1. สถานการณ์ปัจจุบัน
การผลิต
ปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีประมาณ 2,887,219 เมตริกตัน ( ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.50 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเหล็กแผ่นเคลือบ ชนิดเหล็กแผ่นเคลือบดีบุกมีการขยายตัวมากที่สุด ร้อยละ 37.09 รองลงมาคือเหล็กทรงยาว เพิ่มขึ้น ร้อยละ 18.25
ปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2547 มีประมาณ 6,282,806 ตัน(ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก) เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเหล็กทรงยาวมีการขยายตัวมากที่สุดร้อยละ 36.72 เนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการหมู่บ้านจัดสรรต่างๆ ของภาคเอกชนที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง รองลงมาคือเหล็กแผ่นเคลือบ ชนิดแผ่นเคลือบดีบุก เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.06 ประกอบกับการที่ผู้ผลิตเกรงว่าราคาวัตถุดิบของอุตสาหกรรม เช่น เศษเหล็ก(Scrap) เหล็กแท่งเล็ก (Billet) ซึ่งมีราคาเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี2546- ต้นปี 2547 จะปรับตัวสูงขึ้น จึงทำให้ผู้ผลิตเพิ่มปริมาณการผลิตไว้เพื่อเก็บไว้เป็นสต๊อก
การใช้ในประเทศ
ปริมาณการใช้เหล็กและเหล็กกล้าในประเทศที่สำคัญในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ประมาณ 2,733,293 เมตริกตัน โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.08 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเหล็กทรงยาวซึ่งเพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.51 สำหรับเหล็กทรงแบนมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศลดลงเล็กน้อย คือ ร้อยละ 1.74
ปริมาณการใช้เหล็กและเหล็กกล้าในประเทศที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2547 ประมาณ 6,124,041 เมตริกตัน โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 24.30 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเหล็กทรงยาวซึ่งเพิ่มขึ้น ร้อยละ 34.44 รองลงมาคือ เหล็กทรงแบน ร้อยละ 16.19
การนำเข้า
มูลค่าและปริมาณการนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีจำนวนประมาณ 48,491 ล้านบาท และ 2,666,083เมตริกตัน คือ ร้อยละ 46.24 และ 21.41 ตามลำดับ ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ยูเครนและรัสเซีย โดยท่อเหล็ก มีการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากที่สุด ร้อยละ 255.85 รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น ร้อยละ 52.73
มูลค่าและปริมาณการนำเข้าเหล็กในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2547 มีจำนวนประมาณ 90,294 ล้านบาท และ 5,379,388 ตัน เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 46.02 และ 31.23 ตามลำดับ ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น รัสเซียและยูเครน โดยท่อเหล็ก มีการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากที่สุด ร้อยละ 105.25 รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น ร้อยละ 75.19
การส่งออก
มูลค่าและปริมาณการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีจำนวนประมาณ 10,302 ล้านบาท และ 414,260 ตัน โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.50 แต่ปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 6.94 เนื่องจากประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยได้ชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยการลดปริมาณการนำเข้าเหล็กลง ซึ่งตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยในช่วงไตรมาสนี้คือ จีนและมาเลเซีย สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1,212.72 โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของผลิตภัณฑ์นี้ คือ เวียดนาม รองลงมาคือ ท่อเหล็ก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 61.36 สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการส่งออกลดลงมากที่สุดในช่วงไตรมาสนี้ คือ เหล็กแผ่นรีดร้อน ลดลงร้อยละ 11.04
มูลค่าและปริมาณการส่งออกเหล็กในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2547 มีจำนวนประมาณ 19,193 ล้านบาท และ 825,315 ตัน โดยมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.18 แต่ปริมาณการส่งออกกลับลดลงร้อยละ 2.82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากการที่ราคาเหล็กได้ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปลายปี 2546 จนถึงต้นปี 2547 (พ.ย. 46- มี.ค.47) โดยตลาดส่งออกหลักคือประเทศญี่ปุ่น มาเลเซียและอเมริกา
2. สรุป
สถานการณ์เหล็กในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.50 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องและอุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศ โดยมีการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.08 ขณะเดียวกันปริมาณและมูลค่าการนำเข้าก็ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.41 และ 46.24 ตามลำดับ ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าท่อเหล็ก จากประเทศญี่ปุ่นและมาเลเซีย สำหรับการส่งออกในช่วงไตรมาสนี้มีมูลค่าการส่งออกขยายตัวขึ้นร้อยละ 13.50 แต่ปริมาณการส่งออกลดลง ร้อยละ 6.94
สำหรับสถานการณ์เหล็กในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2547 ยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการผลิตเหล็กทรงยาวซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.72 เนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการหมู่บ้านจัดสรรต่างๆ ของภาคเอกชนที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 24.30 ขณะเดียวกันอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณและมูลค่าการนำเข้าก็ยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.02 และ 31.23 ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น รัสเซียและยูเครน สำหรับการส่งออกในครึ่งปีแรกนี้มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.18 แต่ปริมาณการส่งออกลดลง ร้อยละ 2.82 ส่วนหนึ่งมาจากราคาเหล็กเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับสถานการณ์ราคาเหล็กที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2546 จนถึงต้นปี 2547 (พ.ย. 46- มี.ค. 47) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นของประเทศจีนจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องและโครงการก่อสร้างต่างๆ ภายในประเทศ ประกอบกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในหลายภูมิภาคของโลก สำหรับการเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กในช่วงเดือน มี.ค.-มิ.ย. 47 ค่อนข้างทรงตัว เมื่อเทียบกับช่วงปลายปีและต้นปี ที่ราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ เนื่องจากการที่ประเทศจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าเหล็กรายใหญ่ของโลกได้ลดการนำเข้าเหล็กลงเนื่องจากมีการชะลอการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
3.แนวโน้ม
แนวโน้มของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 คาดว่าจะขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก ทั้งตลาดในประเทศตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และตลาดต่างประเทศจากการที่ประเทศจีนเริ่มกลับมานำเข้าวัตถุดิบสำหรับการผลิตเหล็กอีกครั้งหลังจากชะลอการนำเข้าไปช่วงหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยทางด้านลบที่พึงระวังได้แก่ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและปัญหาราคาเหล็กที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการที่ประเทศจีนเริ่มคลายความเข้มงวดจากมาตรการควบคุมการนำเข้าต่างๆ และจะกลับเข้ามาสู่ตลาดอุตสาหกรรมเหล็กอีกครั้ง ส่วนหนึ่งมาจากปริมาณสินค้าคงคลังได้ลดลงมาก ยิ่งไปกว่านั้นทางรัฐบาลจีนกำลังจะมีมาตรการควบคุมการนำเข้าเศษเหล็ก เนื่องจากความกังวลในปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้ประกอบการจีนมีแนวโน้มที่จะซื้อเศษเหล็กเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ทันกำหนดการก่อนที่มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าระวางเรือสำหรับการขนส่งเรือระหว่างประเทศและแนวโน้มการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-
การผลิต
ปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีประมาณ 2,887,219 เมตริกตัน ( ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.50 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเหล็กแผ่นเคลือบ ชนิดเหล็กแผ่นเคลือบดีบุกมีการขยายตัวมากที่สุด ร้อยละ 37.09 รองลงมาคือเหล็กทรงยาว เพิ่มขึ้น ร้อยละ 18.25
ปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2547 มีประมาณ 6,282,806 ตัน(ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก) เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเหล็กทรงยาวมีการขยายตัวมากที่สุดร้อยละ 36.72 เนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการหมู่บ้านจัดสรรต่างๆ ของภาคเอกชนที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง รองลงมาคือเหล็กแผ่นเคลือบ ชนิดแผ่นเคลือบดีบุก เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.06 ประกอบกับการที่ผู้ผลิตเกรงว่าราคาวัตถุดิบของอุตสาหกรรม เช่น เศษเหล็ก(Scrap) เหล็กแท่งเล็ก (Billet) ซึ่งมีราคาเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี2546- ต้นปี 2547 จะปรับตัวสูงขึ้น จึงทำให้ผู้ผลิตเพิ่มปริมาณการผลิตไว้เพื่อเก็บไว้เป็นสต๊อก
การใช้ในประเทศ
ปริมาณการใช้เหล็กและเหล็กกล้าในประเทศที่สำคัญในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ประมาณ 2,733,293 เมตริกตัน โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.08 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเหล็กทรงยาวซึ่งเพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.51 สำหรับเหล็กทรงแบนมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศลดลงเล็กน้อย คือ ร้อยละ 1.74
ปริมาณการใช้เหล็กและเหล็กกล้าในประเทศที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2547 ประมาณ 6,124,041 เมตริกตัน โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 24.30 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเหล็กทรงยาวซึ่งเพิ่มขึ้น ร้อยละ 34.44 รองลงมาคือ เหล็กทรงแบน ร้อยละ 16.19
การนำเข้า
มูลค่าและปริมาณการนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีจำนวนประมาณ 48,491 ล้านบาท และ 2,666,083เมตริกตัน คือ ร้อยละ 46.24 และ 21.41 ตามลำดับ ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ยูเครนและรัสเซีย โดยท่อเหล็ก มีการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากที่สุด ร้อยละ 255.85 รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น ร้อยละ 52.73
มูลค่าและปริมาณการนำเข้าเหล็กในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2547 มีจำนวนประมาณ 90,294 ล้านบาท และ 5,379,388 ตัน เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 46.02 และ 31.23 ตามลำดับ ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น รัสเซียและยูเครน โดยท่อเหล็ก มีการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากที่สุด ร้อยละ 105.25 รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น ร้อยละ 75.19
การส่งออก
มูลค่าและปริมาณการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีจำนวนประมาณ 10,302 ล้านบาท และ 414,260 ตัน โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.50 แต่ปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 6.94 เนื่องจากประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยได้ชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยการลดปริมาณการนำเข้าเหล็กลง ซึ่งตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยในช่วงไตรมาสนี้คือ จีนและมาเลเซีย สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1,212.72 โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของผลิตภัณฑ์นี้ คือ เวียดนาม รองลงมาคือ ท่อเหล็ก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 61.36 สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการส่งออกลดลงมากที่สุดในช่วงไตรมาสนี้ คือ เหล็กแผ่นรีดร้อน ลดลงร้อยละ 11.04
มูลค่าและปริมาณการส่งออกเหล็กในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2547 มีจำนวนประมาณ 19,193 ล้านบาท และ 825,315 ตัน โดยมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.18 แต่ปริมาณการส่งออกกลับลดลงร้อยละ 2.82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากการที่ราคาเหล็กได้ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปลายปี 2546 จนถึงต้นปี 2547 (พ.ย. 46- มี.ค.47) โดยตลาดส่งออกหลักคือประเทศญี่ปุ่น มาเลเซียและอเมริกา
2. สรุป
สถานการณ์เหล็กในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.50 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องและอุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศ โดยมีการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.08 ขณะเดียวกันปริมาณและมูลค่าการนำเข้าก็ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.41 และ 46.24 ตามลำดับ ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าท่อเหล็ก จากประเทศญี่ปุ่นและมาเลเซีย สำหรับการส่งออกในช่วงไตรมาสนี้มีมูลค่าการส่งออกขยายตัวขึ้นร้อยละ 13.50 แต่ปริมาณการส่งออกลดลง ร้อยละ 6.94
สำหรับสถานการณ์เหล็กในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2547 ยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการผลิตเหล็กทรงยาวซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.72 เนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการหมู่บ้านจัดสรรต่างๆ ของภาคเอกชนที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 24.30 ขณะเดียวกันอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณและมูลค่าการนำเข้าก็ยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.02 และ 31.23 ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น รัสเซียและยูเครน สำหรับการส่งออกในครึ่งปีแรกนี้มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.18 แต่ปริมาณการส่งออกลดลง ร้อยละ 2.82 ส่วนหนึ่งมาจากราคาเหล็กเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับสถานการณ์ราคาเหล็กที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2546 จนถึงต้นปี 2547 (พ.ย. 46- มี.ค. 47) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นของประเทศจีนจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องและโครงการก่อสร้างต่างๆ ภายในประเทศ ประกอบกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในหลายภูมิภาคของโลก สำหรับการเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กในช่วงเดือน มี.ค.-มิ.ย. 47 ค่อนข้างทรงตัว เมื่อเทียบกับช่วงปลายปีและต้นปี ที่ราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ เนื่องจากการที่ประเทศจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าเหล็กรายใหญ่ของโลกได้ลดการนำเข้าเหล็กลงเนื่องจากมีการชะลอการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
3.แนวโน้ม
แนวโน้มของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 คาดว่าจะขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก ทั้งตลาดในประเทศตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และตลาดต่างประเทศจากการที่ประเทศจีนเริ่มกลับมานำเข้าวัตถุดิบสำหรับการผลิตเหล็กอีกครั้งหลังจากชะลอการนำเข้าไปช่วงหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยทางด้านลบที่พึงระวังได้แก่ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและปัญหาราคาเหล็กที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการที่ประเทศจีนเริ่มคลายความเข้มงวดจากมาตรการควบคุมการนำเข้าต่างๆ และจะกลับเข้ามาสู่ตลาดอุตสาหกรรมเหล็กอีกครั้ง ส่วนหนึ่งมาจากปริมาณสินค้าคงคลังได้ลดลงมาก ยิ่งไปกว่านั้นทางรัฐบาลจีนกำลังจะมีมาตรการควบคุมการนำเข้าเศษเหล็ก เนื่องจากความกังวลในปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้ประกอบการจีนมีแนวโน้มที่จะซื้อเศษเหล็กเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ทันกำหนดการก่อนที่มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าระวางเรือสำหรับการขนส่งเรือระหว่างประเทศและแนวโน้มการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-