นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนกรกฎาคม 2547 ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ การใช้จ่ายภาครัฐเร่งตัวขึ้น การค้าระหว่างประเทศทั้งการส่งออกและนำเข้าขยายตัวต่อเนื่อง การผลิตยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่สินเชื่อทั้งจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความมั่นคงอยู่ในเกณฑ์ดี และฐานะการคลังอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่ายังคงมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนกรกฎาคมขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 20.4 ต่อปี สูงขึ้นจากร้อยละ 17.3 ต่อปีในเดือนก่อน ขณะที่ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนขยายตัวร้อยละ 14.6 ต่อปี ในเดือนกรกฎาคม ชะลอตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อน เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการซื้อเพื่อรอโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมปรับลดลงมาอยู่ที่ 95.2 จุด ในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากความกังวลต่อราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น สถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้และการปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 47 ลงของหลายหน่วยงาน
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวสูง โดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักร โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 21.5 ต่อปี สูงขึ้นจากร้อยละ 8.8 ต่อปีในเดือนพฤษภาคม ขณะที่รายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวดีร้อยละ 59.0 ต่อปี ในเดือนกรกฎาคม แม้ว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมีผลมาจากอัตราภาษีที่ปรับเพิ่มสู่อัตราปกติ สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ร้อยละ 9.9 ต่อปี ในเดือนมิถุนายน
การใช้จ่ายภาครัฐเร่งตัวขึ้น โดยรายจ่ายงบประมาณเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 11.4 ต่อปีในเดือนก่อน ทั้งนี้ รายจ่ายประจำขยายตัวร้อยละ 19.9 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนขยายตัวร้อยละ 1.5 ต่อปี
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งการส่งออกและนำเข้า โดยมูลค่าการส่งออกเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 25.6 ต่อปี ขณะที่มูลค่าการนำเข้าเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 8.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.4 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าเดือนกรกฎาคมเกินดุลทั้งสิ้น 76.7 ล้านดอลลาร์ สรอ.
การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวดี ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 9.4 ต่อปี โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวสูงได้แก่ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ 71.6 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ร้อยละ 71.2
สินเชื่อทั้งจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายตัวต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการลงทุน โดยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวร้อยละ 9.0 ต่อปี ในเดือนมิถุนายน ขณะที่สินเชื่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจในเดือนพฤษภาคม ขยายตัวร้อยละ 11.9 ต่อปี
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ร้อยละ 3.1 ต่อปี สูงกว่าเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย ตามการปรับเพิ่มเพดานราคาปลีกน้ำมันเบนซินในประเทศ รวมทั้งราคาอาหารสดที่เพิ่มขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยอยู่ที่ 40.93 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนกรกฎาคม อ่อนค่าลงจากเฉลี่ย 40.80 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.ในเดือนมิถุนายน ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนมิถุนายนเกินดุลสูงที่ 440 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากการเกินดุลการค้าและดุลบริการ ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 43.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม คิดเป็น 5.4 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.7 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังของรัฐบาลมีความแข็งแกร่งและอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - กรกฎาคม 2547) การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง ทำให้รายได้นำส่งคลังมีจำนวน 913,781 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 15.3 ในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 933,632 ล้านบาท สูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 15.9 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณระบบกระแสเงินสดขาดดุล 19,851 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล73,431 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 93,282 ล้านบาท เมื่อพิจารณาดุลการคลัง (Fiscal Balance) ในระบบ สศค. พบว่าเกินดุล 11,072 ล้านบาท สำหรับหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2547 เท่ากับ 2,918 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.09 ของ GDP เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2547 47.5 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.7 ของ GDP ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 26.08 ของ GDP
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนกรกฎาคม 2547
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์ดี โดย (1) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.4 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17.3 ต่อปีในเดือนก่อน (2) ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนขยายตัวร้อยละ 14.6 ต่อปี ในเดือนกรกฎาคม ชะลอตัวจากร้อยละ 28.8 ต่อปีในเดือนก่อน เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชะลอการผลิตเพื่อรอการใช้โครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ (3) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกรกฎาคมปรับลดลงมาอยู่ที่ 95.2 จุด จากความกังวลต่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น และการปรับลดเป้าหมายการขยายตัวเศรษฐกิจปี 47 ของหลายหน่วยงาน ประกอบกับสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง (4) มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.3 และ 22.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 2 มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.0 และ 18.0 ต่อปี
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์ดี โดย (1) รายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนกรกฎาคมยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 59.0 ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีเข้าสู่เป็นอัตราปกติ (2) การลงทุนในสินค้าทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งร้อยละ 35.2 และ 21.5 ต่อปี ตามลำดับ ส่งผลให้มูลค่าและปริมาณนำเข้าสินค้าทุนในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวร้อยละ 29.2 และ 15.0 ต่อปี (3) มูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 58.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 68.6 ต่อปี (4) ปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์ในประเทศขยายตัวร้อยละ 9.9 และ 11.3 ต่อปี ในเดือนมิถุนายนและในไตรมาสที่ 2 ตามลำดับ (5) ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือนมิถุนายนปรับลดมาอยู่ที่ 49.5 จุด เป็นผลจากความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง (1) มูลค่าการส่งออกเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 25.6 ต่อปี ขณะที่ปริมาณการส่งออกขยายตัวร้อยละ 10.6 และ 5.5 ต่อปีในเดือนมิถุนายนและในไตรมาสที่ 2 (2) มูลค่าการนำเข้าเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 8.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.4 ต่อปี ส่วนปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.4 และ 19.7 ต่อปีในเดือนมิถุนายนและไตรมาสที่ 2 ตามลำดับ (3) ดุลการค้าเดือนกรกฎาคมเกินดุล 76.7 ล้านดอลลาร์ สรอ.
การใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรายจ่ายงบประมาณตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์นโยบายการคลัง (GFS) เดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 98.9 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 17.9 ต่อปี โดยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนขยายตัวร้อยละ 1.5 ต่อปี
การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนี ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 9.4 ต่อปี โดยอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) กลับมาขยายตัวสูงที่ร้อยละ 8.2 ต่อปี อุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยายตัวร้อยละ 11.0 ต่อปี ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตส่งออกระหว่างร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 60 ขยายตัวร้อยละ 8.1 ต่อปี ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ 71.6 ลดลงจากร้อยละ 73.0 ในเดือนก่อน เป็นผลมาจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานในหลายอุตสาหกรรม โดยในไตรมาสที่ 2 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 71.2
สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ยังคงขยายตัวได้ดี ตามความต้องการในการลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดย (1) เงินฝากของธนาคารพาณิชย์เดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 3.7 ต่อปี (2) สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี ในเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.0 ต่อปีในเดือนที่ผ่านมา (3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ระดับร้อยละ 12.4 ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 12.2 ในไตรมาสที่ 1
สถาบันการเงินเฉพาะกิจส่วนใหญ่ มีฐานะการเงินที่มั่นคง โดย (1) เงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอยู่ที่ระดับ 1.16 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 ต่อปี (2) สินเชื่อคงค้าง ขยายตัวได้ดี โดยสินเชื่อคงค้างโดยรวมมีจำนวนทั้งสิ้น 1.07 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 ต่อปี และเป็นสินเชื่อที่อนุมัติใหม่ในเดือนพฤษภาคมจำนวน 33.3 พันล้านบาท (3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ2ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ 106.3 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 47 คิดเป็นร้อยละ 10.1 ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด (4) อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยทั่วไปแล้วยังคงสูงกว่ามาตรฐาน กล่าวคือ สถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่งมีเงินกองทุนสูงกว่าอัตราร้อยละ 8.5 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสิน มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 15 (5) สินทรัพย์โดยรวมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 8 แห่ง อยู่ที่ 1.49 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ส่วนผลประกอบการของสถาบันการเฉพาะกิจเดือนพฤษภาคมกำไรสุทธิ จำนวน 1,310.6 ล้านบาท
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง (1) อัตราเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ร้อยละ 3.1 ต่อปี เนื่องจากการปรับเพดานราคาปลีกน้ำมันเบนซินในประเทศ รวมทั้งราคาอาหารสดที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผักและผลไม้ (2) อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยอยู่ที่ 40.93 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนกรกฎาคม อ่อนค่าลงจากเฉลี่ย 40.80 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนมิถุนายน (3) ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนมิถุนายนเกินดุลทั้งสิ้น 440 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจาก 214 ล้านดออลาร์ สรอ. และในไตรมาสที่ 2 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลจำนวน 635 ล้านดอลลาร์ สรอ. (4) ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 43.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม คิดเป็น 5.4 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.7 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังเดือนกรกฎาคม 2547 และช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547
1. ด้านรายได้
ในเดือนกรกฎาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บเบื้องต้นรวม 93,975 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 7,716 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.9 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 11.4) และมีรายได้จัดเก็บสุทธิรวม 84,291 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 6,933 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.0 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 10.8)
ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - กรกฎาคม 2547) รายได้จัดเก็บรวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง โดยมีรายได้รวม 1,045,799 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 57,868 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.9 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 17.3) โดยมีรายได้จัดเก็บสุทธิ 939,939 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 48,602 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.5 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 15.7) สาเหตุที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมากเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีจากฐานการบริโภคและฐานรายได้เพิ่มขึ้นมาก
2. ด้านรายจ่าย
การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในเดือนกรกฎาคม 2547 มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปทั้งสิ้น 98,056 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 7.6) โดยเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบัน 94,429 ล้านบาท และเป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 3,627 ล้านบาท เป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม วงเงิน 135,500 ล้านบาท ซึ่งได้มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวน 66,216 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.9ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 46- กรกฎาคม 47) ได้มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไปแล้วทั้งสิ้น 933,632 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 19.0 โดยในส่วนของงบประมาณปีปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 855,224 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 73.5 ของวงเงินงบประมาณ (1,163,500 ล้านบาท) และเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีกจำนวน 78,408 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบันนั้น เป็นการเบิกจ่ายในส่วนของงบประจำ จำนวน 742,088 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 82.8 ของงบประจำทั้งสิ้น) และงบลงทุน จำนวน 113,136 ล้านบาท (คิดเป็น ร้อยละ 42.3 ของงบลงทุนทั้งสิ้น)
3. ฐานะการคลัง
3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด
ในเดือนกรกฎาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 82,369 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 98,056 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 15,687 ล้านบาท ในขณะที่ดุลเงินนอกงบประมาณเกินดุล 3,555 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดก่อนกู้ขาดดุล 12,132 ล้านบาทสำหรับในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 นั้นรัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวม 913,781 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 121,430 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.3 ขณะเดียวกันมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากงบประมาณปีปัจจุบัน และปีก่อนรวม 933,632 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 128,333 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.9 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 19,851 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 73,431 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุลรวมทั้งสิ้น 93,282 ล้านบาท
3.2 ฐานะการคลังตามระบบ สศค.
ในเดือนกรกฎาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 82,651 ล้านบาท ขณะที่มีรายจ่ายรวม 96,351 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 13,700 ล้านบาท เมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 618 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 2,506 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลขาดดุล 11,812 ล้านบาท
ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 902,693 ล้านบาท ส่วนรายจ่ายมีจำนวน 938,888 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 36,195 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 6,337 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 53,604 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลเกินดุล 11,072 ล้านบาท
4. หนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2547 เท่ากับ 2,918 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.09 ของ GDP เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2547 47.5 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.7 ของ GDP โดยประกอบด้วยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 1,692 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 847 พันล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 379 พันล้านบาท ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 26.08 ของ GDP (ลดลงจากร้อยละ 25.57 ในเดือนที่แล้ว)
หนี้สาธารณะคงค้างที่เปลี่ยนไปเป็นผลจากหนี้คงค้างรัฐบาลเพิ่มขึ้นสุทธิ 37 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นสุทธิ 24.90 พันล้านบาท และหนี้ FIDF ลดลง 11 พันล้านบาท
ข้อมูลเพิ่มเติม : กลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและระหว่างประเทศ
โทร. : 02-273-9020 ต่อ 3660
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 11/2547 27 สิงหาคม 2547--
เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ การใช้จ่ายภาครัฐเร่งตัวขึ้น การค้าระหว่างประเทศทั้งการส่งออกและนำเข้าขยายตัวต่อเนื่อง การผลิตยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่สินเชื่อทั้งจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความมั่นคงอยู่ในเกณฑ์ดี และฐานะการคลังอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่ายังคงมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนกรกฎาคมขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 20.4 ต่อปี สูงขึ้นจากร้อยละ 17.3 ต่อปีในเดือนก่อน ขณะที่ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนขยายตัวร้อยละ 14.6 ต่อปี ในเดือนกรกฎาคม ชะลอตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อน เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการซื้อเพื่อรอโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมปรับลดลงมาอยู่ที่ 95.2 จุด ในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากความกังวลต่อราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น สถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้และการปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 47 ลงของหลายหน่วยงาน
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวสูง โดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักร โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 21.5 ต่อปี สูงขึ้นจากร้อยละ 8.8 ต่อปีในเดือนพฤษภาคม ขณะที่รายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวดีร้อยละ 59.0 ต่อปี ในเดือนกรกฎาคม แม้ว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมีผลมาจากอัตราภาษีที่ปรับเพิ่มสู่อัตราปกติ สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ร้อยละ 9.9 ต่อปี ในเดือนมิถุนายน
การใช้จ่ายภาครัฐเร่งตัวขึ้น โดยรายจ่ายงบประมาณเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 11.4 ต่อปีในเดือนก่อน ทั้งนี้ รายจ่ายประจำขยายตัวร้อยละ 19.9 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนขยายตัวร้อยละ 1.5 ต่อปี
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งการส่งออกและนำเข้า โดยมูลค่าการส่งออกเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 25.6 ต่อปี ขณะที่มูลค่าการนำเข้าเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 8.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.4 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าเดือนกรกฎาคมเกินดุลทั้งสิ้น 76.7 ล้านดอลลาร์ สรอ.
การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวดี ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 9.4 ต่อปี โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวสูงได้แก่ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ 71.6 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ร้อยละ 71.2
สินเชื่อทั้งจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายตัวต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการลงทุน โดยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวร้อยละ 9.0 ต่อปี ในเดือนมิถุนายน ขณะที่สินเชื่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจในเดือนพฤษภาคม ขยายตัวร้อยละ 11.9 ต่อปี
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ร้อยละ 3.1 ต่อปี สูงกว่าเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย ตามการปรับเพิ่มเพดานราคาปลีกน้ำมันเบนซินในประเทศ รวมทั้งราคาอาหารสดที่เพิ่มขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยอยู่ที่ 40.93 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนกรกฎาคม อ่อนค่าลงจากเฉลี่ย 40.80 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.ในเดือนมิถุนายน ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนมิถุนายนเกินดุลสูงที่ 440 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากการเกินดุลการค้าและดุลบริการ ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 43.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม คิดเป็น 5.4 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.7 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังของรัฐบาลมีความแข็งแกร่งและอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - กรกฎาคม 2547) การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง ทำให้รายได้นำส่งคลังมีจำนวน 913,781 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 15.3 ในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 933,632 ล้านบาท สูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 15.9 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณระบบกระแสเงินสดขาดดุล 19,851 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล73,431 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 93,282 ล้านบาท เมื่อพิจารณาดุลการคลัง (Fiscal Balance) ในระบบ สศค. พบว่าเกินดุล 11,072 ล้านบาท สำหรับหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2547 เท่ากับ 2,918 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.09 ของ GDP เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2547 47.5 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.7 ของ GDP ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 26.08 ของ GDP
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนกรกฎาคม 2547
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์ดี โดย (1) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.4 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17.3 ต่อปีในเดือนก่อน (2) ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนขยายตัวร้อยละ 14.6 ต่อปี ในเดือนกรกฎาคม ชะลอตัวจากร้อยละ 28.8 ต่อปีในเดือนก่อน เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชะลอการผลิตเพื่อรอการใช้โครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ (3) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกรกฎาคมปรับลดลงมาอยู่ที่ 95.2 จุด จากความกังวลต่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น และการปรับลดเป้าหมายการขยายตัวเศรษฐกิจปี 47 ของหลายหน่วยงาน ประกอบกับสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง (4) มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.3 และ 22.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 2 มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.0 และ 18.0 ต่อปี
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์ดี โดย (1) รายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนกรกฎาคมยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 59.0 ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีเข้าสู่เป็นอัตราปกติ (2) การลงทุนในสินค้าทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งร้อยละ 35.2 และ 21.5 ต่อปี ตามลำดับ ส่งผลให้มูลค่าและปริมาณนำเข้าสินค้าทุนในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวร้อยละ 29.2 และ 15.0 ต่อปี (3) มูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 58.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 68.6 ต่อปี (4) ปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์ในประเทศขยายตัวร้อยละ 9.9 และ 11.3 ต่อปี ในเดือนมิถุนายนและในไตรมาสที่ 2 ตามลำดับ (5) ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือนมิถุนายนปรับลดมาอยู่ที่ 49.5 จุด เป็นผลจากความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง (1) มูลค่าการส่งออกเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 25.6 ต่อปี ขณะที่ปริมาณการส่งออกขยายตัวร้อยละ 10.6 และ 5.5 ต่อปีในเดือนมิถุนายนและในไตรมาสที่ 2 (2) มูลค่าการนำเข้าเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 8.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.4 ต่อปี ส่วนปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.4 และ 19.7 ต่อปีในเดือนมิถุนายนและไตรมาสที่ 2 ตามลำดับ (3) ดุลการค้าเดือนกรกฎาคมเกินดุล 76.7 ล้านดอลลาร์ สรอ.
การใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรายจ่ายงบประมาณตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์นโยบายการคลัง (GFS) เดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 98.9 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 17.9 ต่อปี โดยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนขยายตัวร้อยละ 1.5 ต่อปี
การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนี ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 9.4 ต่อปี โดยอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) กลับมาขยายตัวสูงที่ร้อยละ 8.2 ต่อปี อุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยายตัวร้อยละ 11.0 ต่อปี ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตส่งออกระหว่างร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 60 ขยายตัวร้อยละ 8.1 ต่อปี ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนมิถุนายนอยู่ที่ร้อยละ 71.6 ลดลงจากร้อยละ 73.0 ในเดือนก่อน เป็นผลมาจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานในหลายอุตสาหกรรม โดยในไตรมาสที่ 2 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 71.2
สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ยังคงขยายตัวได้ดี ตามความต้องการในการลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดย (1) เงินฝากของธนาคารพาณิชย์เดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 3.7 ต่อปี (2) สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี ในเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.0 ต่อปีในเดือนที่ผ่านมา (3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ระดับร้อยละ 12.4 ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 12.2 ในไตรมาสที่ 1
สถาบันการเงินเฉพาะกิจส่วนใหญ่ มีฐานะการเงินที่มั่นคง โดย (1) เงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอยู่ที่ระดับ 1.16 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 ต่อปี (2) สินเชื่อคงค้าง ขยายตัวได้ดี โดยสินเชื่อคงค้างโดยรวมมีจำนวนทั้งสิ้น 1.07 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 ต่อปี และเป็นสินเชื่อที่อนุมัติใหม่ในเดือนพฤษภาคมจำนวน 33.3 พันล้านบาท (3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ2ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ 106.3 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 47 คิดเป็นร้อยละ 10.1 ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด (4) อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยทั่วไปแล้วยังคงสูงกว่ามาตรฐาน กล่าวคือ สถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่งมีเงินกองทุนสูงกว่าอัตราร้อยละ 8.5 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสิน มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 15 (5) สินทรัพย์โดยรวมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 8 แห่ง อยู่ที่ 1.49 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ส่วนผลประกอบการของสถาบันการเฉพาะกิจเดือนพฤษภาคมกำไรสุทธิ จำนวน 1,310.6 ล้านบาท
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง (1) อัตราเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ร้อยละ 3.1 ต่อปี เนื่องจากการปรับเพดานราคาปลีกน้ำมันเบนซินในประเทศ รวมทั้งราคาอาหารสดที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผักและผลไม้ (2) อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยอยู่ที่ 40.93 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนกรกฎาคม อ่อนค่าลงจากเฉลี่ย 40.80 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนมิถุนายน (3) ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนมิถุนายนเกินดุลทั้งสิ้น 440 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจาก 214 ล้านดออลาร์ สรอ. และในไตรมาสที่ 2 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลจำนวน 635 ล้านดอลลาร์ สรอ. (4) ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 43.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม คิดเป็น 5.4 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.7 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังเดือนกรกฎาคม 2547 และช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547
1. ด้านรายได้
ในเดือนกรกฎาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บเบื้องต้นรวม 93,975 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 7,716 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.9 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 11.4) และมีรายได้จัดเก็บสุทธิรวม 84,291 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 6,933 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.0 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 10.8)
ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - กรกฎาคม 2547) รายได้จัดเก็บรวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง โดยมีรายได้รวม 1,045,799 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 57,868 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.9 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 17.3) โดยมีรายได้จัดเก็บสุทธิ 939,939 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 48,602 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.5 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 15.7) สาเหตุที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมากเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีจากฐานการบริโภคและฐานรายได้เพิ่มขึ้นมาก
2. ด้านรายจ่าย
การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในเดือนกรกฎาคม 2547 มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปทั้งสิ้น 98,056 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 7.6) โดยเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบัน 94,429 ล้านบาท และเป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 3,627 ล้านบาท เป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม วงเงิน 135,500 ล้านบาท ซึ่งได้มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวน 66,216 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.9ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 46- กรกฎาคม 47) ได้มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไปแล้วทั้งสิ้น 933,632 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 19.0 โดยในส่วนของงบประมาณปีปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 855,224 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 73.5 ของวงเงินงบประมาณ (1,163,500 ล้านบาท) และเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีกจำนวน 78,408 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบันนั้น เป็นการเบิกจ่ายในส่วนของงบประจำ จำนวน 742,088 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 82.8 ของงบประจำทั้งสิ้น) และงบลงทุน จำนวน 113,136 ล้านบาท (คิดเป็น ร้อยละ 42.3 ของงบลงทุนทั้งสิ้น)
3. ฐานะการคลัง
3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด
ในเดือนกรกฎาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 82,369 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 98,056 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 15,687 ล้านบาท ในขณะที่ดุลเงินนอกงบประมาณเกินดุล 3,555 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดก่อนกู้ขาดดุล 12,132 ล้านบาทสำหรับในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 นั้นรัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวม 913,781 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 121,430 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.3 ขณะเดียวกันมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากงบประมาณปีปัจจุบัน และปีก่อนรวม 933,632 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 128,333 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.9 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 19,851 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 73,431 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุลรวมทั้งสิ้น 93,282 ล้านบาท
3.2 ฐานะการคลังตามระบบ สศค.
ในเดือนกรกฎาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 82,651 ล้านบาท ขณะที่มีรายจ่ายรวม 96,351 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 13,700 ล้านบาท เมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 618 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 2,506 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลขาดดุล 11,812 ล้านบาท
ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 902,693 ล้านบาท ส่วนรายจ่ายมีจำนวน 938,888 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 36,195 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 6,337 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 53,604 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลเกินดุล 11,072 ล้านบาท
4. หนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2547 เท่ากับ 2,918 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.09 ของ GDP เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2547 47.5 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.7 ของ GDP โดยประกอบด้วยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 1,692 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 847 พันล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 379 พันล้านบาท ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 26.08 ของ GDP (ลดลงจากร้อยละ 25.57 ในเดือนที่แล้ว)
หนี้สาธารณะคงค้างที่เปลี่ยนไปเป็นผลจากหนี้คงค้างรัฐบาลเพิ่มขึ้นสุทธิ 37 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นสุทธิ 24.90 พันล้านบาท และหนี้ FIDF ลดลง 11 พันล้านบาท
ข้อมูลเพิ่มเติม : กลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและระหว่างประเทศ
โทร. : 02-273-9020 ต่อ 3660
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 11/2547 27 สิงหาคม 2547--