ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ปรับเกณฑ์หนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญสำหรับ ธพ.เพิ่มสำรองอีกร้อยละ 25-100 ผอส.สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศ
ไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ส่งหนังสือเวียนถึง ธพ. บง.และ บค.เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มี
ราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของ บง. และ บค. ที่แม้ว่ามีเงินกันสำรองที่เพียงพอ แต่เพื่อสร้างความมั่นคงในฐานะการเงินและศักยภาพของบริษัทให้เข้มแข็ง
ขึ้นและส่งเสริมให้ บง.และ บค.เร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้สำเร็จเร็วขึ้น โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค.47 เป็นต้นไป โดยประกาศ
ฉบับนี้ สินทรัพย์จัดชั้นจะสูญที่ ธพ.ยังไม่ได้ปรับโครงสร้างหนี้หรือฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฎหมายให้ธนาคารกันสำรองดังนี้ คือ 1) ลูกหนี้ที่ค้างชำระเกิน
12 เดือน แต่ไม่เกิน 24 เดือน ให้นำมูลค่าของหลักประกันมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ และให้กันเงินสำรองในอัตราร้อยละ 100 2)
ลูกหนี้ที่ค้างเกินกว่า 24 เดือน แต่ไม่เกิน 36 เดือน ให้กันสำรองเพิ่มจากเดิมอีกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 3) ลูกหนี้ที่ค้างชำระเกิน 36 เดือน แต่ไม่
เกิน 48 เดือน ให้กันเงินสำรองเพิ่มอีกร้อยละ 50 ของยอดคงค้างหลังหักเงินสำรองที่ธนาคารได้กันไว้แล้วสำหรับลูกหนี้รายนั้น และ 4) ลูกหนี้ที่ค้าง
ชำระเกิน 48 เดือน ให้กันเงินสำรองเพิ่มจากที่สำรองไว้แล้วในครั้งแรกเต็มจำนวนของยอดคงค้างหลังหักเงินสำรองที่ได้กันไว้แล้ว (มติชน, ไทยรัฐ, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ไทยเตรียมจัดทำรายการสินค้าอ่อนไหว 6 กลุ่มเพื่อใช้ในการจัดทำเอฟทีเอระหว่างไทยกับ สรอ. รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่าง
ประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลจากภาคเอกชนในหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อนำไปจัดทำรายการสินค้าอ่อนไหว 6 กลุ่ม คือ
กลุ่มโลหะ ได้แก่ เหล็กและทองแดง กลุ่มเคมีภัณฑ์ ได้แก่ สีและไนล่อน กลุ่มแอลบูมิน (ไข่ผง) กลุ่มสิ่งพิมพ์ กลุ่มกระจกแก้ว และกลุ่มยาง เพื่อเสนอ
ต่อหัวหน้าคณะเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-สรอ.. ที่จะเจรจาระหว่างวันที่ 11-15 ต.ค.47 ที่ฮาวาย เพราะรายการสินค้าอ่อนไหว
ที่ภาคเอกชนแจ้งนั้น ยังไม่มีรายละเอียดเพียงพอที่จะไปใช้เจรจาต่อรองกับ สรอ.ในการขอเลื่อนระยะการลดภาษีออกไปมากกว่า 10 ปี ตามที่เอกชน
ร้องขอ (มติชน, ไทยรัฐ)
3. สภาพัฒน์คาดจีดีพีของภาคเหนือในปี 47 จะลดลงเหลือร้อยละ 6 ผอ.สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมภาคเหนือ (สภาพัฒน์)
เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ภาคเหนือในปี 47 และภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจมีผลให้การ
เติบโตของจีดีพีเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ 8 อาจเติบโตเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น โดยภาคธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบ
จากปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง คือ ธุรกิจบริการท่องเที่ยว เพราะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอาจมีผลให้นักท่องเที่ยวชะลอการตัดสินใจเดินทาง
ท่องเที่ยวได้ (กรุงเทพธุรกิจ)
4. คณะกรรมการนโยบายหนี้ของประเทศมีมติเห็นชอบแผนการก่อหนี้ต่างประเทศประจำปีงบประมาณ 48 จำนวนไม่เกิน 1 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ. รมช.ก.คลัง ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายหนี้ของประเทศ เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบเพดานแผนการก่อหนี้ต่าง
ประเทศประจำปีงบประมาณ 48 จำนวน 7 โครงการ วงเงินไม่เกิน 1 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือประมาณ 4 หมื่น ล.บาท โดยโครงการที่จะได้
รับสิทธิในการกู้เงินจากต่างประเทศในปีงบประมาณหน้า จะพิจารณาจากความจำเป็นของโครงการเป็นสำคัญ ความพร้อมของโครงการและความพยายาม
ลดเพดานการกู้เงินเดิมลง (ข่าวสด, บ้านเมือง, แนวหน้า)
5. ก.คลังเตรียมศึกษาโครงสร้างภาษีของประเทศใหม่ทั้งหมด ผู้ช่วย รมว.ก.คลัง (นายวีระชัย วีระเมธีกุล) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ก.คลัง
กำลังศึกษาโครงสร้างภาษีของประเทศใหม่ทั้งหมดทั้งโครงสร้างภาษีสรรพากร ภาษีศุลกากร และภาษีสรรพสามิต เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่
เปลี่ยนแปลงไป และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก ขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของสังคมในระดับล่าง ทั้งนี้
การปรับโครงสร้างภาษีดังกล่าวจะอยู่บนหลักการที่ว่า ทำให้อัตราภาษีลดลงแต่ได้ฐานของผู้เสียภาษีมากขึ้น และต้องไม่มีอัตราภาษีที่มากเกินไปหรือ
ซ้ำซ้อนเกินไปเพื่อให้เกิดความง่ายต่อการจัดเก็บและการเสียภาษี เพื่อให้เกิดความง่ายต่อการจัดเก็บและการเสียภาษี แต่เมื่อคำนวณรายละเอียด
ทั้งหมดแล้วทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มมากขึ้นกว่าปัจจุบันแน่นอนเพราะฐานภาษีจะใหญ่ขึ้น (เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. สรอ.ปรับลดตัวเลข GDP ของไตรมาสที่ 2 ปีนี้เหลือร้อยละ 2.8 ต่อปี รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 27 ส.ค.47 สรอ.ปรับลดประมาณ
การ GDP ของไตรมาสที่ 2 ปีนี้เหลือร้อยละ 2.8 ต่อปีจากประมาณการครั้งแรกร้อยละ 3.0 เมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้ GDP ของไตรมาสที่ 2 ปีนี้ต่ำกว่า
ของไตรมาสแรกซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 4.5 มากและถือเป็นอัตราการขยายตัวของ GDP ต่อไตรมาสต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 46 การปรับลดประมาณการ
GDP ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก สรอ.ขาดดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือน มิ.ย.47 จำนวน 55.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ.สูงกว่าที่ประมาณการ
ไว้เมื่อเดือนที่แล้วมาก อันเป็นผลจากการปรับปรุงตัวเลขยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นในขณะที่ปรับตัวเลขยอดส่งออกลดลง ในขณะเดียวกันกำไรของธุรกิจก็ลดลง
ร้อยละ 1.2 ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 46 ซึ่งกำไรของธุรกิจลดลงร้อยละ 4.5 โดยดัชนีราคา
ผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 ต่อปีลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสแรกซึ่งขยายตัวร้อยละ 3.3 ต่อปี แต่หากไม่รวมราคาอาหารและพลังงานแล้ว ดัชนีราคาผู้
บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ต่อปีลดลงเล็กน้อยจากประมาณการครั้งแรกที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี (รอยเตอร์)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ.ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปลายเดือน ส.ค.47 รายงานจากนิวยอร์กเมื่อ 27 ส.ค.47
The University of Michigan เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ.ในช่วงปลายเดือน ส.ค.47 ว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ
95.9 จากระดับ 94.0 ในช่วงต้นเดือน แต่ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 96.7 ในช่วงสิ้นเดือน ก.ค.47 อย่างไรก็ตาม ยังคงสูงกว่าการคาดการณ์ของ
นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงต้นเดือนที่ระดับ 94.0 ทั้งนี้ การที่ดัชนีฯ ในช่วงปลายเดือน ส.ค. ปรับตัวดีขึ้น มีสาเหตุจาก
สถานการณ์ราคาน้ำมันซึ่งเริ่มคลี่คลายลงหลังจากที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในช่วงต้นเดือน ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับการก่อการร้ายเริ่มบรรเทาลง
เห็นได้จากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงเอเธนส์ ที่สามารถดำเนินไปด้วยดีโดยไม่มีสถานการณ์ร้ายใดๆ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวะ
เศรษฐกิจปัจจุบันในช่วงปลายเดือน ส.ค.47 ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 107.9 จากระดับ 105.2 ในเดือนก่อน แต่ยังคงต่ำกว่าระดับ 108.4 ในช่วง
ต้นเดือน ส.ค.47 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความคาดหวังของผู้บริโภคในช่วงเวลาเดียวกัน ปรับตัวลดลงที่ระดับ 88.2 จากระดับ 91.2 ในเดือน
ก่อน แต่เพิ่มขึ้นจากระดับ 84.7 ในช่วงต้นเดือน (รอยเตอร์)
3. ไตรมาสที่ 2 ปีนี้เศรษฐกิจอังกฤษขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายอย่างแข็งแกร่งของผู้บริโภค รายงานจากลอนดอน เมื่อวันที่
27 ส.ค. 47 รัฐบาลอังกฤษเปิดเผยว่าในไตรมาสที่ 2 ปี 47 เศรษฐกิจอังกฤษขยายตัวร้อยละ 0.9 จากไตรมาสที่ 1 (ตัวเลขก่อนปรับฤดูกาล)
และขยายตัวถึงร้อยละ 3.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ขยายตัวอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี เนื่องจากการใช้จ่ายอย่าง
แข็งแกร่งในภาคครัวเรือนประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐ นักวิเคราะห์กล่าวว่าการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งดังกล่าวต่อเนื่องมานับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3
ปี 44 โดยมีการฟื้นตัวในภาคอุตสาหกรรมการผลิต นอกจากนั้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูงทำให้คาดว่า ธ.กลางอังกฤษอาจจะพิจารณา
ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก ทั้งๆที่ดูเหมือนว่าตลาดที่อยู่อาศัยจะเริ่มชะลอตัวลงแล้วก็ตาม ( รอยเตอร์)
4. จีนจะใช้เงินกว่า 120 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าภายในปี 53 รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
เมื่อวันที่ 29 ส.ค.47 จีนจะใช้เงินลงทุนกว่า 120 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ภายในปี 53 ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกกว่าร้อยละ 50 เพื่อแก้
ปัญหาการขาดแคลนกระแสไฟฟ้าที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ทั้งนี้ จีนเป็นประเทศผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรอง
จาก สรอ. โดยการเพิ่มกำลังการผลิตครั้งนี้จะทำให้กำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าของจีนในระหว่างปี 49-53 เพิ่มจาก 215,000 เมกะวัตต์ เป็น
245,000 เมกะวัตต์ ปัจจุบันจีนมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าประมาณ 400,000 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะขาดแคลนกระแสไฟฟ้าประมาณ 40,000
เมกะวัตต์ ในพื้นที่กว่า 2 ใน 3 ของจีน แม้ว่าผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าของจีนจะใช้เงินลงทุนไปแล้วหลายพันล้านดอลลาร์ สรอ. ในการสร้างโรงงาน
ผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะดำเนินการผลิตได้จริง ในขณะที่การที่ไฟฟ้าดับได้ส่งผลทำให้โรงงานและภาคธุรกิจต่าง ๆ ต้องปิด
การดำเนินการเป็นเวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ซึ่งการขาดแคลนกระแสไฟฟ้าดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ขยายตัว
สูงถึงร้อยละ 9.6 ในไตรมาส 2 ของปีนี้เทียบกับปีก่อน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 30 ส.ค. 47 27 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.619 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.4356/41.7200 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1. 3750-1.6500 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 620.12/18.93 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,850/7,950 7,900/8,000 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 37.24 36.95 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.79*/14.59 21.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 24 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ธปท.ปรับเกณฑ์หนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญสำหรับ ธพ.เพิ่มสำรองอีกร้อยละ 25-100 ผอส.สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศ
ไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ส่งหนังสือเวียนถึง ธพ. บง.และ บค.เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มี
ราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของ บง. และ บค. ที่แม้ว่ามีเงินกันสำรองที่เพียงพอ แต่เพื่อสร้างความมั่นคงในฐานะการเงินและศักยภาพของบริษัทให้เข้มแข็ง
ขึ้นและส่งเสริมให้ บง.และ บค.เร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้สำเร็จเร็วขึ้น โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค.47 เป็นต้นไป โดยประกาศ
ฉบับนี้ สินทรัพย์จัดชั้นจะสูญที่ ธพ.ยังไม่ได้ปรับโครงสร้างหนี้หรือฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฎหมายให้ธนาคารกันสำรองดังนี้ คือ 1) ลูกหนี้ที่ค้างชำระเกิน
12 เดือน แต่ไม่เกิน 24 เดือน ให้นำมูลค่าของหลักประกันมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ และให้กันเงินสำรองในอัตราร้อยละ 100 2)
ลูกหนี้ที่ค้างเกินกว่า 24 เดือน แต่ไม่เกิน 36 เดือน ให้กันสำรองเพิ่มจากเดิมอีกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 3) ลูกหนี้ที่ค้างชำระเกิน 36 เดือน แต่ไม่
เกิน 48 เดือน ให้กันเงินสำรองเพิ่มอีกร้อยละ 50 ของยอดคงค้างหลังหักเงินสำรองที่ธนาคารได้กันไว้แล้วสำหรับลูกหนี้รายนั้น และ 4) ลูกหนี้ที่ค้าง
ชำระเกิน 48 เดือน ให้กันเงินสำรองเพิ่มจากที่สำรองไว้แล้วในครั้งแรกเต็มจำนวนของยอดคงค้างหลังหักเงินสำรองที่ได้กันไว้แล้ว (มติชน, ไทยรัฐ, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ไทยเตรียมจัดทำรายการสินค้าอ่อนไหว 6 กลุ่มเพื่อใช้ในการจัดทำเอฟทีเอระหว่างไทยกับ สรอ. รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่าง
ประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลจากภาคเอกชนในหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อนำไปจัดทำรายการสินค้าอ่อนไหว 6 กลุ่ม คือ
กลุ่มโลหะ ได้แก่ เหล็กและทองแดง กลุ่มเคมีภัณฑ์ ได้แก่ สีและไนล่อน กลุ่มแอลบูมิน (ไข่ผง) กลุ่มสิ่งพิมพ์ กลุ่มกระจกแก้ว และกลุ่มยาง เพื่อเสนอ
ต่อหัวหน้าคณะเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-สรอ.. ที่จะเจรจาระหว่างวันที่ 11-15 ต.ค.47 ที่ฮาวาย เพราะรายการสินค้าอ่อนไหว
ที่ภาคเอกชนแจ้งนั้น ยังไม่มีรายละเอียดเพียงพอที่จะไปใช้เจรจาต่อรองกับ สรอ.ในการขอเลื่อนระยะการลดภาษีออกไปมากกว่า 10 ปี ตามที่เอกชน
ร้องขอ (มติชน, ไทยรัฐ)
3. สภาพัฒน์คาดจีดีพีของภาคเหนือในปี 47 จะลดลงเหลือร้อยละ 6 ผอ.สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมภาคเหนือ (สภาพัฒน์)
เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ภาคเหนือในปี 47 และภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจมีผลให้การ
เติบโตของจีดีพีเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ 8 อาจเติบโตเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น โดยภาคธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบ
จากปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง คือ ธุรกิจบริการท่องเที่ยว เพราะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอาจมีผลให้นักท่องเที่ยวชะลอการตัดสินใจเดินทาง
ท่องเที่ยวได้ (กรุงเทพธุรกิจ)
4. คณะกรรมการนโยบายหนี้ของประเทศมีมติเห็นชอบแผนการก่อหนี้ต่างประเทศประจำปีงบประมาณ 48 จำนวนไม่เกิน 1 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ. รมช.ก.คลัง ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายหนี้ของประเทศ เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบเพดานแผนการก่อหนี้ต่าง
ประเทศประจำปีงบประมาณ 48 จำนวน 7 โครงการ วงเงินไม่เกิน 1 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือประมาณ 4 หมื่น ล.บาท โดยโครงการที่จะได้
รับสิทธิในการกู้เงินจากต่างประเทศในปีงบประมาณหน้า จะพิจารณาจากความจำเป็นของโครงการเป็นสำคัญ ความพร้อมของโครงการและความพยายาม
ลดเพดานการกู้เงินเดิมลง (ข่าวสด, บ้านเมือง, แนวหน้า)
5. ก.คลังเตรียมศึกษาโครงสร้างภาษีของประเทศใหม่ทั้งหมด ผู้ช่วย รมว.ก.คลัง (นายวีระชัย วีระเมธีกุล) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ก.คลัง
กำลังศึกษาโครงสร้างภาษีของประเทศใหม่ทั้งหมดทั้งโครงสร้างภาษีสรรพากร ภาษีศุลกากร และภาษีสรรพสามิต เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่
เปลี่ยนแปลงไป และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก ขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของสังคมในระดับล่าง ทั้งนี้
การปรับโครงสร้างภาษีดังกล่าวจะอยู่บนหลักการที่ว่า ทำให้อัตราภาษีลดลงแต่ได้ฐานของผู้เสียภาษีมากขึ้น และต้องไม่มีอัตราภาษีที่มากเกินไปหรือ
ซ้ำซ้อนเกินไปเพื่อให้เกิดความง่ายต่อการจัดเก็บและการเสียภาษี เพื่อให้เกิดความง่ายต่อการจัดเก็บและการเสียภาษี แต่เมื่อคำนวณรายละเอียด
ทั้งหมดแล้วทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มมากขึ้นกว่าปัจจุบันแน่นอนเพราะฐานภาษีจะใหญ่ขึ้น (เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. สรอ.ปรับลดตัวเลข GDP ของไตรมาสที่ 2 ปีนี้เหลือร้อยละ 2.8 ต่อปี รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 27 ส.ค.47 สรอ.ปรับลดประมาณ
การ GDP ของไตรมาสที่ 2 ปีนี้เหลือร้อยละ 2.8 ต่อปีจากประมาณการครั้งแรกร้อยละ 3.0 เมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้ GDP ของไตรมาสที่ 2 ปีนี้ต่ำกว่า
ของไตรมาสแรกซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 4.5 มากและถือเป็นอัตราการขยายตัวของ GDP ต่อไตรมาสต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 46 การปรับลดประมาณการ
GDP ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก สรอ.ขาดดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือน มิ.ย.47 จำนวน 55.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ.สูงกว่าที่ประมาณการ
ไว้เมื่อเดือนที่แล้วมาก อันเป็นผลจากการปรับปรุงตัวเลขยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นในขณะที่ปรับตัวเลขยอดส่งออกลดลง ในขณะเดียวกันกำไรของธุรกิจก็ลดลง
ร้อยละ 1.2 ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 46 ซึ่งกำไรของธุรกิจลดลงร้อยละ 4.5 โดยดัชนีราคา
ผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 ต่อปีลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสแรกซึ่งขยายตัวร้อยละ 3.3 ต่อปี แต่หากไม่รวมราคาอาหารและพลังงานแล้ว ดัชนีราคาผู้
บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ต่อปีลดลงเล็กน้อยจากประมาณการครั้งแรกที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี (รอยเตอร์)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ.ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปลายเดือน ส.ค.47 รายงานจากนิวยอร์กเมื่อ 27 ส.ค.47
The University of Michigan เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ.ในช่วงปลายเดือน ส.ค.47 ว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ
95.9 จากระดับ 94.0 ในช่วงต้นเดือน แต่ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 96.7 ในช่วงสิ้นเดือน ก.ค.47 อย่างไรก็ตาม ยังคงสูงกว่าการคาดการณ์ของ
นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงต้นเดือนที่ระดับ 94.0 ทั้งนี้ การที่ดัชนีฯ ในช่วงปลายเดือน ส.ค. ปรับตัวดีขึ้น มีสาเหตุจาก
สถานการณ์ราคาน้ำมันซึ่งเริ่มคลี่คลายลงหลังจากที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในช่วงต้นเดือน ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับการก่อการร้ายเริ่มบรรเทาลง
เห็นได้จากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงเอเธนส์ ที่สามารถดำเนินไปด้วยดีโดยไม่มีสถานการณ์ร้ายใดๆ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวะ
เศรษฐกิจปัจจุบันในช่วงปลายเดือน ส.ค.47 ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 107.9 จากระดับ 105.2 ในเดือนก่อน แต่ยังคงต่ำกว่าระดับ 108.4 ในช่วง
ต้นเดือน ส.ค.47 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความคาดหวังของผู้บริโภคในช่วงเวลาเดียวกัน ปรับตัวลดลงที่ระดับ 88.2 จากระดับ 91.2 ในเดือน
ก่อน แต่เพิ่มขึ้นจากระดับ 84.7 ในช่วงต้นเดือน (รอยเตอร์)
3. ไตรมาสที่ 2 ปีนี้เศรษฐกิจอังกฤษขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายอย่างแข็งแกร่งของผู้บริโภค รายงานจากลอนดอน เมื่อวันที่
27 ส.ค. 47 รัฐบาลอังกฤษเปิดเผยว่าในไตรมาสที่ 2 ปี 47 เศรษฐกิจอังกฤษขยายตัวร้อยละ 0.9 จากไตรมาสที่ 1 (ตัวเลขก่อนปรับฤดูกาล)
และขยายตัวถึงร้อยละ 3.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ขยายตัวอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี เนื่องจากการใช้จ่ายอย่าง
แข็งแกร่งในภาคครัวเรือนประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐ นักวิเคราะห์กล่าวว่าการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งดังกล่าวต่อเนื่องมานับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3
ปี 44 โดยมีการฟื้นตัวในภาคอุตสาหกรรมการผลิต นอกจากนั้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูงทำให้คาดว่า ธ.กลางอังกฤษอาจจะพิจารณา
ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก ทั้งๆที่ดูเหมือนว่าตลาดที่อยู่อาศัยจะเริ่มชะลอตัวลงแล้วก็ตาม ( รอยเตอร์)
4. จีนจะใช้เงินกว่า 120 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าภายในปี 53 รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
เมื่อวันที่ 29 ส.ค.47 จีนจะใช้เงินลงทุนกว่า 120 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ภายในปี 53 ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกกว่าร้อยละ 50 เพื่อแก้
ปัญหาการขาดแคลนกระแสไฟฟ้าที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ทั้งนี้ จีนเป็นประเทศผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรอง
จาก สรอ. โดยการเพิ่มกำลังการผลิตครั้งนี้จะทำให้กำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าของจีนในระหว่างปี 49-53 เพิ่มจาก 215,000 เมกะวัตต์ เป็น
245,000 เมกะวัตต์ ปัจจุบันจีนมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าประมาณ 400,000 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะขาดแคลนกระแสไฟฟ้าประมาณ 40,000
เมกะวัตต์ ในพื้นที่กว่า 2 ใน 3 ของจีน แม้ว่าผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าของจีนจะใช้เงินลงทุนไปแล้วหลายพันล้านดอลลาร์ สรอ. ในการสร้างโรงงาน
ผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะดำเนินการผลิตได้จริง ในขณะที่การที่ไฟฟ้าดับได้ส่งผลทำให้โรงงานและภาคธุรกิจต่าง ๆ ต้องปิด
การดำเนินการเป็นเวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ซึ่งการขาดแคลนกระแสไฟฟ้าดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ขยายตัว
สูงถึงร้อยละ 9.6 ในไตรมาส 2 ของปีนี้เทียบกับปีก่อน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 30 ส.ค. 47 27 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.619 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.4356/41.7200 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1. 3750-1.6500 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 620.12/18.93 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,850/7,950 7,900/8,000 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 37.24 36.95 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.79*/14.59 21.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 24 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-