‘ปชป.’สัมมนาคณะกรรมการสาขาพรรคฯ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคเหนือ ครั้งที่ 2 ‘สุทัศน์’ยันยังอยู่กับพรรคฯ พร้อมที่จะลงสมัครทั้งระบบเขต หากพรรคต้องการเพราะสู้มาแต่ต้น ‘เลขาฯปชป.’มั่นใจในศักยภาพได้ที่นั่งเพิ่มในอีสานอย่างแน่นอน ทางด้าน ‘หัวหน้าพรรคปชป.’ กล่าวปิดการสัมมนาถึง สถานการณ์การเมือง ณ ขณะนี้ ’เหมือนว่าปลาเล็กจะกินปลาใหญ่’เพราะมี 4 ส.
วานนี้( 26 ส.ค. 47) เวลา 15.00 น. ที่โรงแรมรัชดาซิตี้ ได้มีการจัดสัมมนาคณะกรรมการสาขาพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคเหนือ ครั้งที่ 2 มีผู้เข้าร่วมราว 400 คน โดยมีแกนนำพรรค อาทิ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคฯ นายสุทัศน์ เงินหมื่น รองหัวหน้าพรรค นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค เข้าร่วมกล่าวปิดการสัมมนาดังกล่าว
นายสุทัศน์ ขึ้นกล่าวเป็นคนแรกว่า ในช่วง2-3 วันที่ผ่านมาที่มีข่าวว่าตนจะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองอื่นนั้น ตนรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แต่ยืนยันว่าตนจะไม่ออก ไม่ไป ที่มีข่าวดังกล่าวออกมานั้น เป็นเพราะตนไม่สามารถที่จะช่วยเหลือน้องๆ ในเรื่องการเงินได้ เพราะตนไม่มีเงิน ตนจึงนำเรื่องดังกล่าวปรึกษากับนายบัญญัติ และนายประดิษฐ์ เพื่อขอลาออกจากตำแหน่ง แต่ทั้ง 2 คนต่างขอให้ตนทำงานกับพรรคต่อไป เพราะว่าตนได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกเลือกให้มาเป็นรองหัวหน้าพรรค และเห็นว่าตนได้ต่อสู้มาทั้งชีวิตที่จะทำงานให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้นายสุทัศน์ยืนยันว่าพร้อมที่จะลงสมัครทั้งระบบเขตหรือระบบบัญชีรายชื่อ หากพรรคต้องการ และพร้อมที่จะเลิกเล่นการเมือง หากผู้ใหญ่ของพรรคเห็นสมควร
นายสุทัศน์ กล่าวว่า มีสุภาษิตบทหนึ่งของภาคอีสานกล่าวไว้ว่า น่าแปลกใจที่ปลาซิวจะรุมกินจระเข้จนช้ำ ให้จระเข้ทนไม่ได้ต้องไปหลบอยู่ในหิน ในถ้ำ จากภาษิตดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พลังมวลชนจะสามารถชนะทุกสิ่งได้ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธวิธีของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องอาศัยพลังมวลชน ในการเอาชนะความไม่ถูกต้อง ที่ผ่านมาพรรคยอมถอยมาชนกำแพง เพื่อเตรียมเดินหน้าสู้กับพรรคไทยรักไทย ขณะนี้เชื่อว่าจะสามารถสู้กับพรรคใหญ่เช่นนั้นได้อย่างแน่นอน
ด้านนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคฯ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. นี้ แกนนำในพื้นที่ของพรรคทุกคนจะลงพื้นที่ทำงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยความพร้อมและศักยภาพที่มีอยู่ และมั่นใจว่าในพื้นที่ภาคอีสาน พรรคจะได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นขอให้ทุกคนร่วมใจกันตั้งใจทำงานตามยุทธศาสตร์ที่ได้วางไว้
ส่วนนายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคฯ กล่าวปิดการประชุมว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ดูเหมือนว่าปลาเล็กจะกินปลาใหญ่ในพื้นที่หัวเมืองต่างๆของประเทศ ตนเชื่อว่าวันที่ 29 ส.ค. นี้ปลาเล็กจะกินปลาใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯอย่างแน่นอน ทั้งนี้ตนเห็นว่าพรรคไทยรักไทยไม่ได้ใหญ่อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ที่ดูใหญ่เพราะมี 4 ส. คือ 1.สร้างภาพ โดยการใช้อำนาจรัฐเบ็ดเสร็จยึดสื่อกลบความผิดพลาดของรัฐบาล 2. สร้างเรื่อง ให้ประชาชนเกิดความตื่นเต้น ในช่วงที่การบริหารประเทศมีปัญหา 3. สร้างข่าวกลบข่าว เช่นกรณีข่าวการซื้อทีมลิเวอร์พูลก็เพื่อต้องการกลบข่าวการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 4. สร้างความหวัง เช่น กรณีการประกาศสงครามกับความยากจน หรือ การพักชำระหนี้เกษตรกร อย่างไรก็ตามปลาใหญ่ตัวนี้มีแผลเต็มตัวที่นับวันจะพุพองมากขึ้น ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าปลาเล็กจะยังกินปลาใหญ่อยู่หรือเปล่า เพราะมันมีแผลที่เน่าแฟะ จนเกินที่จะกล้ำกลืนกินได้
นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า สำหรับสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่พรรคไทยรักไทยไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งนั้น เพราะรู้ว่า คนกรุงเทพฯรู้ทันว่าพรรคไทยรักไทย ไม่ใช่ของจริง และจะอยู่ได้ไม่นาน และเมื่อพรรคไทยรักไทยตัดสินใจไม่ส่งผู้สมัคร แต่กลับให้การสนับสนุนผู้สมัครบางคน ตนเห็นว่าจะทำให้ผู้สมัครคนดังกล่าวสอบตกอย่างแน่นอน ซึ่งตอนหลังก็ขออยากแสดงความเสียใจแก่บุคคลนั้น
ทั้งนี้ตนต้องการชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลชุดนี้มีจุดอ่อน 4 จุด คือ1 .ผลประโยชน์ทับซ้อน 2. การดับเบิ้ลแสตนดาร์ด 3. อำนาจนิยม บริหารแบบซีอีโอ 4. ทำให้สังคมอ่อนแอ อย่างไรก็ตามปัญหาในประเทศขณะนี้ นับวันจะยิ่งลามไปในระดับรากหญ้ามากขึ้น แต่นายกรัฐมนตรีก็ยังคงมองเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะยังนั่งบริหารประเทศและออกเดินสายแจกเงินอย่างสบายใจอยู่ ซึ่งตนคิดว่า ถ้าเราสามารถทำให้ประชาชนรู้ทันรัฐบาลมากขึ้นจะเป็นพลังทำลายความไม่ถูกต้องที่อยู่ให้หมดไปได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 27 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-
วานนี้( 26 ส.ค. 47) เวลา 15.00 น. ที่โรงแรมรัชดาซิตี้ ได้มีการจัดสัมมนาคณะกรรมการสาขาพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคเหนือ ครั้งที่ 2 มีผู้เข้าร่วมราว 400 คน โดยมีแกนนำพรรค อาทิ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคฯ นายสุทัศน์ เงินหมื่น รองหัวหน้าพรรค นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค เข้าร่วมกล่าวปิดการสัมมนาดังกล่าว
นายสุทัศน์ ขึ้นกล่าวเป็นคนแรกว่า ในช่วง2-3 วันที่ผ่านมาที่มีข่าวว่าตนจะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองอื่นนั้น ตนรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แต่ยืนยันว่าตนจะไม่ออก ไม่ไป ที่มีข่าวดังกล่าวออกมานั้น เป็นเพราะตนไม่สามารถที่จะช่วยเหลือน้องๆ ในเรื่องการเงินได้ เพราะตนไม่มีเงิน ตนจึงนำเรื่องดังกล่าวปรึกษากับนายบัญญัติ และนายประดิษฐ์ เพื่อขอลาออกจากตำแหน่ง แต่ทั้ง 2 คนต่างขอให้ตนทำงานกับพรรคต่อไป เพราะว่าตนได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกเลือกให้มาเป็นรองหัวหน้าพรรค และเห็นว่าตนได้ต่อสู้มาทั้งชีวิตที่จะทำงานให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้นายสุทัศน์ยืนยันว่าพร้อมที่จะลงสมัครทั้งระบบเขตหรือระบบบัญชีรายชื่อ หากพรรคต้องการ และพร้อมที่จะเลิกเล่นการเมือง หากผู้ใหญ่ของพรรคเห็นสมควร
นายสุทัศน์ กล่าวว่า มีสุภาษิตบทหนึ่งของภาคอีสานกล่าวไว้ว่า น่าแปลกใจที่ปลาซิวจะรุมกินจระเข้จนช้ำ ให้จระเข้ทนไม่ได้ต้องไปหลบอยู่ในหิน ในถ้ำ จากภาษิตดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พลังมวลชนจะสามารถชนะทุกสิ่งได้ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธวิธีของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องอาศัยพลังมวลชน ในการเอาชนะความไม่ถูกต้อง ที่ผ่านมาพรรคยอมถอยมาชนกำแพง เพื่อเตรียมเดินหน้าสู้กับพรรคไทยรักไทย ขณะนี้เชื่อว่าจะสามารถสู้กับพรรคใหญ่เช่นนั้นได้อย่างแน่นอน
ด้านนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคฯ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. นี้ แกนนำในพื้นที่ของพรรคทุกคนจะลงพื้นที่ทำงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยความพร้อมและศักยภาพที่มีอยู่ และมั่นใจว่าในพื้นที่ภาคอีสาน พรรคจะได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นขอให้ทุกคนร่วมใจกันตั้งใจทำงานตามยุทธศาสตร์ที่ได้วางไว้
ส่วนนายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคฯ กล่าวปิดการประชุมว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ดูเหมือนว่าปลาเล็กจะกินปลาใหญ่ในพื้นที่หัวเมืองต่างๆของประเทศ ตนเชื่อว่าวันที่ 29 ส.ค. นี้ปลาเล็กจะกินปลาใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯอย่างแน่นอน ทั้งนี้ตนเห็นว่าพรรคไทยรักไทยไม่ได้ใหญ่อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ที่ดูใหญ่เพราะมี 4 ส. คือ 1.สร้างภาพ โดยการใช้อำนาจรัฐเบ็ดเสร็จยึดสื่อกลบความผิดพลาดของรัฐบาล 2. สร้างเรื่อง ให้ประชาชนเกิดความตื่นเต้น ในช่วงที่การบริหารประเทศมีปัญหา 3. สร้างข่าวกลบข่าว เช่นกรณีข่าวการซื้อทีมลิเวอร์พูลก็เพื่อต้องการกลบข่าวการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 4. สร้างความหวัง เช่น กรณีการประกาศสงครามกับความยากจน หรือ การพักชำระหนี้เกษตรกร อย่างไรก็ตามปลาใหญ่ตัวนี้มีแผลเต็มตัวที่นับวันจะพุพองมากขึ้น ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าปลาเล็กจะยังกินปลาใหญ่อยู่หรือเปล่า เพราะมันมีแผลที่เน่าแฟะ จนเกินที่จะกล้ำกลืนกินได้
นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า สำหรับสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่พรรคไทยรักไทยไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งนั้น เพราะรู้ว่า คนกรุงเทพฯรู้ทันว่าพรรคไทยรักไทย ไม่ใช่ของจริง และจะอยู่ได้ไม่นาน และเมื่อพรรคไทยรักไทยตัดสินใจไม่ส่งผู้สมัคร แต่กลับให้การสนับสนุนผู้สมัครบางคน ตนเห็นว่าจะทำให้ผู้สมัครคนดังกล่าวสอบตกอย่างแน่นอน ซึ่งตอนหลังก็ขออยากแสดงความเสียใจแก่บุคคลนั้น
ทั้งนี้ตนต้องการชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลชุดนี้มีจุดอ่อน 4 จุด คือ1 .ผลประโยชน์ทับซ้อน 2. การดับเบิ้ลแสตนดาร์ด 3. อำนาจนิยม บริหารแบบซีอีโอ 4. ทำให้สังคมอ่อนแอ อย่างไรก็ตามปัญหาในประเทศขณะนี้ นับวันจะยิ่งลามไปในระดับรากหญ้ามากขึ้น แต่นายกรัฐมนตรีก็ยังคงมองเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะยังนั่งบริหารประเทศและออกเดินสายแจกเงินอย่างสบายใจอยู่ ซึ่งตนคิดว่า ถ้าเราสามารถทำให้ประชาชนรู้ทันรัฐบาลมากขึ้นจะเป็นพลังทำลายความไม่ถูกต้องที่อยู่ให้หมดไปได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 27 ส.ค. 2547--จบ--
-ดท-