวกัน (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
4. กรมสรรพสามิตเสนอแนวทางด้านมาตรการภาษีเพื่อประหยัดพลังงาน อธิบดีกรมสรรพสามิต
เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้กำหนดแนวทางด้านมาตรการภาษีน้ำมันเพื่อประหยัดพลังงาน ตามที่ รมว.คลัง
มอบหมาย โดยเป็นแนวทางในการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากผู้ใช้น้ำมัน 2 แนวทางคือ ผ่านระบบ งปม.ด้าน
รายได้ (Revenue Approach) หรือผ่านกองทุนซึ่งสามารถใช้จ่ายตรงโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการจัดสรร
(Expenditure Approach) ซึ่งจะสามารถนำเงินของกองทุนมาใช้ช่วยควบคุมเสถียรภาพและบริหารราคา
น้ำมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่าการปล่อยลอยตัวที่อาจมีผล
กระทบต่อราคาสินค้าและภาวะเงินเฟ้อ อีกแนวทางหนึ่งคือการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้น้ำมันเพิ่มเติมให้กับ
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนอนุรักษ์พลังงาน โดยเพิ่มวัตถุประสงค์ เช่น ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
เป็นต้น ซึ่งวิธีนี้จะสามารถทำได้เลย สำหรับวิธีการจัดเก็บนั้น เบื้องต้นอาจจะให้ผู้ใช้น้ำมันทุกคนใช้ E-card
คล้ายบัตรโทรศัพท์ เพื่อทราบข้อมูลการใช้น้ำมันของแต่ละบุคคล ซึ่งทั้งหมดเป็นแนวคิดที่ต้องหารือกับหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องอีกครั้งเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน (โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อาเซียนจะเริ่มใช้ข้อตกลงเขตเสรีทางการค้าในปี 50 เร็วขึ้นจากเดิม 3 ปี รายงาน
จากกรุงเทพฯ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 ส.ค.47 อภิรดี ตันตราภรณ์ ผู้อำนวยการทั่วไป กรมการเจรจา
ต่อรองทางการค้า ของไทย เปิดเผยว่า ประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนได้ตกลงที่จะนำข้อตกลงการเปิดเขตเสรี
ทางการค้ามาใช้ภายในปี 50 จากเดิมที่กำหนดไว้ในปี 53 โดยในข้อตกลงฉบับใหม่นี้จะมีประเทศสมาชิกกลุ่ม
อาเซียนที่เริ่มใช้เขตเสรีทางการค้าในปี 50 จำนวน 6 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย
บรูไน และฟิลิปปินส์ ซึ่งข้อตกลงนี้จะนำไปสู่เป้าหมายหลักในปี 63 ในการรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นยิ่งขึ้นในรูปแบบ
ประชาคมเศรษฐกิจร่วมอาเซียน (ASEAN Economic Community — AEC) เพื่อให้มีความสามารถในการ
แข่งขันกับจีนและประเทศอื่นสำหรับการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับการดำเนินการ
ของสหภาพยุโรปที่รวมตัวกันเป็นตลาดเดียวเพื่อเพิ่มอำนาจการแข่งขันทางธุรกิจให้สูงขึ้น โดยจะมีการลงนาม
ข้อตกลงดังกล่าวในการประชุมระดับภูมิภาคที่ประเทศลาวในเดือน พ.ย.นี้ ซึ่งประเทศสมาชิกทั้ง 6 ประเทศ
ดังกล่าวทถือเป็นสมาชิกเก่าแก่สุดที่ร่วมก่อตั้งอาเซียนจนมีสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศในปัจจุบัน จะยกเลิก
ภาษีนำเข้าสินค้าหลายพันรายการ อาทิเช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ เสื้อผ้า สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ ประมง ไม้
ผลิตภัณฑ์การเกษตรและยางพารา เป็นต้น ส่วนประเทศสมาชิกใหม่และยากจน ได้แก่ พม่า ลาว เวียดนาม
และกัมพูชา จะเริ่มตัดลดภาษีนำเข้าลงจนเป็นศูนย์ในปี 55 จากเดิมที่กำหนดไว้ในปี 58 อย่างไรก็ตาม
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีรายงานการศึกษาที่จัดทำโดยบริษัท McKinsey ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ
กล่าวโจมตีกลุ่มอาเซียนว่า ประสบความล้มเหลวที่จะแสดงความตั้งใจจริงในการยกเลิกอุปสรรคการตั้งกำแพง
ภาษีการค้า เช่น กฎระเบียบของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสร้างระบบตลาดเดียวที่แท้จริง
(รอยเตอร์)
2. ธ.กลางจีนเห็นว่ายังมีความจำเป็นต้องควบคุมการปล่อยสินเชื่อของธพ.ต่อไปอีก รายงานจาก
เชียงไฮ เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 47 ผวก. ธ.กลางจีนกล่าวว่ายังจำเป็นต้องควบคุมสินเชื่อของธพ.เพื่อไม่ให้
สูงเกินไป และป้องกันภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้รัฐบาลจีนได้ใช้มาตรการดังกล่าวมาตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว รวมทั้ง
ให้ธพ.เพิ่มทุนสำรอง และชะลอการอนุมัติสินเชื่อที่มากเกินไปในบางภาคเศรษฐกิจเพื่อลดความร้อนแรงทาง
เศรษฐกิจของจีน ทั้งนี้ธ.กลางจีนเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างมากในทางปฎิบัติที่ธพ.ต้องควบคุมให้มีการปล่อยสิน
เชื่ออย่างเหมาะสมและต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสินเชื่อระยะกลางและระยะยาว เช่น
เดียวกับที่ธ.กลางได้ดำเนินนโยบายการเงินอย่างเข้มงวดในการควบคุมสินเชื่อดังกล่าว แต่ได้หลีกเลี่ยงการ
ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ทำให้นักวิเคราะห์เห็นว่าอาจจะสร้างปัญหาและ เพิ่มแรงกดดันให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น
ซึ่งก่อนหน้านั้นตลาดวิตกว่านโยบายลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจดังกล่าวของจีนจะส่งผลให้การขยายตัวทาง
เศรษฐกิจลดลงอย่างมาก รวมทั้งการสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อก็เป็นประเด็นหนึ่งที่สร้างความกังวลที่ทางการจีน
ได้อภิปรายว่าจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีหรือไม่ และแม้ว่าทางการจีนจะดำเนิน
นโยบายทางเศรษฐกิจอย่างเข้มงวดเศรษฐกิจจีนก็ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งแรกปี 47
เศรษฐกิจจีนขยายตัวที่ระดับร้อยละ 9.69 จากระยะเดียวกันปีก่อน (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ( รอย
เตอร์)3. ยอดนำเข้าน้ำมันดิบของเกาหลีใต้ในเดือน ก.ค.47 ลดลงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปีก่อน รายงาน
จากโซล เมื่อ 23 ส.ค.47 ยอดนำเข้าน้ำมันดิบของเกาหลีใต้ซึ่งเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันรายใหญ่อันดับที่ 4
ของโลกในเดือน ก.ค.47 มีจำนวน 62.6 ล้านบาร์เรลลดลงร้อยละ 18 จาก 76.5 ล้านบาร์เรลในเดือน
ก.ค.46 อันเป็นผลจากการประท้วงหยุดงานของพนักงานโรงกลั่นน้ำมันบริษัท LG-Caltex ซึ่งเป็นโรงกลั่น
น้ำมันใหญ่อันดับที่ 2 ของประเทศเป็นเวลา 20 วันนับตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.47 เพื่อเรียกร้องค่าแรงเพิ่มและ
ส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันของประเทศลดลงไป 650,000 บาร์เรลต่อวัน โดยบริษัท LG-Caltex ซึ่ง
ครองส่วนแบ่งตลาดน้ำมัน 1 ใน 4 ของประเทศนำเข้าน้ำมันดิบ 14.4 ล้านบาร์เรลในเดือน ก.ค.47 ลดลง
ร้อยละ 27 จากปีก่อน นอกจากนี้สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันในเดือน ก.ค.47
ลดลงร้อยละ 1.2 จากปีก่อนและลดลงร้อยละ 4.1 จากเดือน มิ.ย.46 นักวิเคราะห์คาดว่าความต้องการ
ใช้น้ำมันในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.03 จากปีก่อน ลดลงจากที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4
จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในขณะนี้ (รอยเตอร์)
4.รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องการให้ราคาบ้านมีเสถียรภาพ รายงานจากโซล เมื่อ 23 ส.ค.47 ปธน.
เกาหลีใต้แถลงต่อที่ประชุมครม. เมื่อวันจันทร์ที่ 23 ส.ค.47 ว่าการทำให้ราคาบ้านในเกาหลีใต้มีเสถียรภาพ
เป็นนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญอันดับแรกของรัฐบาล คำแถลงของปธน.เกิดขึ้นท่ามกลางข่าวลือว่า
รัฐบาลจะผ่อนคลายการควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศหลังจากรัฐบาลยกเว้นให้
บางพื้นที่ของประเทศไม่ต้องเสียภาษีในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์โดยอ้างว่าราคาบ้านในพื้นที่ดังกล่าวลดลง
โดยราคาบ้านในบางพื้นที่ของเกาหลีใต้ลดลงตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วจากการเพิ่มภาษีและมาตรการควบคุมการ
ซื้อขายของรัฐบาลหลังจากมีสัญญาณว่าตลาดขยายตัวร้อนแรงเกินไป การใช้จ่ายในภาคการก่อสร้างซึ่งมีสัดส่วน
ประมาณร้อยละ 19 ของ GDP ของประเทศลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันจากการใช้จ่ายใน
ประเทศที่ชะลอตัวติดต่อกันเป็นเวลานานและราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในขณะนี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 24 ส.ค. 47 23 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.441 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.2399/41.5276 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1000-1.3750 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 599.55/6.24 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,900/8,000 7,900/8,000 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 40.79 39.65 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.79*/14.59 21.19/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 24 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ธปท.เชื่อว่าสถานการณ์เอ็นพีแอลในไตรมาส 3 ปี 47 จะปรับตัวดีขึ้น ผอ.สายปรับปรุง
โครงสร้างหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(เอ็นพีแอล) ที่ ธปท.เพิ่มเติมการพิจารณากระแสเงินสดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้การปล่อยสินเชื่อของ ธพ.
เริ่มเปลี่ยนไป โดยมีความระมัดระวังมากขึ้น ขณะเดียวกัน โอกาสที่เอ็นพีแอลใหม่จะเกิดขึ้นก็น้อยลงจากช่วงที่
ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งแนวโน้มอัตรา
ดอกเบี้ยที่กลับมาเป็นขาขึ้น อาจกระทบต่อแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ แต่โดยรวมแล้วเชื่อว่า
กระทบน้อยมาก ในส่วนของการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะ
ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะ ธพ.เร่งปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้น คาดว่าตัวเลขหนี้เอ็นพีแอล ณ สิ้นไตรมาส
3 เดือน ก.ย. จะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2 มาก สำหรับเอ็นพีแอลในไตรมาส 2 ที่สูงขึ้นมากนั้นเป็นปัญหา
เฉพาะของ ธ.กรุงไทยที่ต้องตั้งสำรองตามคำสั่งของ ธปท. (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. สนพ.ประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซินอีกลิตรละ 60 สตางค์มีผลตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.47
รายงานข่าวจาก ก.พลังงาน แจ้งว่า สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ประกาศปรับขึ้นราคา
น้ำมันเบนซินอีกลิตรละ 60 สตางค์ มีผลตั้งแต่เวลา 6.00 น. วันที่ 24 ส.ค.47 นี้ ส่งผลให้ราคาขายปลีก
น้ำมันในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นดังนี้ เบนซิน 95 จาก 21.19 บาทต่อลิตรเป็น 21.79 บาทต่อลิตร
เบนซิน 91 จาก 20.39 บาทต่อลิตรเป็น 20.99 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลยังอยู่ระดับเดิม 14.59 บาทต่อลิตร
นับเป็นการปรับราคาน้ำมันครั้งที่ 8 ตั้งแต่มีการตรึงราคาน้ำมัน โดยการปรับราคาครั้งนี้จะลดภาระให้กับกอง
ทุนน้ำมันเชื้อเพลิงวันละ 12 ล.บาท สำหรับสถานการณ์การตรึงราคาน้ำมันของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ล่าสุด
(23 ส.ค.47) มีภาระชดเชยอยู่ที่ 26,741.76 ล.บาท เป็นการชดเชยเบนซิน 95 รวมเป็นเงิน 2,900.04
ล.บาทชดเชยลิตรละ 1.16 บาท เบนซิน 91 รวมเป็นเงิน 4,567.51 ล.บาทชดเชยลิตรละ 1.25 บาท
ส่วนดีเซลมีการชดเชยอยู่ที่ลิตรละ 5.43 บาท รวมเป็นเงิน 19,274.21 ล.บาท (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้,
ผู้จัดการรายวัน)
3. ก.คลังออก พธบ.ออมทรัพย์ครั้งที่ 2 เพิ่มอีกจำนวน 20,000 ล.บาท ผอ.สำนักงานบริหาร
หนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผย ก.คลังจะดำเนินการออก พธบ.ออมทรัพย์ ในปี งปม.47 ครั้งที่ 2 อีกจำนวน
20,000 ล.บาท โดยเป็น พธบ.อายุ 7 ปีและ 10 ปี คิดอัตราดอกเบี้ย 5.1% ต่อปี และ 5.9% ต่อปี ตาม
ลำดับ เท่ากับ พธบ.ออมทรัพย์รอบแรกที่จำหน่ายไปแล้ว 70,000 ล.บาท ทั้งนี้ ในการจำหน่าย พธบ.ชุดดัง
กล่าวจะมีการจำกัดวงเงินการซื้อไว้ไม่เกิน 500,000 บาท และจะต้องไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท โดยให้ ธ.
ออมสินเป็นผู้จัดจำหน่ายทั้งหมด เพื่อให้ พธบ.กระจายไปยังผู้ซื้อรายย่อยให้มากที่สุด โดย ธ.ออมสินจะได้รับ
ค่าธรรมเนียมจากการจำหน่าย 0.15% ของวงเงินการจำหน่าย พธบ.ทั้งหมด หรือประมาณ 30 ล.บาท
สำหรับการซื้อ พธบ.ในครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้กับผู้ซื้อรายย่อยได้ทำการเข้าซื้อก่อน รูปแบบจะเป็นแบบขั้นบันได
คือ ให้ผู้ที่จองจำนวน 20,000 บาทก่อน และไล่ราคาขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ หากพบว่าบุคคลรายเดียวจองซื้อ
มากกว่า 1 ครั้ง จะตัดสิทธิ์การจองซื้อครั้งใดครั้งหนึ่งไปโดยปริยาย และยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่เคยซื้อ พธบ.ใน
รอบแรกไปแล้วสามารถเข้ามาจองซื้อได้อีก ส่วนการจอง พธบ.จะเปิดให้รับใบจองซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 26
ส.ค.47 เป็นต้นไป และจะต้องชำระเงินในวันที่ 30 ส.ค. — 3 ก.ย.47 ซึ่งสามารถชำระเงินผ่านเช็คส่วน
ตัว แคชเชียร์เช็ค หรือเงินสดได้ ส่วน พธบ.จะเริ่มทำการหมุนเวียนในตลาดได้ในวันที่ 9 ก.ย.47 และจะ
เริ่มคิดอัตราดอกเบี้ยในวันเดียวกัน (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
4. กรมสรรพสามิตเสนอแนวทางด้านมาตรการภาษีเพื่อประหยัดพลังงาน อธิบดีกรมสรรพสามิต
เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้กำหนดแนวทางด้านมาตรการภาษีน้ำมันเพื่อประหยัดพลังงาน ตามที่ รมว.คลัง
มอบหมาย โดยเป็นแนวทางในการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากผู้ใช้น้ำมัน 2 แนวทางคือ ผ่านระบบ งปม.ด้าน
รายได้ (Revenue Approach) หรือผ่านกองทุนซึ่งสามารถใช้จ่ายตรงโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการจัดสรร
(Expenditure Approach) ซึ่งจะสามารถนำเงินของกองทุนมาใช้ช่วยควบคุมเสถียรภาพและบริหารราคา
น้ำมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่าการปล่อยลอยตัวที่อาจมีผล
กระทบต่อราคาสินค้าและภาวะเงินเฟ้อ อีกแนวทางหนึ่งคือการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้น้ำมันเพิ่มเติมให้กับ
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนอนุรักษ์พลังงาน โดยเพิ่มวัตถุประสงค์ เช่น ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
เป็นต้น ซึ่งวิธีนี้จะสามารถทำได้เลย สำหรับวิธีการจัดเก็บนั้น เบื้องต้นอาจจะให้ผู้ใช้น้ำมันทุกคนใช้ E-card
คล้ายบัตรโทรศัพท์ เพื่อทราบข้อมูลการใช้น้ำมันของแต่ละบุคคล ซึ่งทั้งหมดเป็นแนวคิดที่ต้องหารือกับหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องอีกครั้งเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน (โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อาเซียนจะเริ่มใช้ข้อตกลงเขตเสรีทางการค้าในปี 50 เร็วขึ้นจากเดิม 3 ปี รายงาน
จากกรุงเทพฯ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 ส.ค.47 อภิรดี ตันตราภรณ์ ผู้อำนวยการทั่วไป กรมการเจรจา
ต่อรองทางการค้า ของไทย เปิดเผยว่า ประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนได้ตกลงที่จะนำข้อตกลงการเปิดเขตเสรี
ทางการค้ามาใช้ภายในปี 50 จากเดิมที่กำหนดไว้ในปี 53 โดยในข้อตกลงฉบับใหม่นี้จะมีประเทศสมาชิกกลุ่ม
อาเซียนที่เริ่มใช้เขตเสรีทางการค้าในปี 50 จำนวน 6 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย
บรูไน และฟิลิปปินส์ ซึ่งข้อตกลงนี้จะนำไปสู่เป้าหมายหลักในปี 63 ในการรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นยิ่งขึ้นในรูปแบบ
ประชาคมเศรษฐกิจร่วมอาเซียน (ASEAN Economic Community — AEC) เพื่อให้มีความสามารถในการ
แข่งขันกับจีนและประเทศอื่นสำหรับการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับการดำเนินการ
ของสหภาพยุโรปที่รวมตัวกันเป็นตลาดเดียวเพื่อเพิ่มอำนาจการแข่งขันทางธุรกิจให้สูงขึ้น โดยจะมีการลงนาม
ข้อตกลงดังกล่าวในการประชุมระดับภูมิภาคที่ประเทศลาวในเดือน พ.ย.นี้ ซึ่งประเทศสมาชิกทั้ง 6 ประเทศ
ดังกล่าวทถือเป็นสมาชิกเก่าแก่สุดที่ร่วมก่อตั้งอาเซียนจนมีสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศในปัจจุบัน จะยกเลิก
ภาษีนำเข้าสินค้าหลายพันรายการ อาทิเช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ เสื้อผ้า สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ ประมง ไม้
ผลิตภัณฑ์การเกษตรและยางพารา เป็นต้น ส่วนประเทศสมาชิกใหม่และยากจน ได้แก่ พม่า ลาว เวียดนาม
และกัมพูชา จะเริ่มตัดลดภาษีนำเข้าลงจนเป็นศูนย์ในปี 55 จากเดิมที่กำหนดไว้ในปี 58 อย่างไรก็ตาม
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีรายงานการศึกษาที่จัดทำโดยบริษัท McKinsey ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ
กล่าวโจมตีกลุ่มอาเซียนว่า ประสบความล้มเหลวที่จะแสดงความตั้งใจจริงในการยกเลิกอุปสรรคการตั้งกำแพง
ภาษีการค้า เช่น กฎระเบียบของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสร้างระบบตลาดเดียวที่แท้จริง
(รอยเตอร์)
2. ธ.กลางจีนเห็นว่ายังมีความจำเป็นต้องควบคุมการปล่อยสินเชื่อของธพ.ต่อไปอีก รายงานจาก
เชียงไฮ เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 47 ผวก. ธ.กลางจีนกล่าวว่ายังจำเป็นต้องควบคุมสินเชื่อของธพ.เพื่อไม่ให้
สูงเกินไป และป้องกันภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้รัฐบาลจีนได้ใช้มาตรการดังกล่าวมาตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว รวมทั้ง
ให้ธพ.เพิ่มทุนสำรอง และชะลอการอนุมัติสินเชื่อที่มากเกินไปในบางภาคเศรษฐกิจเพื่อลดความร้อนแรงทาง
เศรษฐกิจของจีน ทั้งนี้ธ.กลางจีนเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างมากในทางปฎิบัติที่ธพ.ต้องควบคุมให้มีการปล่อยสิน
เชื่ออย่างเหมาะสมและต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสินเชื่อระยะกลางและระยะยาว เช่น
เดียวกับที่ธ.กลางได้ดำเนินนโยบายการเงินอย่างเข้มงวดในการควบคุมสินเชื่อดังกล่าว แต่ได้หลีกเลี่ยงการ
ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ทำให้นักวิเคราะห์เห็นว่าอาจจะสร้างปัญหาและ เพิ่มแรงกดดันให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น
ซึ่งก่อนหน้านั้นตลาดวิตกว่านโยบายลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจดังกล่าวของจีนจะส่งผลให้การขยายตัวทาง
เศรษฐกิจลดลงอย่างมาก รวมทั้งการสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อก็เป็นประเด็นหนึ่งที่สร้างความกังวลที่ทางการจีน
ได้อภิปรายว่าจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีหรือไม่ และแม้ว่าทางการจีนจะดำเนิน
นโยบายทางเศรษฐกิจอย่างเข้มงวดเศรษฐกิจจีนก็ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งแรกปี 47
เศรษฐกิจจีนขยายตัวที่ระดับร้อยละ 9.69 จากระยะเดียวกันปีก่อน (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ( รอย
เตอร์)3. ยอดนำเข้าน้ำมันดิบของเกาหลีใต้ในเดือน ก.ค.47 ลดลงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปีก่อน รายงาน
จากโซล เมื่อ 23 ส.ค.47 ยอดนำเข้าน้ำมันดิบของเกาหลีใต้ซึ่งเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันรายใหญ่อันดับที่ 4
ของโลกในเดือน ก.ค.47 มีจำนวน 62.6 ล้านบาร์เรลลดลงร้อยละ 18 จาก 76.5 ล้านบาร์เรลในเดือน
ก.ค.46 อันเป็นผลจากการประท้วงหยุดงานของพนักงานโรงกลั่นน้ำมันบริษัท LG-Caltex ซึ่งเป็นโรงกลั่น
น้ำมันใหญ่อันดับที่ 2 ของประเทศเป็นเวลา 20 วันนับตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.47 เพื่อเรียกร้องค่าแรงเพิ่มและ
ส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันของประเทศลดลงไป 650,000 บาร์เรลต่อวัน โดยบริษัท LG-Caltex ซึ่ง
ครองส่วนแบ่งตลาดน้ำมัน 1 ใน 4 ของประเทศนำเข้าน้ำมันดิบ 14.4 ล้านบาร์เรลในเดือน ก.ค.47 ลดลง
ร้อยละ 27 จากปีก่อน นอกจากนี้สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันในเดือน ก.ค.47
ลดลงร้อยละ 1.2 จากปีก่อนและลดลงร้อยละ 4.1 จากเดือน มิ.ย.46 นักวิเคราะห์คาดว่าความต้องการ
ใช้น้ำมันในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.03 จากปีก่อน ลดลงจากที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4
จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในขณะนี้ (รอยเตอร์)
4.รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องการให้ราคาบ้านมีเสถียรภาพ รายงานจากโซล เมื่อ 23 ส.ค.47 ปธน.
เกาหลีใต้แถลงต่อที่ประชุมครม. เมื่อวันจันทร์ที่ 23 ส.ค.47 ว่าการทำให้ราคาบ้านในเกาหลีใต้มีเสถียรภาพ
เป็นนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญอันดับแรกของรัฐบาล คำแถลงของปธน.เกิดขึ้นท่ามกลางข่าวลือว่า
รัฐบาลจะผ่อนคลายการควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศหลังจากรัฐบาลยกเว้นให้
บางพื้นที่ของประเทศไม่ต้องเสียภาษีในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์โดยอ้างว่าราคาบ้านในพื้นที่ดังกล่าวลดลง
โดยราคาบ้านในบางพื้นที่ของเกาหลีใต้ลดลงตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วจากการเพิ่มภาษีและมาตรการควบคุมการ
ซื้อขายของรัฐบาลหลังจากมีสัญญาณว่าตลาดขยายตัวร้อนแรงเกินไป การใช้จ่ายในภาคการก่อสร้างซึ่งมีสัดส่วน
ประมาณร้อยละ 19 ของ GDP ของประเทศลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันจากการใช้จ่ายใน
ประเทศที่ชะลอตัวติดต่อกันเป็นเวลานานและราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในขณะนี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 24 ส.ค. 47 23 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.441 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.2399/41.5276 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1000-1.3750 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 599.55/6.24 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,900/8,000 7,900/8,000 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 40.79 39.65 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.79*/14.59 21.19/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 24 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-