ภาพรวมอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกไทยในในช่วงที่ผ่านมาได้เผชิญปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการแข่งขันทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยต้องปรับตัวเพื่อให้อุตสาหกรรมอยู่รอด โดยอุปสรรคภายในประเทศที่สำคัญและเป็นปัญหา อย่างมากที่ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกได้รับผลกระทบคือการที่มีสินค้าราคาถูกจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทย และสำหรับปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่เป็นอุปสรรคในการแข่งขัน กฎระเบียบใหม่ๆ ของประเทศผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติก เช่น สหรัฐอเมริกาอนุมัติเก็บภาษีถุงพลาสติกไทยมาเลเซีย และจีน เนื่องจากมีความเห็นว่าโดนทุ่มตลาดซึ่งขณะนี้ก็กำลังพิจารณาอยู่ สหภาพยุโรป (อียู) กำลังเตรียมออกนโยบายสินค้าครบวงจร (Integrated Product Policy : IPP) เพื่อต้องการให้ผู้ผลิตพิจารณาว่าสินค้าชนิดต่างๆ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างใดบ้าง ตลอดวัฏจักรชีวิต โดยใช้การศึกษาวิจัยด้านการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment : LCA) ซึ่งเป็นวิธีการในการประเมินหาปัญหาและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในเชิงปริมาณที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ทั้งวัฏจักรชีวิต เป็นต้น
ดังนั้นผู้ผลิตในประเทศควรหากลยุทธ์ใหม่ๆ เช่น การหาตลาดใหม่ การผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกเพื่อทดแทนวัสดุอื่น การเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ การหามูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติก และที่สำคัญคือการปรับปรุงสินค้าตลอดจนกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่ๆ ของประเทศผู้นำเข้าเพื่อเพิ่มศักยภาพของการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติก เพื่อที่จะทำให้ผู้ผลิตสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดไปพร้อมๆกับการขยายฐานการตลาดให้มากขึ้น
การตลาด
การส่งออก
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 358.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.27 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.31 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศในอาเชียน และออสเตรเลีย สำหรับผลิตภัณฑ์หลักที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด คือ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์ และแถบ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28.50 ของมูลค่าส่งออกรวม มูลค่าการส่งออกเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรกได้แก่ ถุงและกระสอบพลาสติก หลอดและท่อพลาสติก และเครื่องแต่งกายและของใช้ประกอบเครื่องแต่งกาย ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.84 , 7.89 และ 5 ตามลำดับ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วคือ พลาสติกปูพื้นและผนัง ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกลดลงถึงร้อยละ 19.59 สำหรับมูลค่าการส่งออกเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 3 ลำดับแรกที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ หลอดและท่อพลาสติก แผ่นฟิล์ม ฟลอยล์ และแถบ และเครื่องใช้สำนักงานทำด้วยพลาสติก โดยมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเท่ากับร้อยละ 28.13 , 27.81 และ 6.12 ตามลำดับ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนได้แก่ ถุงและกระสอบพลาสติก ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 42.18
การนำเข้า
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 484.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.34 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.71 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แหล่งนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ และกลุ่มอาเซียน โดยผลิตภัณฑ์หลักที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด คือ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติก คิดเป็นร้อยละ 34.21 ของมูลค่าการนำเข้าโดยรวม เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาพบการนำเข้าโดยรวมมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นสูงสุดมีเพียงเครื่องใช้และเครื่องตกแต่งภายในบ้าน โดยมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.22 ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วได้แก่ หลอดและท่อพลาสติก ถุง กล่องและกระสอบพลาสติก และแผ่นฟิล์มฟลอย์และแถบ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 3.98 , 3.46 และ 0.90 ตามลำดับ และเมื่อเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนพบว่ามูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ 3 ลำดับแรกที่มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นได้แก่ เครื่องใช้และเครื่องตกแต่งภายในบ้านที่ทำด้วยพลาสติก แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติก และหลอดและท่อพลาสติก โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.26 , 27.11 และ 10.92 ตามลำดับ
การส่งออก
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 247 การส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่ารวม 697.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในครึ่งปีแรกแผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกมากเป็นอันดับแรก โดยมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 210.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 30.12 และพบว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบ โดยมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.97 แต่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนคือ เครื่องใช้สำนักงานทำด้วยพลาสติก โดยมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 48.57
การนำเข้า
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี การนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่ารวม 962.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในครึ่งปีแรกแผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้ามากเป็นอันดับแรก โดยมีมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 332.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 34.60 และพบว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี ทุกผลิตภัณฑ์มีมูลค่าการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นโดยผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ ถุง กล่องและกระสอบพลาสติก โดยมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.45
แนวโน้ม
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกต้องปรับตัวในเรื่องของรูปแบบและการออกแบบสินค้า เนื่องจากจีนเป็นแม่แบบการพัฒนาอุตสาหกรรมปรับเปลี่ยนจากการเป็นฐานการผลิต เป็นการสร้างตรายี่ห้อ ( Brand ) ของตนเอง ซึ่งมีแนวโน้มว่าอีก 5 ปี ตรายี่ห้อ ( Brand )ของจากจีนจะยืนอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ดังนั้นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยจะต้องเร่งทำการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตลาดโลกยอมรับ สำหรับผู้ผลิตรายใหญ่ ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก ยังคงสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตได้จากทั่วโลก เนื่องจากมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ในขณะที่รายเล็กรายย่อย ถ้าจะแข่งขันก็ต้องปรับวิธีการผลิต โดยยึดการพัฒนามาตรฐานเป็นสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะสู้สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศไม่ได้ แม้แต่การรับจ้างผลิตก็อาจจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ลำบาก เนื่องจากนักลงทุนจำเป็นต้องเลือกประเทศที่มีต้นทุนด้านแรงงานที่ถูกกว่าแทน ดังนั้นการทำอุตสาหกรรมในลักษณะรับจ้างผลิตจะยืนหยัดได้ลำบากในระยะยาว ผู้ประกอบการมักเจอปัญหาที่นายจ้างต้องการสินค้าราคาถูก คุณภาพดี แต่ต้นทุนการผลิตแพงขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกับความต้องการของนายจ้าง ผู้ประกอบการบางรายอยู่ไม่ได้ต้องเปลี่ยนขั้นตอนการผลิตเพื่อลดต้นทุน หรือบางรายก็ต้องเลิกกิจการไปในที่สุด แปรสภาพจากผู้ผลิตไปเป็นพ่อค้า รับซื้อของจากประเทศจีนมาขายแทน ดังนั้น การที่จะสามารประคับประคองอุตสาหกรรมให้ยืนอยู่ได้ในระยะยาวต้องดีไซน์สินค้าใหม่ๆ เข้ามาแข่ง โดยตั้งเป้าพัฒนาไปสู่การสร้างตรายี่ห้อ ( Brand ) ของตนเอง
สิ่งสำคัญที่สุดในระยะเวลาอันสั้นนี้ที่ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญคือเรื่องของต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเนื่องจากแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จะส่งผลถึงเรื่องของต้นทุนการผลิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากน้ำมันเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตเม็ดพลาสติก ดังนั้นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกจะต้องหามาตรการในระยะสั้นที่จะลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุด เนื่องจากในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกมีการแข่งขันสูงทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถผลักภาระไปที่ผู้บริโภคได้ง่ายนัก
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกไทยในในช่วงที่ผ่านมาได้เผชิญปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการแข่งขันทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยต้องปรับตัวเพื่อให้อุตสาหกรรมอยู่รอด โดยอุปสรรคภายในประเทศที่สำคัญและเป็นปัญหา อย่างมากที่ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกได้รับผลกระทบคือการที่มีสินค้าราคาถูกจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทย และสำหรับปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่เป็นอุปสรรคในการแข่งขัน กฎระเบียบใหม่ๆ ของประเทศผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติก เช่น สหรัฐอเมริกาอนุมัติเก็บภาษีถุงพลาสติกไทยมาเลเซีย และจีน เนื่องจากมีความเห็นว่าโดนทุ่มตลาดซึ่งขณะนี้ก็กำลังพิจารณาอยู่ สหภาพยุโรป (อียู) กำลังเตรียมออกนโยบายสินค้าครบวงจร (Integrated Product Policy : IPP) เพื่อต้องการให้ผู้ผลิตพิจารณาว่าสินค้าชนิดต่างๆ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างใดบ้าง ตลอดวัฏจักรชีวิต โดยใช้การศึกษาวิจัยด้านการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment : LCA) ซึ่งเป็นวิธีการในการประเมินหาปัญหาและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในเชิงปริมาณที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ทั้งวัฏจักรชีวิต เป็นต้น
ดังนั้นผู้ผลิตในประเทศควรหากลยุทธ์ใหม่ๆ เช่น การหาตลาดใหม่ การผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกเพื่อทดแทนวัสดุอื่น การเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ การหามูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติก และที่สำคัญคือการปรับปรุงสินค้าตลอดจนกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่ๆ ของประเทศผู้นำเข้าเพื่อเพิ่มศักยภาพของการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติก เพื่อที่จะทำให้ผู้ผลิตสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดไปพร้อมๆกับการขยายฐานการตลาดให้มากขึ้น
การตลาด
การส่งออก
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 358.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.27 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.31 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศในอาเชียน และออสเตรเลีย สำหรับผลิตภัณฑ์หลักที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด คือ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์ และแถบ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28.50 ของมูลค่าส่งออกรวม มูลค่าการส่งออกเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรกได้แก่ ถุงและกระสอบพลาสติก หลอดและท่อพลาสติก และเครื่องแต่งกายและของใช้ประกอบเครื่องแต่งกาย ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.84 , 7.89 และ 5 ตามลำดับ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วคือ พลาสติกปูพื้นและผนัง ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกลดลงถึงร้อยละ 19.59 สำหรับมูลค่าการส่งออกเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 3 ลำดับแรกที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ หลอดและท่อพลาสติก แผ่นฟิล์ม ฟลอยล์ และแถบ และเครื่องใช้สำนักงานทำด้วยพลาสติก โดยมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเท่ากับร้อยละ 28.13 , 27.81 และ 6.12 ตามลำดับ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนได้แก่ ถุงและกระสอบพลาสติก ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 42.18
การนำเข้า
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 484.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.34 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.71 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แหล่งนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ และกลุ่มอาเซียน โดยผลิตภัณฑ์หลักที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด คือ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติก คิดเป็นร้อยละ 34.21 ของมูลค่าการนำเข้าโดยรวม เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาพบการนำเข้าโดยรวมมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นสูงสุดมีเพียงเครื่องใช้และเครื่องตกแต่งภายในบ้าน โดยมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.22 ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วได้แก่ หลอดและท่อพลาสติก ถุง กล่องและกระสอบพลาสติก และแผ่นฟิล์มฟลอย์และแถบ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 3.98 , 3.46 และ 0.90 ตามลำดับ และเมื่อเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนพบว่ามูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ 3 ลำดับแรกที่มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นได้แก่ เครื่องใช้และเครื่องตกแต่งภายในบ้านที่ทำด้วยพลาสติก แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติก และหลอดและท่อพลาสติก โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.26 , 27.11 และ 10.92 ตามลำดับ
การส่งออก
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 247 การส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่ารวม 697.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในครึ่งปีแรกแผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกมากเป็นอันดับแรก โดยมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 210.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 30.12 และพบว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบ โดยมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.97 แต่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนคือ เครื่องใช้สำนักงานทำด้วยพลาสติก โดยมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 48.57
การนำเข้า
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี การนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่ารวม 962.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในครึ่งปีแรกแผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้ามากเป็นอันดับแรก โดยมีมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 332.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 34.60 และพบว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี ทุกผลิตภัณฑ์มีมูลค่าการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นโดยผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ ถุง กล่องและกระสอบพลาสติก โดยมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.45
แนวโน้ม
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกต้องปรับตัวในเรื่องของรูปแบบและการออกแบบสินค้า เนื่องจากจีนเป็นแม่แบบการพัฒนาอุตสาหกรรมปรับเปลี่ยนจากการเป็นฐานการผลิต เป็นการสร้างตรายี่ห้อ ( Brand ) ของตนเอง ซึ่งมีแนวโน้มว่าอีก 5 ปี ตรายี่ห้อ ( Brand )ของจากจีนจะยืนอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ดังนั้นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยจะต้องเร่งทำการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตลาดโลกยอมรับ สำหรับผู้ผลิตรายใหญ่ ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก ยังคงสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตได้จากทั่วโลก เนื่องจากมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ในขณะที่รายเล็กรายย่อย ถ้าจะแข่งขันก็ต้องปรับวิธีการผลิต โดยยึดการพัฒนามาตรฐานเป็นสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะสู้สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศไม่ได้ แม้แต่การรับจ้างผลิตก็อาจจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ลำบาก เนื่องจากนักลงทุนจำเป็นต้องเลือกประเทศที่มีต้นทุนด้านแรงงานที่ถูกกว่าแทน ดังนั้นการทำอุตสาหกรรมในลักษณะรับจ้างผลิตจะยืนหยัดได้ลำบากในระยะยาว ผู้ประกอบการมักเจอปัญหาที่นายจ้างต้องการสินค้าราคาถูก คุณภาพดี แต่ต้นทุนการผลิตแพงขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกับความต้องการของนายจ้าง ผู้ประกอบการบางรายอยู่ไม่ได้ต้องเปลี่ยนขั้นตอนการผลิตเพื่อลดต้นทุน หรือบางรายก็ต้องเลิกกิจการไปในที่สุด แปรสภาพจากผู้ผลิตไปเป็นพ่อค้า รับซื้อของจากประเทศจีนมาขายแทน ดังนั้น การที่จะสามารประคับประคองอุตสาหกรรมให้ยืนอยู่ได้ในระยะยาวต้องดีไซน์สินค้าใหม่ๆ เข้ามาแข่ง โดยตั้งเป้าพัฒนาไปสู่การสร้างตรายี่ห้อ ( Brand ) ของตนเอง
สิ่งสำคัญที่สุดในระยะเวลาอันสั้นนี้ที่ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญคือเรื่องของต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเนื่องจากแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จะส่งผลถึงเรื่องของต้นทุนการผลิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากน้ำมันเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตเม็ดพลาสติก ดังนั้นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกจะต้องหามาตรการในระยะสั้นที่จะลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุด เนื่องจากในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกมีการแข่งขันสูงทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถผลักภาระไปที่ผู้บริโภคได้ง่ายนัก
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-