ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท.
กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 เนื่องจากเงินเฟ้อขึ้นสูงต่อเนื่อง
ติดต่อกันมา 6 เดือนแล้ว จากเดิมเงินเฟ้อทั่วไปไม่เกินร้อยละ 2 ล่าสุดเพิ่มเป็นร้อยละ 3.1 ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานเดิมอยู่ที่ร้อยละ 0.1-0.2 ล่าสุดอยู่ที่
ร้อยละ 0.7 และคงไม่กระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวดี ส่วนเงินทุนเคลื่อนย้ายและค่าเงินบาทยังปกติ ด้าน
นางอัจนา ไวความ ดี ผช.ผวก.สายนโยบายการเงิน ธปท. แถลงว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้นโยบายการเงินปรับไปในทิศทางที่เหมาะสมกับการ
ดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ก็คือการดูแลดุลบัญชีเดินสะพัดและอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งคณะกรรมการมีความเป็นห่วงความไม่สมดุลที่อาจทำให้เกิด
ปัญหาในทางการเงินได้ โดยเฉพาะความร้อนแรงของหนี้ภาคครัวเรือนและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หากไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจทำให้การสร้างหนี้ภาคครัว
เรือนเพิ่มสูงขึ้นมีผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาว ส่วนอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปจะปรับขึ้นอีกหรือไม่ยังบอกไม่ได้แต่การปรับดอกเบี้ยก็เพื่อรักษาความสมดุล
ระหว่างอัตราดอกเบี้ยในประเทศกับต่างประเทศด้วย (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ธ.พาณิชย์ไม่ขึ้นดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากตาม ธปท. นายประสาร ไตรรัตน์ วรกุล กก.ผจก.ธ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารยัง
ไม่มีนโยบายที่จะขึ้นดอกเบี้ยจนถึงปลายปีนี้ แม้ ธปท. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 เนื่องจากธนาคารมีสภาพคล่องส่วนเกินจำนวนมาก ส่วนสภาพ
คล่องทั้งระบบอยู่ที่ 5 แสนล้านบาท และคาดว่าสิ้นปีนี้จะลดลงเหลือ 2-3 แสนล้านบาท จึงเชื่อว่าดอกเบี้ยในปีหน้าจะปรับขึ้นได้ ส่วนการที่ ก.คลังเปิด
ขายพันธบัตรออมทรัพย์ 7 หมื่นล้านบาท สามารถดูดสภาพคล่องออกจากระบบได้เล็กน้อย เพราะที่ผ่านมากองทุนฟื้นฟูฯ ได้กู้ยืมเงินจากตลาดเงินระยะสั้น
เมื่อได้เงินจากการขายพันธบัตรออมทรัพย์ก็นำเงินมาชำระคืนตลาดเงินระยะสั้น ทำให้สภาพคล่องไม่ลดลงมากนัก ด้านนายเดชา ตุลานันท์ กก.รอง
ผจก.ใหญ่ ธ.กรุงเทพ กล่าวว่า ธปท.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาร์พีเท่ากับ สรอ. ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่ไม่มีผลต่อดอกเบี้ยในระบบ ธ.พาณิชย์ไทย
และในระยะใกล้นี้เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ดอกเบี้ยของไทยต้องปรับขึ้นตาม ในส่วนของ ธ.กรุงเทพยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในสิ้นปีนี้
แต่หากดอกเบี้ยขึ้นมากกว่านี้จะกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อในระบบได้ ในขณะที่ นายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กก.ผจก.ใหญ่ ธ.ไทยธนาคาร กล่าวว่า ธ.ไทย
ยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยสภาพคล่องส่วนเกินมีเพียง 5,000-10,000 ล้านบาท เป็นอัตราที่จัดการได้ ส่วนนายสุภัค ศิวะรักษ์ กก.ผจก.ใหญ่ ธ.ทหาร
ไทย กล่าวว่า ธนาคารจะยังไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากยังมีสภาพคล่องส่วนเกินมาก แต่หากธนาคารอื่นปรับก็จะพิจารณาทบทวนอีกครั้ง
(โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์)
3. ผลสำรวจร้อยละ 70 เห็นด้วยกับการแยกฝ่ายกำกับสถาบันการเงินออกจาก ธปท. นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผอ.นโยบายระบบการเงิน
สนง.เศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า จากการสำรวจความเห็นของผู้บริหารสถาบันการเงินทุกประเภททั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ธ.พาณิชย์ บริษัทประกัน
องค์กรกำกับต่าง ๆ จำนวน 200 คน พบว่าร้อยละ 70 ต้องการให้แยกฝ่ายกำกับสถาบันการเงินออกมาเป็นองค์กรใหม่ โดยร้อยละ 80 เชื่อมั่นว่าจะ
เป็นการป้องกันไม่ให้ผู้บริหาร ธปท. ฉวยโอกาสจากการเหลื่อมล้ำในการกำกับดูแล ในขณะที่ร้อยละ 85 เห็นว่าการที่ฝ่ายกำกับฯ อยู่กับ ธปท. ที่มีหน้าที่
ดูแลเสถียรภาพการเงินทำให้เกิดความรับผิดชอบที่ไม่ชัดเจน และร้อยละ 71 เห็นว่าการรวมอยู่ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการบริหารงาน ซึ่งจากการวิจัย
เห็นว่าประเทศไทยควรจะมีองค์กรกำกับเพียงแห่งเดียว โดยการรวมอำนาจการกำกับสถาบันการเงินมาไว้รวมกัน โดยเบื้องต้นอาจจะมีการตั้งคณะกรรม
การขึ้นมา 1 ชุด ซึ่งเป็นตัวแทนจาก ก.คลัง ธปท. สมาคมประกัน และ กลต. เพื่อทำการจัดสรรกระจายอำนาจในการตรวจสอบสถาบันการเงินแต่ละ
องค์กรให้มีความสมดุลพร้อมตั้งองค์กรกำกับ ด้านนายกิตติ ลิ่มสกุล ผช.รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแยกฝ่ายกำกับฯ ออกจาก ธปท.
เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคตและจำเป็นมากในระบบการเงินไทย หากไทยไม่รีบดำเนินการจะทำให้ล้าหลังกว่าจีนและเกาหลีใต้ ที่มีการจัดตั้งองค์กำกับ
สถาบันการเงินขึ้นมาใหม่เรียบร้อยแล้ว (โพสต์ทูเดย์)
4. แนะรัฐลงทุนเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กก.ผจก.สายวิจัยธุรกิจ บ.ภัทร จก. เปิดเผยว่า ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ภาคเอกชนจะให้ความสำคัญกับภาคการคลังมาก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกจะมีความท้าทายมากยิ่งขึ้น แต่อัตราการขยายตัวจะชะลอลง ยกเว้นยุโรปที่
เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 2-3 เนื่องจาก ธ.กลางของแต่ละประเทศมีแนวโน้มที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น อีกทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจะไม่กระทบ
ต่อไทยถึงขั้นรุนแรง สำหรับปัจจัยที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าจะมีภาคเอกชนเป็นตัวกระตุ้น โดยภาครัฐบาลจะต้องลงทุนเพิ่ม
มากขึ้น ไม่ควรลดบทบาทลง เพราะที่ผ่านมาในช่วงปี 44-46 รัฐลงทุนเพิ่มร้อยละ 12 ถือว่าไม่มาก การลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากภาคเอกชน ส่วนนาย
อาคม เติมพิทยไพสิฐ ที่ปรึกษาเลธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า การที่รัฐลดบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจลงโดยทำ
งปม.สมดุลนั้นไม่ได้หมายความว่ารัฐจะไม่กระตุ้นเศรษฐกิจเลย ความจำเป็นในการกระตุ้นยังมีอยู่ เพียงแต่พยายามดูแลการใช้จ่ายให้คุ้มค่าและมีประสิทธิ
ภาพมากที่สุด ขณะที่กำลังการผลิตภาคเอกชนมีสูงถึงร้อยละ 75-80 ซึ่งถือว่าเต็มกำลังการผลิตแล้ว แต่ในบางอุตสาหกรรมยังมีการผลิตเกินร้อยละ 100
ซึ่งเอกชนต้องขยายการลงทุนเพิ่มอีกได้ ถือว่าเป็นความได้เปรียบของการค้า (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนในเดือน ก.ค.47 ของ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากเดือนก่อนสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 25 ส.ค.47
ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนซึ่งมีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปในเดือน ก.ค.47 ของ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากเดือนก่อน สูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.47
และสูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 ในเดือน มิ.ย.47 โดยเป็นผลจากยอดสั่งซื้อสินค้าเกี่ยวกับการขนส่งโดยรวม
เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 โดยเฉพาะเครื่องบินโดยสารที่มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากเดือนก่อนในขณะที่ยอดสั่งซื้อรถยนต์และเครื่องบินรบลดลง โดยหาก
ไม่รวมสินค้าเกี่ยวกับการขนส่งดังกล่าวแล้ว ยอดสั่งซื้อในเดือน ก.ค.47 จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 ภาวะการจ้างงานใน สรอ.ขยายตัวอย่างมีเสถียร
ภาพและผลผลิตก็เพิ่มขึ้นจากประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้นซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ ธ.กลาง สรอ.ว่าโรงงานใน สรอ.เดินเครื่องผลิตสินค้าร้อยละ
76.3 ของกำลังการผลิตที่มีอยู่ในขณะนี้ สูงสุดในรอบกว่า 3 ปี (รอยเตอร์) 2. ยอดขายบ้านใหม่ใน สรอ.ลดลงร้อยละ 6.4 ในเดือน ก.ค.47 ลดลง
มากกว่าที่คาดไว้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 25 ส.ค.47 ยอดขายบ้านใหม่ใน สรอ.ลดลงร้อยละ 6.4 ในเดือน ก.ค.47 มีจำนวน 1.134 ล้านหน่วย
จาก 1.211 ล้านหน่วยในเดือน มิ.ย.47 และต่ำกว่าที่คาดไว้จากผลสำรวจของรอยเตอร์ว่าจะมีจำนวน 1.29 ล้านหน่วย โดยหากยอดขายยังอยู่ในระดับ
นี้จะใช้เวลา 4.2 เดือนจึงจะขายบ้านที่มีอยู่ในตลาดหมด นับเป็นระยะเวลาสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.46 อันเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านเพิ่มขึ้น
จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ สรอ.กำลังขยายตัวซึ่งส่งผลให้คำขอกู้รายใหม่จำนวนมากไม่ผ่านการอนุมัติ ในขณะที่ยอดขายบ้านมือสองก็ลดลงเช่นเดียวกัน
แต่ยังคงขยายตัวในอัตราสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 นับตั้งแต่มีการบันทึกตัวเลขนี้ (รอยเตอร์)
3. ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าในเดือน ก.ค.47 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 รายงานจากโตเกียว เมื่อ 26 ส.ค.47 ก.คลังญี่ปุ่น เปิดเผยว่า
ในเดือน ก.ค.47 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 โดยเพิ่มขึ้นอยู่ที่จำนวน 1.1378 ล้านล้านเยน (10.33 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.)
เทียบต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 44.2 ซึ่งสูงกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้น 882.4 พัน ล.เยน หรือร้อยละ 10.8 ทั้งนี้ สาเหตุที่ญี่ปุ่นเกิน
ดุลการค้าจำนวนมากเนื่องจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง โดยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14.3 ในเดือน ก.ค.47 เมื่อเทียบต่อปี จากยอดขายรถยนต์ ผลิตภัณฑ์เหล็ก
กล้า กล้องดิจิตอล และโทรทัศน์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เมื่อ 2 เดือนก่อนหน้านี้ตัวเลขการส่งออกลดลงต่อเนื่อง โดยเดือน มิ.ย.47 ลดลงร้อยละ 0.3 ส่วนการ
นำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 เทียบต่อปี เนื่องจากนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.5 แต่ก็ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.2 ทั้งนี้ ญี่ปุ่นก็ยังมีความกังวล
จากการที่ภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.และจีนชะลอตัวลง ซึ่งทั้ง 2 ประเทศเป็นประเทศคู่ค้าส่งออกสำคัญของญี่ปุ่น อันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้ อย่าง
ไรก็ตาม จากการที่มาตรการของรัฐบาลจีนเริ่มส่งผลในการชะลอการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเกินไปทำให้ธุรกิจคลายความกังวลว่าจะได้รับผล
กระทบจากมาตรการดังกล่าว และเริ่มย้ายฐานการผลิตเข้าไปยังจีน ซึ่งส่งผลให้มูลค่าการค้าของทั้ง 2 ประเทศเพิ่มขึ้น โดยในเดือน ก.ค.47 ญี่ปุ่นขาด
ดุลการค้ากับจีนจำนวน 125.546 พัน ล.เยน หรือลดลงร้อยละ 22.2 จากปีก่อนหน้า ขณะที่นำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 เทียบต่อปี โดยญี่ปุ่นนำเข้า
สินค้าจากจีนมากกว่าประเทศอื่น และจีนเป็นประเทศเป็นประเทศคู่ค้าส่งออกที่สำคัญเป็นอันดับ 2 รองจาก สรอ. ทั้งนี้ จากข้อมูลก่อนหน้านี้แสดงถึงมูลค่า
การส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่นไปยังประเทศจีนและฮ่องกงในงวด 6 เดือนแรกของปี 47 มีมูลค่ารวม 10.4 ล้านล้านเยน ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศ สรอ.
ที่มีมูลค่า 10.5 ล้านล้านเยน ทำให้คาดว่ามูลค่าการค้าของญี่ปุ่นกับจีนจะสูงกว่ากับประเทศ สรอ.เป็นครั้งแรกในปีนี้ (รอยเตอร์)
4. ผลสำรวจคาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ในเดือนก.ค.จะเพิ่มขึ้น รายงานจากโซล เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 47 ผลการสำรวจ
นักเศรษฐศาสตร์จำนวน 10 คนของรอยเตอร์คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ในเดือนก.ค. 47 จะเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 0.5 หลังจากที่
ลดลงร้อยละ 2.0 (ตัวเลขที่ปรับแล้ว) ในเดือนมิ.ย. ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวโน้มปัจจุบันคาดว่าผลผลิตดังกล่าวจะลดลง นักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าเกาหลีใต้
ต้องเผชิญกับความเสี่ยงเนื่องจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันรวมทั้งอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง นอกจากนั้นการส่งออกสินค้า IT คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์
เครื่องมือสื่อสารในเดือนก.ค. ล้วนชะลอตัวทั้งสิ้นจึงสร้างความวิตกต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ( รอยเตอร์)
5. เศรษฐกิจมาเลเซียในไตรมาสที่ 2 ปึนี้เติบโตสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี รายงานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 47 ธ.กลางมา
เลเซียเปิดเผยว่า การขยายตัวอย่างมากของการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่งผลให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ปีนี้เติบโตอย่างแข็งแกร่งเหนือความคาด
หมายถึงร้อยละ 8.0 จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.6 ในไตรมาสที่ 1 โดยมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องมานับตั้ง
แต่กลางปี 46 และในอัตราที่รวดเร็วมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 43 คาดว่าการขยายตัวอย่างรวดเร็วดังกล่าวจะต่อเนื่องไปจนถึงปลายปีนี้ นอกจากนั้นมาเลเซีย
ประสบกับปัญหาเงินเฟ้อเพียงเล็กน้อย ธ.กลางมาเลเซียจึงยังไม่ได้มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนภาคอุตสาหกรรมการผลิตนั้นยังคงขยาย
ตัวอย่างต่อเนื่องในระดับสูงโดยได้รับผลดีจากอุปสงค์ในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยร้อยละ 18.3 ของเศรษฐกิจที่ขยายตัว
มาจากการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศนอกจากนั้นการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งดังกล่าวมีส่วนมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศด้วย ( รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 26 ส.ค. 47 25 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.508 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.3095/41.5926 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.5 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 607.69/15.97 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,900/8,000 7,850/7,950 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 37.05 39.21 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.79*/14.59 21.19/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 24 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ธปท. ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท.
กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 เนื่องจากเงินเฟ้อขึ้นสูงต่อเนื่อง
ติดต่อกันมา 6 เดือนแล้ว จากเดิมเงินเฟ้อทั่วไปไม่เกินร้อยละ 2 ล่าสุดเพิ่มเป็นร้อยละ 3.1 ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานเดิมอยู่ที่ร้อยละ 0.1-0.2 ล่าสุดอยู่ที่
ร้อยละ 0.7 และคงไม่กระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวดี ส่วนเงินทุนเคลื่อนย้ายและค่าเงินบาทยังปกติ ด้าน
นางอัจนา ไวความ ดี ผช.ผวก.สายนโยบายการเงิน ธปท. แถลงว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้นโยบายการเงินปรับไปในทิศทางที่เหมาะสมกับการ
ดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ก็คือการดูแลดุลบัญชีเดินสะพัดและอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งคณะกรรมการมีความเป็นห่วงความไม่สมดุลที่อาจทำให้เกิด
ปัญหาในทางการเงินได้ โดยเฉพาะความร้อนแรงของหนี้ภาคครัวเรือนและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หากไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจทำให้การสร้างหนี้ภาคครัว
เรือนเพิ่มสูงขึ้นมีผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาว ส่วนอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปจะปรับขึ้นอีกหรือไม่ยังบอกไม่ได้แต่การปรับดอกเบี้ยก็เพื่อรักษาความสมดุล
ระหว่างอัตราดอกเบี้ยในประเทศกับต่างประเทศด้วย (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ธ.พาณิชย์ไม่ขึ้นดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากตาม ธปท. นายประสาร ไตรรัตน์ วรกุล กก.ผจก.ธ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารยัง
ไม่มีนโยบายที่จะขึ้นดอกเบี้ยจนถึงปลายปีนี้ แม้ ธปท. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 เนื่องจากธนาคารมีสภาพคล่องส่วนเกินจำนวนมาก ส่วนสภาพ
คล่องทั้งระบบอยู่ที่ 5 แสนล้านบาท และคาดว่าสิ้นปีนี้จะลดลงเหลือ 2-3 แสนล้านบาท จึงเชื่อว่าดอกเบี้ยในปีหน้าจะปรับขึ้นได้ ส่วนการที่ ก.คลังเปิด
ขายพันธบัตรออมทรัพย์ 7 หมื่นล้านบาท สามารถดูดสภาพคล่องออกจากระบบได้เล็กน้อย เพราะที่ผ่านมากองทุนฟื้นฟูฯ ได้กู้ยืมเงินจากตลาดเงินระยะสั้น
เมื่อได้เงินจากการขายพันธบัตรออมทรัพย์ก็นำเงินมาชำระคืนตลาดเงินระยะสั้น ทำให้สภาพคล่องไม่ลดลงมากนัก ด้านนายเดชา ตุลานันท์ กก.รอง
ผจก.ใหญ่ ธ.กรุงเทพ กล่าวว่า ธปท.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาร์พีเท่ากับ สรอ. ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่ไม่มีผลต่อดอกเบี้ยในระบบ ธ.พาณิชย์ไทย
และในระยะใกล้นี้เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ดอกเบี้ยของไทยต้องปรับขึ้นตาม ในส่วนของ ธ.กรุงเทพยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในสิ้นปีนี้
แต่หากดอกเบี้ยขึ้นมากกว่านี้จะกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อในระบบได้ ในขณะที่ นายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กก.ผจก.ใหญ่ ธ.ไทยธนาคาร กล่าวว่า ธ.ไทย
ยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยสภาพคล่องส่วนเกินมีเพียง 5,000-10,000 ล้านบาท เป็นอัตราที่จัดการได้ ส่วนนายสุภัค ศิวะรักษ์ กก.ผจก.ใหญ่ ธ.ทหาร
ไทย กล่าวว่า ธนาคารจะยังไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากยังมีสภาพคล่องส่วนเกินมาก แต่หากธนาคารอื่นปรับก็จะพิจารณาทบทวนอีกครั้ง
(โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์)
3. ผลสำรวจร้อยละ 70 เห็นด้วยกับการแยกฝ่ายกำกับสถาบันการเงินออกจาก ธปท. นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผอ.นโยบายระบบการเงิน
สนง.เศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า จากการสำรวจความเห็นของผู้บริหารสถาบันการเงินทุกประเภททั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ธ.พาณิชย์ บริษัทประกัน
องค์กรกำกับต่าง ๆ จำนวน 200 คน พบว่าร้อยละ 70 ต้องการให้แยกฝ่ายกำกับสถาบันการเงินออกมาเป็นองค์กรใหม่ โดยร้อยละ 80 เชื่อมั่นว่าจะ
เป็นการป้องกันไม่ให้ผู้บริหาร ธปท. ฉวยโอกาสจากการเหลื่อมล้ำในการกำกับดูแล ในขณะที่ร้อยละ 85 เห็นว่าการที่ฝ่ายกำกับฯ อยู่กับ ธปท. ที่มีหน้าที่
ดูแลเสถียรภาพการเงินทำให้เกิดความรับผิดชอบที่ไม่ชัดเจน และร้อยละ 71 เห็นว่าการรวมอยู่ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการบริหารงาน ซึ่งจากการวิจัย
เห็นว่าประเทศไทยควรจะมีองค์กรกำกับเพียงแห่งเดียว โดยการรวมอำนาจการกำกับสถาบันการเงินมาไว้รวมกัน โดยเบื้องต้นอาจจะมีการตั้งคณะกรรม
การขึ้นมา 1 ชุด ซึ่งเป็นตัวแทนจาก ก.คลัง ธปท. สมาคมประกัน และ กลต. เพื่อทำการจัดสรรกระจายอำนาจในการตรวจสอบสถาบันการเงินแต่ละ
องค์กรให้มีความสมดุลพร้อมตั้งองค์กรกำกับ ด้านนายกิตติ ลิ่มสกุล ผช.รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแยกฝ่ายกำกับฯ ออกจาก ธปท.
เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคตและจำเป็นมากในระบบการเงินไทย หากไทยไม่รีบดำเนินการจะทำให้ล้าหลังกว่าจีนและเกาหลีใต้ ที่มีการจัดตั้งองค์กำกับ
สถาบันการเงินขึ้นมาใหม่เรียบร้อยแล้ว (โพสต์ทูเดย์)
4. แนะรัฐลงทุนเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กก.ผจก.สายวิจัยธุรกิจ บ.ภัทร จก. เปิดเผยว่า ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ภาคเอกชนจะให้ความสำคัญกับภาคการคลังมาก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกจะมีความท้าทายมากยิ่งขึ้น แต่อัตราการขยายตัวจะชะลอลง ยกเว้นยุโรปที่
เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 2-3 เนื่องจาก ธ.กลางของแต่ละประเทศมีแนวโน้มที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น อีกทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจะไม่กระทบ
ต่อไทยถึงขั้นรุนแรง สำหรับปัจจัยที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าจะมีภาคเอกชนเป็นตัวกระตุ้น โดยภาครัฐบาลจะต้องลงทุนเพิ่ม
มากขึ้น ไม่ควรลดบทบาทลง เพราะที่ผ่านมาในช่วงปี 44-46 รัฐลงทุนเพิ่มร้อยละ 12 ถือว่าไม่มาก การลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากภาคเอกชน ส่วนนาย
อาคม เติมพิทยไพสิฐ ที่ปรึกษาเลธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า การที่รัฐลดบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจลงโดยทำ
งปม.สมดุลนั้นไม่ได้หมายความว่ารัฐจะไม่กระตุ้นเศรษฐกิจเลย ความจำเป็นในการกระตุ้นยังมีอยู่ เพียงแต่พยายามดูแลการใช้จ่ายให้คุ้มค่าและมีประสิทธิ
ภาพมากที่สุด ขณะที่กำลังการผลิตภาคเอกชนมีสูงถึงร้อยละ 75-80 ซึ่งถือว่าเต็มกำลังการผลิตแล้ว แต่ในบางอุตสาหกรรมยังมีการผลิตเกินร้อยละ 100
ซึ่งเอกชนต้องขยายการลงทุนเพิ่มอีกได้ ถือว่าเป็นความได้เปรียบของการค้า (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนในเดือน ก.ค.47 ของ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากเดือนก่อนสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 25 ส.ค.47
ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนซึ่งมีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปในเดือน ก.ค.47 ของ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากเดือนก่อน สูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.47
และสูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 ในเดือน มิ.ย.47 โดยเป็นผลจากยอดสั่งซื้อสินค้าเกี่ยวกับการขนส่งโดยรวม
เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 โดยเฉพาะเครื่องบินโดยสารที่มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากเดือนก่อนในขณะที่ยอดสั่งซื้อรถยนต์และเครื่องบินรบลดลง โดยหาก
ไม่รวมสินค้าเกี่ยวกับการขนส่งดังกล่าวแล้ว ยอดสั่งซื้อในเดือน ก.ค.47 จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 ภาวะการจ้างงานใน สรอ.ขยายตัวอย่างมีเสถียร
ภาพและผลผลิตก็เพิ่มขึ้นจากประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้นซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ ธ.กลาง สรอ.ว่าโรงงานใน สรอ.เดินเครื่องผลิตสินค้าร้อยละ
76.3 ของกำลังการผลิตที่มีอยู่ในขณะนี้ สูงสุดในรอบกว่า 3 ปี (รอยเตอร์) 2. ยอดขายบ้านใหม่ใน สรอ.ลดลงร้อยละ 6.4 ในเดือน ก.ค.47 ลดลง
มากกว่าที่คาดไว้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 25 ส.ค.47 ยอดขายบ้านใหม่ใน สรอ.ลดลงร้อยละ 6.4 ในเดือน ก.ค.47 มีจำนวน 1.134 ล้านหน่วย
จาก 1.211 ล้านหน่วยในเดือน มิ.ย.47 และต่ำกว่าที่คาดไว้จากผลสำรวจของรอยเตอร์ว่าจะมีจำนวน 1.29 ล้านหน่วย โดยหากยอดขายยังอยู่ในระดับ
นี้จะใช้เวลา 4.2 เดือนจึงจะขายบ้านที่มีอยู่ในตลาดหมด นับเป็นระยะเวลาสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.46 อันเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านเพิ่มขึ้น
จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ สรอ.กำลังขยายตัวซึ่งส่งผลให้คำขอกู้รายใหม่จำนวนมากไม่ผ่านการอนุมัติ ในขณะที่ยอดขายบ้านมือสองก็ลดลงเช่นเดียวกัน
แต่ยังคงขยายตัวในอัตราสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 นับตั้งแต่มีการบันทึกตัวเลขนี้ (รอยเตอร์)
3. ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าในเดือน ก.ค.47 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 รายงานจากโตเกียว เมื่อ 26 ส.ค.47 ก.คลังญี่ปุ่น เปิดเผยว่า
ในเดือน ก.ค.47 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 โดยเพิ่มขึ้นอยู่ที่จำนวน 1.1378 ล้านล้านเยน (10.33 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.)
เทียบต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 44.2 ซึ่งสูงกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้น 882.4 พัน ล.เยน หรือร้อยละ 10.8 ทั้งนี้ สาเหตุที่ญี่ปุ่นเกิน
ดุลการค้าจำนวนมากเนื่องจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง โดยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14.3 ในเดือน ก.ค.47 เมื่อเทียบต่อปี จากยอดขายรถยนต์ ผลิตภัณฑ์เหล็ก
กล้า กล้องดิจิตอล และโทรทัศน์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เมื่อ 2 เดือนก่อนหน้านี้ตัวเลขการส่งออกลดลงต่อเนื่อง โดยเดือน มิ.ย.47 ลดลงร้อยละ 0.3 ส่วนการ
นำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 เทียบต่อปี เนื่องจากนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.5 แต่ก็ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.2 ทั้งนี้ ญี่ปุ่นก็ยังมีความกังวล
จากการที่ภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.และจีนชะลอตัวลง ซึ่งทั้ง 2 ประเทศเป็นประเทศคู่ค้าส่งออกสำคัญของญี่ปุ่น อันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้ อย่าง
ไรก็ตาม จากการที่มาตรการของรัฐบาลจีนเริ่มส่งผลในการชะลอการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเกินไปทำให้ธุรกิจคลายความกังวลว่าจะได้รับผล
กระทบจากมาตรการดังกล่าว และเริ่มย้ายฐานการผลิตเข้าไปยังจีน ซึ่งส่งผลให้มูลค่าการค้าของทั้ง 2 ประเทศเพิ่มขึ้น โดยในเดือน ก.ค.47 ญี่ปุ่นขาด
ดุลการค้ากับจีนจำนวน 125.546 พัน ล.เยน หรือลดลงร้อยละ 22.2 จากปีก่อนหน้า ขณะที่นำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 เทียบต่อปี โดยญี่ปุ่นนำเข้า
สินค้าจากจีนมากกว่าประเทศอื่น และจีนเป็นประเทศเป็นประเทศคู่ค้าส่งออกที่สำคัญเป็นอันดับ 2 รองจาก สรอ. ทั้งนี้ จากข้อมูลก่อนหน้านี้แสดงถึงมูลค่า
การส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่นไปยังประเทศจีนและฮ่องกงในงวด 6 เดือนแรกของปี 47 มีมูลค่ารวม 10.4 ล้านล้านเยน ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศ สรอ.
ที่มีมูลค่า 10.5 ล้านล้านเยน ทำให้คาดว่ามูลค่าการค้าของญี่ปุ่นกับจีนจะสูงกว่ากับประเทศ สรอ.เป็นครั้งแรกในปีนี้ (รอยเตอร์)
4. ผลสำรวจคาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ในเดือนก.ค.จะเพิ่มขึ้น รายงานจากโซล เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 47 ผลการสำรวจ
นักเศรษฐศาสตร์จำนวน 10 คนของรอยเตอร์คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ในเดือนก.ค. 47 จะเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 0.5 หลังจากที่
ลดลงร้อยละ 2.0 (ตัวเลขที่ปรับแล้ว) ในเดือนมิ.ย. ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวโน้มปัจจุบันคาดว่าผลผลิตดังกล่าวจะลดลง นักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าเกาหลีใต้
ต้องเผชิญกับความเสี่ยงเนื่องจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันรวมทั้งอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง นอกจากนั้นการส่งออกสินค้า IT คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์
เครื่องมือสื่อสารในเดือนก.ค. ล้วนชะลอตัวทั้งสิ้นจึงสร้างความวิตกต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ( รอยเตอร์)
5. เศรษฐกิจมาเลเซียในไตรมาสที่ 2 ปึนี้เติบโตสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี รายงานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 47 ธ.กลางมา
เลเซียเปิดเผยว่า การขยายตัวอย่างมากของการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่งผลให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ปีนี้เติบโตอย่างแข็งแกร่งเหนือความคาด
หมายถึงร้อยละ 8.0 จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.6 ในไตรมาสที่ 1 โดยมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องมานับตั้ง
แต่กลางปี 46 และในอัตราที่รวดเร็วมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 43 คาดว่าการขยายตัวอย่างรวดเร็วดังกล่าวจะต่อเนื่องไปจนถึงปลายปีนี้ นอกจากนั้นมาเลเซีย
ประสบกับปัญหาเงินเฟ้อเพียงเล็กน้อย ธ.กลางมาเลเซียจึงยังไม่ได้มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนภาคอุตสาหกรรมการผลิตนั้นยังคงขยาย
ตัวอย่างต่อเนื่องในระดับสูงโดยได้รับผลดีจากอุปสงค์ในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยร้อยละ 18.3 ของเศรษฐกิจที่ขยายตัว
มาจากการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศนอกจากนั้นการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งดังกล่าวมีส่วนมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศด้วย ( รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 26 ส.ค. 47 25 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.508 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.3095/41.5926 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.5 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 607.69/15.97 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,900/8,000 7,850/7,950 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 37.05 39.21 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.79*/14.59 21.19/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 24 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-