1. การผลิต
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารมีการเปลี่ยนแปลงลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.19 และลดลงจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2547 ร้อยละ 4.54 (ตารางที่ 1) ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเพื่อส่งออกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปปศุสัตว์ ผลิตลดลงเทียบกับปีก่อนร้อยละ 31.53 และประมง ลดลงร้อยละ 13.50 เป็นผลจากการระบาดของโรคไข้หวัดนก และการประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดกุ้งของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้มันสำปะหลัง ลดลงร้อยละ 2 ส่วนการแปรรูปผักผลไม้ไม่แตกต่างจากปีก่อน ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นวัตถุดิบและใช้ในประเทศเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ มีการผลิตลดลงร้อยละ 26.20 ซึ่งได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากโรคไข้หวัดนก ผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช ลดลงร้อยละ 11.77 สำหรับผลิตภัณฑ์นม และผลิตภัณฑ์น้ำตาล ในช่วงครึ่งปี 2547 เทียบกับปี 2546 มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.16 และ 1.71 ตามลำดับ
2. การตลาด
1) ตลาดในประเทศ
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 ความต้องการของตลาดภายในประเทศสำหรับอุตสาหกรรมอาหารลดลงร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 4.89 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 (ไม่รวมปศุสัตว์และอาหารสัตว์) สินค้าสำคัญที่มีการจำหน่ายในประเทศลดลง คือ ผลิตภัณฑ์แปรรูปปศุสัตว์และอาหารสัตว์ ร้อยละ 11.6 และ 29.2 สำหรับสินค้าประมงสามารถจำหน่ายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.25 เนื่องจากประชาชนหันมาบริโภคอาหารทะเลและสัตว์น้ำทดแทนสัตว์ปีกในช่วงการระบาดของโรคไข้หวัดนก
ในขณะที่ครึ่งปีแรก ปี 2547 การจำหน่ายในประเทศของอุตสาหกรรมอาหารโดยรวมลดลง ร้อยละ 8.83 เป็นผลจากความไม่มั่นใจในการบริโภคเนื้อสัตว์ปีก แต่หากไม่รวมสินค้าปศุสัตว์และอาหารสัตว์ การบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.34 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยในประเทศยังมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ ทำให้การบริโภคมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น
2) ตลาดต่างประเทศ
- การส่งออก
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 ภาวะการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหารมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ร้อยละ 5.92 หรือมีการส่งออกเป็นมูลค่า 84,658.8 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนการส่งออกมีมูลค่าลดลงร้อยละ 8.35 ในขณะที่ครึ่งปี 2547 มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 164,588.5 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 7.12 สำหรับการส่งออกสินค้าอาหารในแต่ละประเภท มีดังนี้
(1) อาหารทะเลและผลิตภัณฑ์แปรรูป มีการส่งออกลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 8.83 และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.07 โดยมีมูลค่าส่งออกรวม 33,914.7 ล้านบาท เป็นผลจากการส่งออกที่ลดลงในทุกหมวด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คือ อาหารทะเลแช่เย็นแช่แข็งลดลงร้อยละ 13.51 อาหารทะเลกระป๋องลดลงร้อยละ 9.14 และอาหารทะเลแปรรูปลดลงร้อยละ 15.25 เมื่อพิจารณาเป็นรายสินค้าที่สำคัญ ส่วนใหญ่มีการส่งออกลดลงในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง ลดลงร้อยละ 8.2 และกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ลดลงร้อยละ 15.7 เป็นผลจากวัตถุดิบขาดแคลนและราคาเพิ่มสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันที่ทำให้ต้นทุนการจับปลาและสัตว์ทะเลเพิ่มขึ้น ประกอบกับที่สหรัฐอเมริกา เริ่มไต่สวนการทุ่มตลาดกุ้งจากประเทศส่งออก 6 ชาติรวมทั้งไทยด้วย นอกจากนี้ประเทศในสหภาพยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ได้หันไปนำเข้าอาหารทะเลแปรรูปและกระป๋องจากประเทศอเมริกาใต้และกลุ่มประเทศแปซิฟิกแทนการนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น
(2) ผักผลไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูป ไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 15,804.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.62 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.52 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สินค้าในหมวดนี้เกือบทุกชนิดมีการส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะสับปะรดกระป๋องซึ่งเป็นสินค้าสำคัญมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากการที่ระดับราคาส่งออกเพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากการที่วัตถุดิบมีไม่เพียงพอ ส่วนการส่งออกผักสด และผักกระป๋องและแปรรูป มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.4 และ 2.86 จากการส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดหลักๆ เช่น ตลาดญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา
(3) ผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป ไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 4,572.4 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 8.67 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 55.14 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ส่งออกที่ลดลง คือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 85 เป็นผลจากการระงับการนำเข้าของตลาดญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปที่รวมกันมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 80 ของการส่งออกไก่ไทยในตลาดโลก ส่วนการส่งออกไก่แปรรูป มีการส่งออกในมูลค่าที่ไม่แตกต่างจากปีก่อน คือ ขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1 จากการนำเข้าจากตลาดหลักเดิม
(4) ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากธัญพืชและแป้ง ไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีมูลค่าส่งออกรวมทั้งสิ้น 15,100.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.89 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักของหมวดนี้ (ร้อยละ 60 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมวด) เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.91 จากระดับราคาที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ผลิตภัณฑ์จากข้าว (แป้งข้าวต่างๆ ขนมปังกรอบ และเส้นหมี่เส้นก๋วยเตี๋ยว) และผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี (เวเฟอร์ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 11.76 และ 14.13 โดยตลาดหลักที่มีการส่งออกมากขึ้น ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย และสหรัฐฯ
(5) ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 15,266.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 16.8 เป็นผลจากการส่งออกน้ำตาลลดลงร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 35.6 เป็นผลจากการส่งออกไปยังประเทศในอาเซียนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซียและมาเลเซีย ขณะที่สินค้าอื่นๆ ในหมวดนี้สามารถส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-20 เมื่อเทียบกับปีก่อน สินค้าที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ สิ่งปรุงรส เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 และเครื่องเทศสมุนไพร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เนื่องจากมีความต้องการใช้สินค้าทั้งสองในต่างประเทศเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การ ส่งออกผลิตภัณฑ์นมเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.34 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากมีการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดน เช่น กัมพูชาและพม่า
- การนำเข้า
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมอาหารทั้งสิ้น 33,638 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสที่ 1 ปี 2547 ร้อยละ 10.65 และลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2546 ร้อยละ 0.32 โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 นำเข้าในกลุ่มสัตว์น้ำแช่เย็นแช่แข็งเป็นมูลค่า 11,347 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.27 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 0.92 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลมาจากการนำเข้าเพิ่มขึ้นของปลาทูน่าแช่เย็นแช่แข็งร้อยละ 16.04 และปลาสำเร็จรูปร้อยละ 78.51 สำหรับกลุ่มสัตว์และพืช มีมูลค่านำเข้าทั้งสิ้น 12,359.30 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 26.83 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 11.23 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากการนำเข้าลดลงของกากพืชน้ำมัน ร้อยละ 31.12 และเมล็ดพืชน้ำมันลดลง ร้อยละ 11.86 ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ได้รับผลกระทบจากปริมาณความต้องการใช้เพื่อการผลิตลดลง ส่วนในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีการนำเข้าเป็นมูลค่า 9,931.3 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน คือ ธัญพืชและธัญพืชสำเร็จรูป ร้อยละ 30.89 ผักผลไม้และของปรุงแต่งจากผักผลไม้ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.07 และผลิตภัณฑ์นม เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1
3. นโยบายของภาครัฐ
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ภาครัฐได้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร ดังนี้
- การอนุมัติให้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์โดยไม่กำหนดระยะเวลานำเข้า โควตาและอากรนำเข้าจากประเทศลาว กัมพูชาและพม่า เพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและช่วยเหลือผู้ประกอบการปศุสัตว์ให้มีวัตถุดิบเพียงพอ
- การกำหนดเขตส่งเสริมการปลูกอ้อย ที่กำหนดให้โรงงานน้ำตาลรับซื้ออ้อยเฉพาะพื้นที่ในเขตรัศมี 100 กิโลเมตร เพื่อให้มีการใช้พื้นที่นอกเขตเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นๆ ที่มีศักยภาพ และทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงจากการลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
- การกำหนดมาตรการรองรับปัญหาไข้หวัดนก ทั้งในด้านการชดเชยค่าเสียหายให้กับเกษตรกรที่ประสบปัญหาสัตว์ปีกที่เลี้ยงถูกทำลาย และการป้องกันการระบาดเพิ่มเติม โดยกำหนดเป็นกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำหนดการควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ รวมทั้งการเคลื่อนย้ายสัตว์ในกรณีขยายพันธุ์สัตว์ด้วย
4. สรุปและแนวโน้ม
แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมอาหารในไตรมาสที่สามของปี 2547 คาดว่าทั้งภาคการผลิตและการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มของฤดูกาล อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบด้านลบต่อการผลิตและส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ ข่าวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกรอบใหม่
การประกาศการไต่สวนการทุ่มตลาดกุ้งของสหรัฐอเมริกา และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3-4 ที่เป็นผลสืบเนื่องจากการย่างเข้าสู่ฤดูหนาว และปัญหาการก่อการร้ายทั่วโลก ล้วนเป็นปัจจัยลบที่จะส่งผลต่อภาคการผลิตและส่งออกของไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 ไม่ขยายตัวเท่าที่ควร
สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมอาหารในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ มีดังนี้
1) สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋อง เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง มีแนวโน้มผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศสหรัฐฯ และประเทศที่เป็นพันธมิตรมีความกังวลในด้านสงครามและการก่อการร้ายเพิ่มขึ้น ประกอบกับย่างเข้าฤดูหนาว จึงต้องสำรองอาหารประเภทกระป๋องมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากการเปิดตลาดสินค้าอาหารฮาลาลในตลาดตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น แต่ก็มีปัจจัยลบที่อาจส่งผลกระทบ คือ ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น อันอาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิตเหล็กที่เป็นบรรจุภัณฑ์ และการขนส่งที่แพงขึ้น
2) สินค้าพืชผักผลไม้แปรรูป สับปะรดกระป๋องและผลิตภัณฑ์ ซึ่งไทยมีส่วนแบ่งตลาดในโลกกว่าร้อยละ 30 มีแนวโน้มผลิตและส่งออกดีขึ้น เนื่องจากระดับราคายังคงสูงกว่าในปีก่อนๆ จากการที่วัตถุดิบมีปริมาณน้อย นอกจากนี้ผักและผลไม้อื่นๆ จะได้รับประโยชน์จากการเปิดตลาดสินค้ากับประเทศจีนและญี่ปุ่น เช่น มังคุด ทุเรียน และผักแปรรูป แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงด้านปัญหาด้านภัยธรรมชาติที่อาจทำให้วัตถุดิบลดลงได้
3) สินค้าปศุสัตว์แปรรูป มูลค่ากว่าร้อยละ 90 ของหมวดนี้ คือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งมีแนวโน้มที่จะผลิตและส่งออกในปริมาณและมูลค่าที่ลดลงเป็นอย่างมาก จากการที่ตลาดหลัก (ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป) ยังประกาศระงับการนำเข้าต่อไป ส่วนไก่แปรรูป ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทดแทนการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง
4) สินค้าแปรรูปจากธัญพืชและแป้ง ผลิตภัณฑ์ในหมวดนี้มีแนวโน้มทรงตัวในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะสงคราม ทำให้ความต้องการในตลาดโลกไม่เพิ่มขึ้น ประกอบกับเป็นช่วง ที่วัตถุดิบมักประสบปัญหาภัยธรรมชาติ (น้ำท่วม)
5) สินค้าอื่นๆ เช่น สินค้าน้ำตาลทราย คาดว่าจะสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นหลังจากการเจรจากับประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ผลิตภัณฑ์นม จะมีการผลิตและส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น นอกจากนี้สมุนไพรและเครื่องปรุงรส มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากผู้บริโภคในประเทศที่หันมาให้ความสนใจกับอาหารเพื่อสุขภาพ และการประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติรู้จักและบริโภคอาหารไทยเพิ่มขึ้น
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารมีการเปลี่ยนแปลงลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.19 และลดลงจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2547 ร้อยละ 4.54 (ตารางที่ 1) ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเพื่อส่งออกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปปศุสัตว์ ผลิตลดลงเทียบกับปีก่อนร้อยละ 31.53 และประมง ลดลงร้อยละ 13.50 เป็นผลจากการระบาดของโรคไข้หวัดนก และการประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดกุ้งของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้มันสำปะหลัง ลดลงร้อยละ 2 ส่วนการแปรรูปผักผลไม้ไม่แตกต่างจากปีก่อน ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นวัตถุดิบและใช้ในประเทศเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ มีการผลิตลดลงร้อยละ 26.20 ซึ่งได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากโรคไข้หวัดนก ผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช ลดลงร้อยละ 11.77 สำหรับผลิตภัณฑ์นม และผลิตภัณฑ์น้ำตาล ในช่วงครึ่งปี 2547 เทียบกับปี 2546 มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.16 และ 1.71 ตามลำดับ
2. การตลาด
1) ตลาดในประเทศ
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 ความต้องการของตลาดภายในประเทศสำหรับอุตสาหกรรมอาหารลดลงร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 4.89 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 (ไม่รวมปศุสัตว์และอาหารสัตว์) สินค้าสำคัญที่มีการจำหน่ายในประเทศลดลง คือ ผลิตภัณฑ์แปรรูปปศุสัตว์และอาหารสัตว์ ร้อยละ 11.6 และ 29.2 สำหรับสินค้าประมงสามารถจำหน่ายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.25 เนื่องจากประชาชนหันมาบริโภคอาหารทะเลและสัตว์น้ำทดแทนสัตว์ปีกในช่วงการระบาดของโรคไข้หวัดนก
ในขณะที่ครึ่งปีแรก ปี 2547 การจำหน่ายในประเทศของอุตสาหกรรมอาหารโดยรวมลดลง ร้อยละ 8.83 เป็นผลจากความไม่มั่นใจในการบริโภคเนื้อสัตว์ปีก แต่หากไม่รวมสินค้าปศุสัตว์และอาหารสัตว์ การบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.34 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยในประเทศยังมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ ทำให้การบริโภคมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น
2) ตลาดต่างประเทศ
- การส่งออก
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 ภาวะการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหารมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ร้อยละ 5.92 หรือมีการส่งออกเป็นมูลค่า 84,658.8 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนการส่งออกมีมูลค่าลดลงร้อยละ 8.35 ในขณะที่ครึ่งปี 2547 มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 164,588.5 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 7.12 สำหรับการส่งออกสินค้าอาหารในแต่ละประเภท มีดังนี้
(1) อาหารทะเลและผลิตภัณฑ์แปรรูป มีการส่งออกลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 8.83 และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.07 โดยมีมูลค่าส่งออกรวม 33,914.7 ล้านบาท เป็นผลจากการส่งออกที่ลดลงในทุกหมวด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คือ อาหารทะเลแช่เย็นแช่แข็งลดลงร้อยละ 13.51 อาหารทะเลกระป๋องลดลงร้อยละ 9.14 และอาหารทะเลแปรรูปลดลงร้อยละ 15.25 เมื่อพิจารณาเป็นรายสินค้าที่สำคัญ ส่วนใหญ่มีการส่งออกลดลงในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง ลดลงร้อยละ 8.2 และกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ลดลงร้อยละ 15.7 เป็นผลจากวัตถุดิบขาดแคลนและราคาเพิ่มสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันที่ทำให้ต้นทุนการจับปลาและสัตว์ทะเลเพิ่มขึ้น ประกอบกับที่สหรัฐอเมริกา เริ่มไต่สวนการทุ่มตลาดกุ้งจากประเทศส่งออก 6 ชาติรวมทั้งไทยด้วย นอกจากนี้ประเทศในสหภาพยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ได้หันไปนำเข้าอาหารทะเลแปรรูปและกระป๋องจากประเทศอเมริกาใต้และกลุ่มประเทศแปซิฟิกแทนการนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น
(2) ผักผลไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูป ไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 15,804.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.62 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.52 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สินค้าในหมวดนี้เกือบทุกชนิดมีการส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะสับปะรดกระป๋องซึ่งเป็นสินค้าสำคัญมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากการที่ระดับราคาส่งออกเพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากการที่วัตถุดิบมีไม่เพียงพอ ส่วนการส่งออกผักสด และผักกระป๋องและแปรรูป มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.4 และ 2.86 จากการส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดหลักๆ เช่น ตลาดญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา
(3) ผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป ไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 4,572.4 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 8.67 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 55.14 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ส่งออกที่ลดลง คือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 85 เป็นผลจากการระงับการนำเข้าของตลาดญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปที่รวมกันมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 80 ของการส่งออกไก่ไทยในตลาดโลก ส่วนการส่งออกไก่แปรรูป มีการส่งออกในมูลค่าที่ไม่แตกต่างจากปีก่อน คือ ขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1 จากการนำเข้าจากตลาดหลักเดิม
(4) ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากธัญพืชและแป้ง ไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีมูลค่าส่งออกรวมทั้งสิ้น 15,100.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.89 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักของหมวดนี้ (ร้อยละ 60 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมวด) เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.91 จากระดับราคาที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ผลิตภัณฑ์จากข้าว (แป้งข้าวต่างๆ ขนมปังกรอบ และเส้นหมี่เส้นก๋วยเตี๋ยว) และผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี (เวเฟอร์ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 11.76 และ 14.13 โดยตลาดหลักที่มีการส่งออกมากขึ้น ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย และสหรัฐฯ
(5) ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 15,266.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 16.8 เป็นผลจากการส่งออกน้ำตาลลดลงร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 35.6 เป็นผลจากการส่งออกไปยังประเทศในอาเซียนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซียและมาเลเซีย ขณะที่สินค้าอื่นๆ ในหมวดนี้สามารถส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-20 เมื่อเทียบกับปีก่อน สินค้าที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ สิ่งปรุงรส เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 และเครื่องเทศสมุนไพร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เนื่องจากมีความต้องการใช้สินค้าทั้งสองในต่างประเทศเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การ ส่งออกผลิตภัณฑ์นมเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.34 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากมีการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดน เช่น กัมพูชาและพม่า
- การนำเข้า
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมอาหารทั้งสิ้น 33,638 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสที่ 1 ปี 2547 ร้อยละ 10.65 และลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2546 ร้อยละ 0.32 โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 นำเข้าในกลุ่มสัตว์น้ำแช่เย็นแช่แข็งเป็นมูลค่า 11,347 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.27 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 0.92 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลมาจากการนำเข้าเพิ่มขึ้นของปลาทูน่าแช่เย็นแช่แข็งร้อยละ 16.04 และปลาสำเร็จรูปร้อยละ 78.51 สำหรับกลุ่มสัตว์และพืช มีมูลค่านำเข้าทั้งสิ้น 12,359.30 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 26.83 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 11.23 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากการนำเข้าลดลงของกากพืชน้ำมัน ร้อยละ 31.12 และเมล็ดพืชน้ำมันลดลง ร้อยละ 11.86 ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ได้รับผลกระทบจากปริมาณความต้องการใช้เพื่อการผลิตลดลง ส่วนในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีการนำเข้าเป็นมูลค่า 9,931.3 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน คือ ธัญพืชและธัญพืชสำเร็จรูป ร้อยละ 30.89 ผักผลไม้และของปรุงแต่งจากผักผลไม้ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.07 และผลิตภัณฑ์นม เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1
3. นโยบายของภาครัฐ
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ภาครัฐได้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร ดังนี้
- การอนุมัติให้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์โดยไม่กำหนดระยะเวลานำเข้า โควตาและอากรนำเข้าจากประเทศลาว กัมพูชาและพม่า เพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและช่วยเหลือผู้ประกอบการปศุสัตว์ให้มีวัตถุดิบเพียงพอ
- การกำหนดเขตส่งเสริมการปลูกอ้อย ที่กำหนดให้โรงงานน้ำตาลรับซื้ออ้อยเฉพาะพื้นที่ในเขตรัศมี 100 กิโลเมตร เพื่อให้มีการใช้พื้นที่นอกเขตเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นๆ ที่มีศักยภาพ และทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงจากการลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
- การกำหนดมาตรการรองรับปัญหาไข้หวัดนก ทั้งในด้านการชดเชยค่าเสียหายให้กับเกษตรกรที่ประสบปัญหาสัตว์ปีกที่เลี้ยงถูกทำลาย และการป้องกันการระบาดเพิ่มเติม โดยกำหนดเป็นกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำหนดการควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ รวมทั้งการเคลื่อนย้ายสัตว์ในกรณีขยายพันธุ์สัตว์ด้วย
4. สรุปและแนวโน้ม
แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมอาหารในไตรมาสที่สามของปี 2547 คาดว่าทั้งภาคการผลิตและการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มของฤดูกาล อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบด้านลบต่อการผลิตและส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ ข่าวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกรอบใหม่
การประกาศการไต่สวนการทุ่มตลาดกุ้งของสหรัฐอเมริกา และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3-4 ที่เป็นผลสืบเนื่องจากการย่างเข้าสู่ฤดูหนาว และปัญหาการก่อการร้ายทั่วโลก ล้วนเป็นปัจจัยลบที่จะส่งผลต่อภาคการผลิตและส่งออกของไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 ไม่ขยายตัวเท่าที่ควร
สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมอาหารในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ มีดังนี้
1) สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋อง เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง มีแนวโน้มผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศสหรัฐฯ และประเทศที่เป็นพันธมิตรมีความกังวลในด้านสงครามและการก่อการร้ายเพิ่มขึ้น ประกอบกับย่างเข้าฤดูหนาว จึงต้องสำรองอาหารประเภทกระป๋องมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากการเปิดตลาดสินค้าอาหารฮาลาลในตลาดตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น แต่ก็มีปัจจัยลบที่อาจส่งผลกระทบ คือ ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น อันอาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิตเหล็กที่เป็นบรรจุภัณฑ์ และการขนส่งที่แพงขึ้น
2) สินค้าพืชผักผลไม้แปรรูป สับปะรดกระป๋องและผลิตภัณฑ์ ซึ่งไทยมีส่วนแบ่งตลาดในโลกกว่าร้อยละ 30 มีแนวโน้มผลิตและส่งออกดีขึ้น เนื่องจากระดับราคายังคงสูงกว่าในปีก่อนๆ จากการที่วัตถุดิบมีปริมาณน้อย นอกจากนี้ผักและผลไม้อื่นๆ จะได้รับประโยชน์จากการเปิดตลาดสินค้ากับประเทศจีนและญี่ปุ่น เช่น มังคุด ทุเรียน และผักแปรรูป แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงด้านปัญหาด้านภัยธรรมชาติที่อาจทำให้วัตถุดิบลดลงได้
3) สินค้าปศุสัตว์แปรรูป มูลค่ากว่าร้อยละ 90 ของหมวดนี้ คือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งมีแนวโน้มที่จะผลิตและส่งออกในปริมาณและมูลค่าที่ลดลงเป็นอย่างมาก จากการที่ตลาดหลัก (ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป) ยังประกาศระงับการนำเข้าต่อไป ส่วนไก่แปรรูป ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทดแทนการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง
4) สินค้าแปรรูปจากธัญพืชและแป้ง ผลิตภัณฑ์ในหมวดนี้มีแนวโน้มทรงตัวในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะสงคราม ทำให้ความต้องการในตลาดโลกไม่เพิ่มขึ้น ประกอบกับเป็นช่วง ที่วัตถุดิบมักประสบปัญหาภัยธรรมชาติ (น้ำท่วม)
5) สินค้าอื่นๆ เช่น สินค้าน้ำตาลทราย คาดว่าจะสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นหลังจากการเจรจากับประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ผลิตภัณฑ์นม จะมีการผลิตและส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น นอกจากนี้สมุนไพรและเครื่องปรุงรส มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากผู้บริโภคในประเทศที่หันมาให้ความสนใจกับอาหารเพื่อสุขภาพ และการประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติรู้จักและบริโภคอาหารไทยเพิ่มขึ้น
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-