ภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาส 2/2547 นั้น ยังคงเผชิญความเสี่ยงจากสถานการณ์ ก่อการร้ายในภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา พันธมิตรของสหรัฐฯ เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย เป็นต้น และ อิรัก ซึ่งถึงแม้สหรัฐฯ จะคืนอธิปไตยให้อิรักในวันที่ 29 มิถุนายน 2547 แล้ว แต่ประเทศต่าง ๆ ที่เข้าไปฟื้นฟู อิรักยังประสบปัญหาการต่อต้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มอิรักรักชาติหัวรุนแรง จนเกิดเหตุการณ์ยิงตัวประกันของแต่ละประเทศเป็นระยะ ๆ เรื่อยมา สำหรับเรื่องพลังงานได้เกิดภาวะวิกฤตที่สถานการณ์ราคาน้ำมันมี แนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง จนคาดว่าอาจจะสูงถึง 50 เหรียญสหรัฐอเมริกา/บาร์เรลในอนาคต ซึ่งกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC) ได้แสดงจุดยืนออกมาเป็นระยะ ๆ ว่าไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันได้ ประกอบกับอิรักไม่สามารถผลิตน้ำมันเนื่องจากสถานการณ์การก่อการร้ายในประเทศอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ยุโรป และในภูมิภาคต่าง ๆ เริ่มปรับตัวสูงขึ้น สำหรับเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่สำคัญคือเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจจีน ในส่วนเศรษฐกิจเอเชียมีหลายประเทศที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น เข่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เป็นต้น
สำหรับประเด็นเศรษฐกิจโลกที่สำคัญมีดังนี้
1. ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเฟดฟันด์หรือดอกเบี้ยระยะสั้นจากร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 1.25 และคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 10 สิงหาคม 2547 และอัตราดอกเบี้ยดิสเคาท์เรทจากร้อยละ 2 เป็นร้อยละ 2.25 นอกจากนี้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังประสบปัญหา Twin deficit คือขาดดุลทั้งดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างไม่หยุดยั้ง ความไม่มั่นใจในสถานการณ์ของสหรัฐฯ ทำให้แต่ละประเทศลดความเชื่อถือสกุลเงินสหรัฐฯ โดยหันไปถือครองเงินสกุลอื่นแทน เช่น ยูโร เยน เป็นต้น ทำให้ค่าเงินสหรัฐฯ อ่อนค่าลง ส่งผลให้เงินสกุล อื่น ๆ แข็งค่าขึ้น รวมทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจจากการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2547 นี้ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหากพรรคเดโมแครตได้รับการเลือกตั้งเข้ามา จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
2. หลังจากจีนประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ (Soft Landing) โดยลดอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศและการส่งออก ซึ่งผลที่สำคัญคือทำให้เศรษฐกิจเอเชียมีเสถียรภาพมากขึ้นในระยะยาว แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เศรษฐกิจเอเชียเจริญเติบโตอย่างถดถอยจากการที่จีนใช้มาตรการชะลอการลงทุน ทำให้ลดการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ รวมทั้งอาจทำให้การบริโภคสินค้าลดลง จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับสหรัฐฯ
3. การเปิดเขตการค้าเสรีระดับทวิภาคีในรูป FTA มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลกแทนข้อตกลงการค้าในระดับพหุภาคีในรูป WTO ซึ่งตามหลักทฤษฎีการเปิด FTA ประเทศคู่ค้าจะได้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ในทางปฏิบัติอาจทำให้คู่เจรจาการค้าที่เป็นมหาอำนาจของโลก มีความได้เปรียบ เนื่องจากสามารถให้เงินอุดหนุนแก่สินค้าที่ผลิตในประเทศทำให้ต้นทุนต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินอุดหนุนแก่สินค้าเกษตรเนื่องจากเขตการค้าเสรีระบุเพียงการลดอัตราภาษี แต่ไม่ได้ระบุ ถึงการลดการอุดหนุน ภายในประเทศ นำไปสู่การทุ่มตลาดสินค้าเกษตรในอนาคต โดยที่เกษตรกรในประเทศคู่ค้ากับประเทศที่มีต้นทุนสินค้าเกษตรต่ำกว่าจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านสินค้าเกษตรไปในที่สุด
4. สำหรับสถานการณ์การค้าโลก เมื่อพิจารณาประเทศเศรษฐกิจหลักที่สำคัญพบว่าในช่วงเดือนมกราคม - พฤษภาคม 2547 สหรัฐฯ มีมูลค่าสินค้าส่งออก 334,303.6 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. นำเข้า 568,287.1 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. ขาดดุลการค้า 233,983.5 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการขาดดุลการค้ากับจีนมากที่สุดถึง 54,300.6 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. ญี่ปุ่นมีมูลค่าสินค้าส่งออก 224,593.2 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. นำเข้า 178,097.1 ล้านเหรียญ ดอลลาร์ สรอ. เกินดุลการค้า 46,496.1 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุดถึง 25,045 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ.
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
ในช่วงต้นของไตรมาส 2/2547 เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แต่การขยายตัวของเศรษฐกิจอาจไม่สูงเท่ากับในช่วงครึ่งหลังของปี 2546 สาเหตุของการฟื้นตัวเกิดจากการขยายตัวของการ ใช้จ่ายทั้งในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ จากการที่ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนเมษายนปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 76.9 มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ประกอบกับประสิทธิภาพการผลิตที่ยังขยายตัวในระดับสูง ซึ่งจากการที่ภาวะเศรษฐกิจขยายตัวดี ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืดหมดไป
อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคม 2547 เริ่มปรับตัวสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเพิ่มเป็นร้อยละ 3.1 เทียบกับเดือนเมษายนที่ร้อยละ 2.3 ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds จากร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 1.25 และ Discount Rate จากร้อยละ 2 เป็นร้อยละ 2.25 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2547
แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น แต่สหรัฐฯ ยังคงเผชิญปัญหา Twin deficit โดยขาดดุลทั้งดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณถึง 344.3 พันล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุล 290.9 พันล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาสที่ 1/2547 ขาดดุลถึง 144.9 พันล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ.
สำหรับการเปิดเสรีทางการค้าหรือ FTA กับประเทศต่าง ๆ นั้น สหรัฐฯ ได้ทำข้อตกลง FTA แล้วกับ 8 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา แม็กซิโก อิสราเอล บาห์เรน จอร์แดน สิงคโปร์ ชิลี และออสเตรเลีย โดยสหรัฐฯ มีเป้าหมายการทำ FTA ให้ครอบคลุมถึง 50 ประเทศในโลกรวมทุกประเทศในอาเซียน ยกเว้น พม่า เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าสหรัฐฯ อุดหนุนสินค้าเกษตร ทำให้สินค้าเกษตรในสหรัฐฯ มีต้นทุนต่ำ ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งในตลาดโลก ในขณะเดียวกันสหรัฐฯ ได้มีมาตรการภาษีตอบโต้ สินค้าที่เข้ามาทุ่มตลาดในสหรัฐฯ อย่างเด็ดขาด ซึ่งล่าสุดได้เก็บภาษีอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumpling : AD) 4 ประเทศที่ส่งกุ้งไปสหรัฐฯ ได้แก่ ไทย บราซิล อินเดีย และเอกวาดอร์ โดยเก็บ ชั่วคราวเป็นระยะเวลา 4 เดือน หลังจากนั้นจะพิจารณาทบทวนอีกครั้งประมาณปลายเดือนธันวาคม 2547
เศรษฐกิจจีน
ในไตรมาส 2/2547 เศรษฐกิจจีนขยายตัวร้อยละ 9.6 เทียบกับไตรมาส 1/2547 ที่ขยายตัว ร้อยละ 9.8 (ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 9.7) ซึ่งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลงเป็นผลจากมาตรการลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจจากมาตรการชะลอการลงทุนของจีน โดยการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในไตรมาส 2 ชะลอลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 43 ทำให้ครึ่งปีแรกขยายตัวร้อยละ 28.6 สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของจีนที่ต้องการให้ชะลอการลงทุน ได้แก่ เหล็ก อลูมิเนียม ซีเมนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าในปริมาณสูงด้วย ดังนั้นเมื่อใช้ไฟฟ้าในปริมาณที่มากเกินไปทำให้เกิดปัญหา ไฟฟ้าดับจนโรงงานอุตสาหกรรมต้องหยุดการผลิตในบางครั้ง
สำหรับผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 17.5 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 19.1 ในเดือนเมษายน แม้ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจะชะลอตัวลง แต่การส่งออกเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 32.8 และเพิ่มเป็นร้อยละ 46.5 ในเดือนมิถุนายน สำหรับการนำเข้าขยายตัวสูงขึ้นจากร้อยละ 35.4 ในเดือนพฤษภาคมเป็นร้อยละ 50.5 ในเดือนมิถุนายน ในขณะที่การบริโภคของภาคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ 17.8 ในเดือนพฤษภาคมและขยายตัวลดลงเป็นร้อยละ 13.9 ในเดือนมิถุนายน
อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อของจีนยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 4.4 ในเดือนพฤษภาคมเป็นร้อยละ 5 ในเดือนมิถุนายน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้น ธนาคารกลางของจีนต้องเพิ่มทุนและเงินสำรองของธนาคารใหญ่ของรัฐ ควบคุมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ การปรับขึ้นของราคาหลักทรัพย์โดยไม่สะท้อนถึงสภาพข้อเท็จจริง ทางด้านการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการที่ผลิตภาพการผลิตของแรงงานสูงขึ้นในบางสาขาทำให้สามารถลดการจ้างงานลงได้ ในส่วนของโรงงานอุตสาหกรรมเก่าของภาครัฐที่ขาดประสิทธิภาพนั้น รัฐบาลได้ปรับปรุงโรงงานใหม่โดยอาศัยทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ได้แก่ การใช้จ่ายของ ผู้บริโภคและภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น การส่งออกเพิ่มขึ้น โดยเดือนพฤษภาคม การส่งออกขยายตัวที่ร้อยละ 9.8 ตามอุปสงค์จากต่างประเทศที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าอุตสาหกรรมประเภทรถยนต์ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ อุปกรณ์ดิจิตอล ส่งผลให้การเกินดุลการค้าขยายตัวสูงถึงร้อยละ 35
สำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการส่งออก ธุรกิจภาคบริการขยายตัวดี โดยดัชนีของ large manufacturing อยู่ที่ร้อยละ 22 ในขณะเดียวกันดัชนีของ large non manufacturing ซึ่งเป็นกลุ่มของ service providers ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันอยู่ที่ร้อยละ 9
แม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัวได้สูงกว่าที่คาดไว้ ภาวะเงินฝืดเริ่มผ่อนคลายแต่อาจต้องเผชิญภาวะเงินฝืดไปอีกระยะหนึ่ง ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ จนสามารถจะหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดได้ โดยนโยบายการเงินยังคงเป็นนโยบายการเงินผ่อนคลาย "quantitative easing" จนกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีเสถียรภาพอยู่เหนือระดับ 0 ด้านปัญหาหนี้ ภาครัฐยังอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 170 GDP) ทำให้ยังคงดำเนินนโยบายการคลังที่เข้มงวดต่อไป
เศรษฐกิจสหภาพยุโรป
เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปยังคงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ จากการอุปโภคบริโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การลงทุนภายในกลุ่มสหภาพยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากภาวะดอกเบี้ยต่ำ การปรับปรุงประสิทธิภาพของ องค์กร และผลกำไรที่ดีขึ้นส่งผลให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น สำหรับภาคการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว ทำให้ EU Commission เชื่อว่าเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปจะขยายตัวสูงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้
สำหรับดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ระดับ 54.4 เทียบกับเดือนพฤษภาคมที่ 54.7 นอกจากนี้ดัชนีการผลิตอุตสาหกรรมล่าสุดในเดือนพฤษภาคมปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ซึ่งเป็นการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ส่งสัญญาณให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตโดยรวมของสหภาพยุโรปยังมีแนวโน้มขยายตัวที่ดี ในส่วน PMI ภาคบริการขยายตัวดีอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยอยู่ที่ระดับ 55.3 เทียบกับเดือนพฤษภาคมที่ระดับ 55.8 ชี้ให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมภาคบริการ
แม้ว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังคือ การฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศยังคงเปราะบาง การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกในไตรมาสนี้สหภาพยุโรปมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 35 ประเทศ ซึ่งทุกประเทศที่เข้าเป็นสมาชิกใหม่ต้องปฏิบัติตามกฏ กติกา ของการอยู่ร่วมกันเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มให้เจริญรุดหน้าต่อไป
เศรษฐกิจอาเซียน
สิงคโปร์ เศรษฐกิจของสิงคโปร์ในไตรมาส 2/2547 ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย Advance estimate GDP ขยายตัวร้อยละ 11.7 เทียบกับไตรมาส 1/2547 ที่ขยายตัวร้อยละ 7.4 (สาเหตุที่ไตรมาส 2/2547 ขยายตัวสูงเนื่องจากฐานต่ำจากไตรมาส 2/2546 สิงคโปร์ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรค SARS ทำให้เศรษฐกิจหดตัว) ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลก ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวสูงถึงร้อยละ 18 และภาคบริการขยายตัวร้อยละ 11 สำหรับภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ธนาคารกลางสิงคโปร์ได้ดำเนินนโยบาการเงิน เข้มงวด โดยให้เงินดอลลาร์สิงคโปร์เมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศคู่ค้าค่อย ๆ แข็งค่าขึ้นทีละน้อย เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและดูแลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพในระยะ ปานกลาง อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อก็ยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ 2.3 เร่งขึ้นจากเดือนพฤษภาคมซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2
มาเลเซีย เศรษฐกิจมาเลเซียขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 12.8 ตามอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ และการส่งออกที่ขยายตัวดีโดยเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 20.5 ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 26.5 จากการนำเข้าสินค้าทุนร้อยละ 30.2 สินค้าขั้นกลางร้อยละ 24.3 และสินค้าเพื่อการบริโภคร้อยละ 21.4 ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 6.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. รวมทั้งเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
เศรษฐกิจที่ขยายตัวดีทำให้รายได้ของรัฐบาลสูงขึ้น และการขาดดุลงบประมาณของภาครัฐลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อโอกาสในการปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในอนาคต ทำให้หลายสถาบันเชื่อว่าเศรษฐกิจมาเลเซียจะขยายตัวในปี 2547 ถึงร้อยละ 6 - 6.5
ฟิลิปปินส์ เศรษฐกิจฟิลิปปินส์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ โดยธนาคารโลกคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.2 ในปี 2547 และ 4.1 ในปี 2548 ซึ่งเป็นการคาดการณ์อัตราการขยายตัวที่ต่ำสุดเมื่อ เทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เนื่องจากปัญหาการขาดดุลงบประมาณที่เรื้อรัง ปัญหาคอร์รัปชั่น ปัญหาหนี้ภาครัฐ ปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ 5.1 จากการที่ราคาอาหารและราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่ท้าทายของรัฐที่จะต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2547 รัฐสภาฟิลิปปินส์ได้ประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ โดยนาง Arroyo เป็นผู้มีชัยชนะและเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 30 มิถุนายน 2547 สำหรับนโยบายหลักของนาง Arroyo จะสานต่อในการบริหารประเทศ ด้านการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอย่าง จริงจัง คือ การจ้างงานเพิ่มขึ้น การพัฒนาการศึกษา การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ปัญหาความยากจน การลดสัดส่วนหนี้ภาครัฐ การปฏิรูประบบราชการ การลดจำนวนคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับกลุ่มกบฏมุสลิมทางตอนใต้ของประเทศเพื่อช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน
สำหรับการส่งออกในเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 15.3 เร่งตัวขึ้นจากเดือนเมษายนที่ร้อยละ 8.9 โดยเป็นการส่งออกสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20.3 ขณะเดียวกันการนำเข้าในเดือนพฤษภาคมหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ในอัตราร้อยละ 1.7 ซึ่งเป็นการชะลอการนำเข้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น chips และ disk drives โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินเปโซที่อ่อนค่าลง ทั้งนี้ตัวเลขการนำเข้าที่ชะลอลงอาจส่งสัญญาณว่า การส่งออกของฟิลิปปินส์จะมีแนวโน้มชะลอลงได้ในระยะต่อไป เนื่องจากการนำเข้าส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเพื่อการผลิตและส่งออก
อินโดนีเซีย เศรษฐกิจอินโดนีเซียค่อนข้างทรงตัว โดยการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น ในช่วงเลือกตั้ง (โดยเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2547) การส่งออกสินค้าในหมวดพลังงานเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 6.8 ในเดือนมิถุนายน จากร้อยละ 6.5 ในเดือนพฤษภาคม เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินรูเปียห์และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตามธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับเพิ่ม reserve requirement ของธนาคารพาณิชย์ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 เพื่อลดสภาพคล่องในระบบและรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน สำหรับค่าเงินรูเปียห์ในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 9,400 รูเปียห์ต่อดอลลาร์ สรอ.
สำหรับปี 2547 IMF คาดว่าเศรษฐกิจของอินโดนีเซียจะขยายตัวร้อยละ 4.8
เศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ในเอเชีย
ไต้หวัน
เศรษฐกิจของไต้หวันขยายตัวดีอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2547 โดยอุปสงค์จากตลาดหลักภายในและตลาดโลกอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง ทำให้การส่งออกในเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 39.5 ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 52.5 ส่วนหนึ่งเนื่องจากในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเกิดการแพร่ระบาดของโรค SARS การที่เศรษฐกิจขยายตัวดี ส่งผลให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานที่ปรับฤดูกาลแล้วในเดือนพฤษภาคมลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 4.54 จากร้อยละ 4.57 ในเดือนเมษายน
อย่างไรก็ตามการส่งออกของไต้หวันเริ่มชะลอตัวในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ 24.5 และการนำเข้าชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 42.2 ซึ่งคาดว่าเป็นเพียงระยะสั้น ๆ คงไม่กระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจเท่าไรนัก
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการสูงขึ้นเพียงชั่วคราวจากผลกระทบของพายุไต้ฝุ่น ซึ่งทำลายผลผลิตทางการเกษตร ทำให้ราคาผักสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
ฮ่องกง
เศรษฐกิจฮ่องกงปรับตัวดีขึ้น ภาวะเงินฝืดเริ่มปรับตัวลดลง การว่างงานลดลง รวมทั้งความเป็นไปได้ที่ฮ่องกงจะสามารถแก้ไขปัญหาการขาดดุลงบประมาณได้ในปี 2551 - 2552 และทางการฮ่องกงได้จัดให้มีการประมูลที่ดินของทางการขึ้นในเดือนพฤษภาคมจากการที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงปรับตัวดีขึ้น โดยราคาที่พักอาศัย ร้านค้าปลีก และสำนักงานปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งทางการฮ่องกงคาดว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่ำร้อยละ 15 ในปี 2547 นี้
เกาหลีใต้
เศรษฐกิจเกาหลีใต้ไม่มีทีท่าที่จะฟื้นตัว การบริโภคภายในประเทศยังไม่ดีขึ้น อัตราการว่างงาน (ปรับฤดูกาล) ณ สิ้นเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ยอดการใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ 3 แห่งในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในอัตราร้อยละ 0.7 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจลดลงต่อเนื่องจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งนี้รัฐบาลได้พยายามกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศและการจ้างงาน ตลอดจนปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมผ่าน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับการส่งออกเดือนมิถุนายนขยายตัวสูงที่ร้อยละ 39.6 ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 38.6 ส่วนใหญ่เป็นผลจากการนำเข้าวัตถุดิบและพลังงาน ขณะที่การนำเข้าสินค้าเพื่อการบริโภค และสินค้าทุนชะลอตัวส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนมิถุนายนเกินดุล 3.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-
สำหรับประเด็นเศรษฐกิจโลกที่สำคัญมีดังนี้
1. ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเฟดฟันด์หรือดอกเบี้ยระยะสั้นจากร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 1.25 และคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 10 สิงหาคม 2547 และอัตราดอกเบี้ยดิสเคาท์เรทจากร้อยละ 2 เป็นร้อยละ 2.25 นอกจากนี้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังประสบปัญหา Twin deficit คือขาดดุลทั้งดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างไม่หยุดยั้ง ความไม่มั่นใจในสถานการณ์ของสหรัฐฯ ทำให้แต่ละประเทศลดความเชื่อถือสกุลเงินสหรัฐฯ โดยหันไปถือครองเงินสกุลอื่นแทน เช่น ยูโร เยน เป็นต้น ทำให้ค่าเงินสหรัฐฯ อ่อนค่าลง ส่งผลให้เงินสกุล อื่น ๆ แข็งค่าขึ้น รวมทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจจากการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2547 นี้ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหากพรรคเดโมแครตได้รับการเลือกตั้งเข้ามา จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
2. หลังจากจีนประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ (Soft Landing) โดยลดอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศและการส่งออก ซึ่งผลที่สำคัญคือทำให้เศรษฐกิจเอเชียมีเสถียรภาพมากขึ้นในระยะยาว แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เศรษฐกิจเอเชียเจริญเติบโตอย่างถดถอยจากการที่จีนใช้มาตรการชะลอการลงทุน ทำให้ลดการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ รวมทั้งอาจทำให้การบริโภคสินค้าลดลง จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับสหรัฐฯ
3. การเปิดเขตการค้าเสรีระดับทวิภาคีในรูป FTA มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลกแทนข้อตกลงการค้าในระดับพหุภาคีในรูป WTO ซึ่งตามหลักทฤษฎีการเปิด FTA ประเทศคู่ค้าจะได้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ในทางปฏิบัติอาจทำให้คู่เจรจาการค้าที่เป็นมหาอำนาจของโลก มีความได้เปรียบ เนื่องจากสามารถให้เงินอุดหนุนแก่สินค้าที่ผลิตในประเทศทำให้ต้นทุนต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินอุดหนุนแก่สินค้าเกษตรเนื่องจากเขตการค้าเสรีระบุเพียงการลดอัตราภาษี แต่ไม่ได้ระบุ ถึงการลดการอุดหนุน ภายในประเทศ นำไปสู่การทุ่มตลาดสินค้าเกษตรในอนาคต โดยที่เกษตรกรในประเทศคู่ค้ากับประเทศที่มีต้นทุนสินค้าเกษตรต่ำกว่าจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านสินค้าเกษตรไปในที่สุด
4. สำหรับสถานการณ์การค้าโลก เมื่อพิจารณาประเทศเศรษฐกิจหลักที่สำคัญพบว่าในช่วงเดือนมกราคม - พฤษภาคม 2547 สหรัฐฯ มีมูลค่าสินค้าส่งออก 334,303.6 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. นำเข้า 568,287.1 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. ขาดดุลการค้า 233,983.5 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการขาดดุลการค้ากับจีนมากที่สุดถึง 54,300.6 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. ญี่ปุ่นมีมูลค่าสินค้าส่งออก 224,593.2 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. นำเข้า 178,097.1 ล้านเหรียญ ดอลลาร์ สรอ. เกินดุลการค้า 46,496.1 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุดถึง 25,045 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ.
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
ในช่วงต้นของไตรมาส 2/2547 เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แต่การขยายตัวของเศรษฐกิจอาจไม่สูงเท่ากับในช่วงครึ่งหลังของปี 2546 สาเหตุของการฟื้นตัวเกิดจากการขยายตัวของการ ใช้จ่ายทั้งในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ จากการที่ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนเมษายนปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 76.9 มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ประกอบกับประสิทธิภาพการผลิตที่ยังขยายตัวในระดับสูง ซึ่งจากการที่ภาวะเศรษฐกิจขยายตัวดี ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืดหมดไป
อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคม 2547 เริ่มปรับตัวสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเพิ่มเป็นร้อยละ 3.1 เทียบกับเดือนเมษายนที่ร้อยละ 2.3 ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds จากร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 1.25 และ Discount Rate จากร้อยละ 2 เป็นร้อยละ 2.25 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2547
แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น แต่สหรัฐฯ ยังคงเผชิญปัญหา Twin deficit โดยขาดดุลทั้งดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณถึง 344.3 พันล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุล 290.9 พันล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาสที่ 1/2547 ขาดดุลถึง 144.9 พันล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ.
สำหรับการเปิดเสรีทางการค้าหรือ FTA กับประเทศต่าง ๆ นั้น สหรัฐฯ ได้ทำข้อตกลง FTA แล้วกับ 8 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา แม็กซิโก อิสราเอล บาห์เรน จอร์แดน สิงคโปร์ ชิลี และออสเตรเลีย โดยสหรัฐฯ มีเป้าหมายการทำ FTA ให้ครอบคลุมถึง 50 ประเทศในโลกรวมทุกประเทศในอาเซียน ยกเว้น พม่า เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าสหรัฐฯ อุดหนุนสินค้าเกษตร ทำให้สินค้าเกษตรในสหรัฐฯ มีต้นทุนต่ำ ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งในตลาดโลก ในขณะเดียวกันสหรัฐฯ ได้มีมาตรการภาษีตอบโต้ สินค้าที่เข้ามาทุ่มตลาดในสหรัฐฯ อย่างเด็ดขาด ซึ่งล่าสุดได้เก็บภาษีอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumpling : AD) 4 ประเทศที่ส่งกุ้งไปสหรัฐฯ ได้แก่ ไทย บราซิล อินเดีย และเอกวาดอร์ โดยเก็บ ชั่วคราวเป็นระยะเวลา 4 เดือน หลังจากนั้นจะพิจารณาทบทวนอีกครั้งประมาณปลายเดือนธันวาคม 2547
เศรษฐกิจจีน
ในไตรมาส 2/2547 เศรษฐกิจจีนขยายตัวร้อยละ 9.6 เทียบกับไตรมาส 1/2547 ที่ขยายตัว ร้อยละ 9.8 (ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 9.7) ซึ่งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลงเป็นผลจากมาตรการลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจจากมาตรการชะลอการลงทุนของจีน โดยการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในไตรมาส 2 ชะลอลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 43 ทำให้ครึ่งปีแรกขยายตัวร้อยละ 28.6 สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของจีนที่ต้องการให้ชะลอการลงทุน ได้แก่ เหล็ก อลูมิเนียม ซีเมนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าในปริมาณสูงด้วย ดังนั้นเมื่อใช้ไฟฟ้าในปริมาณที่มากเกินไปทำให้เกิดปัญหา ไฟฟ้าดับจนโรงงานอุตสาหกรรมต้องหยุดการผลิตในบางครั้ง
สำหรับผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 17.5 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 19.1 ในเดือนเมษายน แม้ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจะชะลอตัวลง แต่การส่งออกเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 32.8 และเพิ่มเป็นร้อยละ 46.5 ในเดือนมิถุนายน สำหรับการนำเข้าขยายตัวสูงขึ้นจากร้อยละ 35.4 ในเดือนพฤษภาคมเป็นร้อยละ 50.5 ในเดือนมิถุนายน ในขณะที่การบริโภคของภาคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ 17.8 ในเดือนพฤษภาคมและขยายตัวลดลงเป็นร้อยละ 13.9 ในเดือนมิถุนายน
อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อของจีนยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 4.4 ในเดือนพฤษภาคมเป็นร้อยละ 5 ในเดือนมิถุนายน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้น ธนาคารกลางของจีนต้องเพิ่มทุนและเงินสำรองของธนาคารใหญ่ของรัฐ ควบคุมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ การปรับขึ้นของราคาหลักทรัพย์โดยไม่สะท้อนถึงสภาพข้อเท็จจริง ทางด้านการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการที่ผลิตภาพการผลิตของแรงงานสูงขึ้นในบางสาขาทำให้สามารถลดการจ้างงานลงได้ ในส่วนของโรงงานอุตสาหกรรมเก่าของภาครัฐที่ขาดประสิทธิภาพนั้น รัฐบาลได้ปรับปรุงโรงงานใหม่โดยอาศัยทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ได้แก่ การใช้จ่ายของ ผู้บริโภคและภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น การส่งออกเพิ่มขึ้น โดยเดือนพฤษภาคม การส่งออกขยายตัวที่ร้อยละ 9.8 ตามอุปสงค์จากต่างประเทศที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าอุตสาหกรรมประเภทรถยนต์ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ อุปกรณ์ดิจิตอล ส่งผลให้การเกินดุลการค้าขยายตัวสูงถึงร้อยละ 35
สำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการส่งออก ธุรกิจภาคบริการขยายตัวดี โดยดัชนีของ large manufacturing อยู่ที่ร้อยละ 22 ในขณะเดียวกันดัชนีของ large non manufacturing ซึ่งเป็นกลุ่มของ service providers ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันอยู่ที่ร้อยละ 9
แม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัวได้สูงกว่าที่คาดไว้ ภาวะเงินฝืดเริ่มผ่อนคลายแต่อาจต้องเผชิญภาวะเงินฝืดไปอีกระยะหนึ่ง ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ จนสามารถจะหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดได้ โดยนโยบายการเงินยังคงเป็นนโยบายการเงินผ่อนคลาย "quantitative easing" จนกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีเสถียรภาพอยู่เหนือระดับ 0 ด้านปัญหาหนี้ ภาครัฐยังอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 170 GDP) ทำให้ยังคงดำเนินนโยบายการคลังที่เข้มงวดต่อไป
เศรษฐกิจสหภาพยุโรป
เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปยังคงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ จากการอุปโภคบริโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การลงทุนภายในกลุ่มสหภาพยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากภาวะดอกเบี้ยต่ำ การปรับปรุงประสิทธิภาพของ องค์กร และผลกำไรที่ดีขึ้นส่งผลให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น สำหรับภาคการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว ทำให้ EU Commission เชื่อว่าเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปจะขยายตัวสูงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้
สำหรับดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ระดับ 54.4 เทียบกับเดือนพฤษภาคมที่ 54.7 นอกจากนี้ดัชนีการผลิตอุตสาหกรรมล่าสุดในเดือนพฤษภาคมปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ซึ่งเป็นการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ส่งสัญญาณให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตโดยรวมของสหภาพยุโรปยังมีแนวโน้มขยายตัวที่ดี ในส่วน PMI ภาคบริการขยายตัวดีอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยอยู่ที่ระดับ 55.3 เทียบกับเดือนพฤษภาคมที่ระดับ 55.8 ชี้ให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมภาคบริการ
แม้ว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังคือ การฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศยังคงเปราะบาง การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกในไตรมาสนี้สหภาพยุโรปมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 35 ประเทศ ซึ่งทุกประเทศที่เข้าเป็นสมาชิกใหม่ต้องปฏิบัติตามกฏ กติกา ของการอยู่ร่วมกันเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มให้เจริญรุดหน้าต่อไป
เศรษฐกิจอาเซียน
สิงคโปร์ เศรษฐกิจของสิงคโปร์ในไตรมาส 2/2547 ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย Advance estimate GDP ขยายตัวร้อยละ 11.7 เทียบกับไตรมาส 1/2547 ที่ขยายตัวร้อยละ 7.4 (สาเหตุที่ไตรมาส 2/2547 ขยายตัวสูงเนื่องจากฐานต่ำจากไตรมาส 2/2546 สิงคโปร์ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรค SARS ทำให้เศรษฐกิจหดตัว) ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลก ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวสูงถึงร้อยละ 18 และภาคบริการขยายตัวร้อยละ 11 สำหรับภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ธนาคารกลางสิงคโปร์ได้ดำเนินนโยบาการเงิน เข้มงวด โดยให้เงินดอลลาร์สิงคโปร์เมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศคู่ค้าค่อย ๆ แข็งค่าขึ้นทีละน้อย เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและดูแลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพในระยะ ปานกลาง อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อก็ยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ 2.3 เร่งขึ้นจากเดือนพฤษภาคมซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2
มาเลเซีย เศรษฐกิจมาเลเซียขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 12.8 ตามอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ และการส่งออกที่ขยายตัวดีโดยเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 20.5 ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 26.5 จากการนำเข้าสินค้าทุนร้อยละ 30.2 สินค้าขั้นกลางร้อยละ 24.3 และสินค้าเพื่อการบริโภคร้อยละ 21.4 ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 6.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. รวมทั้งเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
เศรษฐกิจที่ขยายตัวดีทำให้รายได้ของรัฐบาลสูงขึ้น และการขาดดุลงบประมาณของภาครัฐลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อโอกาสในการปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในอนาคต ทำให้หลายสถาบันเชื่อว่าเศรษฐกิจมาเลเซียจะขยายตัวในปี 2547 ถึงร้อยละ 6 - 6.5
ฟิลิปปินส์ เศรษฐกิจฟิลิปปินส์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ โดยธนาคารโลกคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.2 ในปี 2547 และ 4.1 ในปี 2548 ซึ่งเป็นการคาดการณ์อัตราการขยายตัวที่ต่ำสุดเมื่อ เทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เนื่องจากปัญหาการขาดดุลงบประมาณที่เรื้อรัง ปัญหาคอร์รัปชั่น ปัญหาหนี้ภาครัฐ ปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ 5.1 จากการที่ราคาอาหารและราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่ท้าทายของรัฐที่จะต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2547 รัฐสภาฟิลิปปินส์ได้ประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ โดยนาง Arroyo เป็นผู้มีชัยชนะและเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 30 มิถุนายน 2547 สำหรับนโยบายหลักของนาง Arroyo จะสานต่อในการบริหารประเทศ ด้านการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอย่าง จริงจัง คือ การจ้างงานเพิ่มขึ้น การพัฒนาการศึกษา การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ปัญหาความยากจน การลดสัดส่วนหนี้ภาครัฐ การปฏิรูประบบราชการ การลดจำนวนคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับกลุ่มกบฏมุสลิมทางตอนใต้ของประเทศเพื่อช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน
สำหรับการส่งออกในเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 15.3 เร่งตัวขึ้นจากเดือนเมษายนที่ร้อยละ 8.9 โดยเป็นการส่งออกสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20.3 ขณะเดียวกันการนำเข้าในเดือนพฤษภาคมหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ในอัตราร้อยละ 1.7 ซึ่งเป็นการชะลอการนำเข้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น chips และ disk drives โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินเปโซที่อ่อนค่าลง ทั้งนี้ตัวเลขการนำเข้าที่ชะลอลงอาจส่งสัญญาณว่า การส่งออกของฟิลิปปินส์จะมีแนวโน้มชะลอลงได้ในระยะต่อไป เนื่องจากการนำเข้าส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเพื่อการผลิตและส่งออก
อินโดนีเซีย เศรษฐกิจอินโดนีเซียค่อนข้างทรงตัว โดยการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น ในช่วงเลือกตั้ง (โดยเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2547) การส่งออกสินค้าในหมวดพลังงานเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 6.8 ในเดือนมิถุนายน จากร้อยละ 6.5 ในเดือนพฤษภาคม เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินรูเปียห์และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตามธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับเพิ่ม reserve requirement ของธนาคารพาณิชย์ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 เพื่อลดสภาพคล่องในระบบและรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน สำหรับค่าเงินรูเปียห์ในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 9,400 รูเปียห์ต่อดอลลาร์ สรอ.
สำหรับปี 2547 IMF คาดว่าเศรษฐกิจของอินโดนีเซียจะขยายตัวร้อยละ 4.8
เศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ในเอเชีย
ไต้หวัน
เศรษฐกิจของไต้หวันขยายตัวดีอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2547 โดยอุปสงค์จากตลาดหลักภายในและตลาดโลกอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง ทำให้การส่งออกในเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 39.5 ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 52.5 ส่วนหนึ่งเนื่องจากในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเกิดการแพร่ระบาดของโรค SARS การที่เศรษฐกิจขยายตัวดี ส่งผลให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานที่ปรับฤดูกาลแล้วในเดือนพฤษภาคมลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 4.54 จากร้อยละ 4.57 ในเดือนเมษายน
อย่างไรก็ตามการส่งออกของไต้หวันเริ่มชะลอตัวในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ 24.5 และการนำเข้าชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 42.2 ซึ่งคาดว่าเป็นเพียงระยะสั้น ๆ คงไม่กระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจเท่าไรนัก
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการสูงขึ้นเพียงชั่วคราวจากผลกระทบของพายุไต้ฝุ่น ซึ่งทำลายผลผลิตทางการเกษตร ทำให้ราคาผักสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
ฮ่องกง
เศรษฐกิจฮ่องกงปรับตัวดีขึ้น ภาวะเงินฝืดเริ่มปรับตัวลดลง การว่างงานลดลง รวมทั้งความเป็นไปได้ที่ฮ่องกงจะสามารถแก้ไขปัญหาการขาดดุลงบประมาณได้ในปี 2551 - 2552 และทางการฮ่องกงได้จัดให้มีการประมูลที่ดินของทางการขึ้นในเดือนพฤษภาคมจากการที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงปรับตัวดีขึ้น โดยราคาที่พักอาศัย ร้านค้าปลีก และสำนักงานปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งทางการฮ่องกงคาดว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่ำร้อยละ 15 ในปี 2547 นี้
เกาหลีใต้
เศรษฐกิจเกาหลีใต้ไม่มีทีท่าที่จะฟื้นตัว การบริโภคภายในประเทศยังไม่ดีขึ้น อัตราการว่างงาน (ปรับฤดูกาล) ณ สิ้นเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ยอดการใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ 3 แห่งในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในอัตราร้อยละ 0.7 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจลดลงต่อเนื่องจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งนี้รัฐบาลได้พยายามกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศและการจ้างงาน ตลอดจนปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมผ่าน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับการส่งออกเดือนมิถุนายนขยายตัวสูงที่ร้อยละ 39.6 ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 38.6 ส่วนใหญ่เป็นผลจากการนำเข้าวัตถุดิบและพลังงาน ขณะที่การนำเข้าสินค้าเพื่อการบริโภค และสินค้าทุนชะลอตัวส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนมิถุนายนเกินดุล 3.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-