กรุงเทพ--31 ส.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม นาย Masatoshi Abe รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศญี่ปุ่น ได้เข้าพบ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ ที่กระทรวงการต่างประเทศ ภายหลังการพบหารือ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมว่าด้วยพลังงานชีวภาพและปัญหาท้าทายสำหรับเอเชีย เพราะ รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ โดยนโยบายของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบันเน้นเรื่องการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในภูมิภาค ซึ่งญี่ปุ่นเห็นว่าการที่ประเทศไทยได้จัดการประชุมดังกล่าวขึ้นนับเป็นจังหวะเวลาที่ดีเมื่อคำนึงถึงการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นอยู่แล้ว ที่เน้นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและการแสวงหาแหล่งพลังงานทดแทนใหม่ๆ
2. การพบหารือครั้งนี้ครอบคลุมในหลายเรื่อง โดยญี่ปุ่นสนใจความร่วมมือในกรอบ ECS เนื่องจากจะเดินทางเยือนลาวและกัมพูชาต่อไปด้วย ทั้งนี้ ญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมาโดยตลอด โดยเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความแข็งแกร่งให้กับอาเซียนและการลดช่องว่างในระดับในการพัฒนา ญี่ปุ่นแสดงความชื่นชมบทบาทของไทยโดยเฉพาะการที่ไทยมีความ ร่วมมือในกรอบ ECS ซึ่งถือเป็นการริเริ่มที่ญี่ปุ่นให้การสนับสนุน ซึ่งในการหารือฝ่ายญี่ปุ่นต้องการทราบความคืบหน้าของ ECS รวมทั้งต้องการประสานงานความร่วมมือกับฝ่ายไทยในเรื่องนี้ด้วย ซึ่ง ดร. สุรเกียรติ์ฯ ก็ได้แจ้งให้ญี่ปุ่นทราบว่า ECS มีความคืบหน้าในด้านใดบ้าง และความร่วมมือในกรอบมีกี่ด้าน ทั้งนี้ ความร่วมมือที่ได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ เรื่องที่ไทยได้ลดภาษีแก่สินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน การทำ Contract Farming การตั้งนิคมอุตสาหกรรม การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม และการท่องเที่ยว เป็นต้น
3. ดร. สุรเกียรติ์ฯ ได้แสดงความเห็นว่า เนื่องจากนาย Abe จะเดินทางไปลาว ฝ่ายไทยจึงประสงค์ให้ญี่ปุ่นพิจารณาดูว่าจะสามารถประสานความร่วมมือกัยไทยในบางโครงการได้อย่างไรบ้าง โดยยกตัวอย่างฝรั่งเศสซึ่งสนใจความร่วมมือกับไทยในการสร้างเส้นทางรถไฟจากหนองคายไปเวียงจันทน์ ทั้งนี้ ดร. สุรเกียรติ์ฯ เห็นว่าญี่ปุ่นควรจะเข้ามามีบทบาท เนื่องจากญี่ปุ่นได้มีบทบาทอยู่แล้วในการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 และการพัฒนาเส้นทางจากมุกดาหารไปยังเวียดนาม โดยโครงการหนึ่งที่ ดร. สุรเกียรติ์ฯ ได้ยกเป็นตัวอย่างก็คือ เรื่องการพัฒนาสนามบินสะหวันนะเขต ซึ่งเป็นโครงการที่นายกรัฐมนตรีไทยกับลาวได้มีการหารือกันและเห็นพ้องร่วมกันในหลักการ ในช่วงที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-ลาวและการวางศิลาฤกษ์สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 เพราะสนามบินดังกล่าวจะเป็นทั้งสนามบินภายในของไทยและสนามบินระหว่างประเทศของลาวเหมือนเช่นสนามบิน ที่กรุงเจนีวา ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทยประสงค์ที่จะเข้าไปช่วยในการพัฒนาสนามบินที่ สะหวันนะเขตดังกล่าว ทั้งนี้ ดร. สุรเกียรติ์ฯ ประสงค์ให้ญี่ปุ่นพิจารณาศึกษาดูว่ามีความ สนใจจะเข้ามาร่วมมือในเรื่องนี้ได้หรือไม่ อย่างไร ซึ่งจะเชื่อมโยงไปถึงการใช้ประโยชน์ ในเส้นทางหมายเลข 9 ด้วย ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นได้ตอบรับที่จะนำไปศึกษา
4. ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับการเจรจาการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น โดย เห็นว่าการเจรจาดังกล่าวมีความคืบหน้าและกำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญที่จะมาหารือกันในการลดภาษีสำหรับสินค้าต่างๆ และหวังว่าจะมีความคืบหน้าต่อไป ทั้งนี้ ในเดือนกันยายน 2547 จะมีการเจรจาอีกรอบหนึ่ง โดยในขณะนี้เริ่มมีการเจรจากันอย่างจริงจังแล้ว โดยแต่ละฝ่ายแสดงความพร้อมที่จะลดภาษีในรายการใดได้บ้าง ขณะเดียวกันก็ต้องการให้อีกฝ่ายลดภาษีในรายการใดบ้าง
5. ในส่วนของเรื่องพม่า ดร. สุรเกียรติ์ฯ ได้แจ้งให้ฝ่ายญี่ปุ่นทราบเรื่องการเยือนไทยของ พล. อ. ขิ่น ยุ้นต์ ซึ่งมาเยือนไทยทั้งในระดับทวิภาคี และเพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำ BIMSTEC และการหารือกับ พล. อ. ฉ่วย มาน ซึ่งได้เดินทางมาเยือนไทยล่าสุด โดยได้แจ้งให้ทราบว่าไทยสนับสนุนการปรองดองแห่งชาติในพม่า โดยช่วงที่ผ่านมาก็เป็น ที่ประจักษ์ว่ามีความคืบหน้า ซึ่งฝ่ายไทยก็ปรารถนาที่จะเห็นความคืบหน้าที่รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการปล่อยตัวนางอองซานซูจี ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นก็มีท่าทีที่ตรงกับไทยที่สนับสนุนกระบวนการปรองดองแห่งชาติในพม่า ขณะเดียวกันก็เห็นว่ากระบวนการปรองดองและการประชุมเพื่อไปสู่ประชาธิปไตยนั้นควรดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน (step by step)
6. นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือกันในเรื่ององค์การสหประชาชาติ โดยญี่ปุ่นแจ้งว่าเห็นความสำคัญของการปฏิรูปองค์การสหประชาชาติ และจากกรณีอิรักญี่ปุ่นเห็นว่าสหประชาชาติจะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น จึงควรมีการปฏิรูปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความพร้อมให้กับสหประชาชาติในการที่จะรับกับปัญหาท้าทายต่างๆ ในส่วนของญี่ปุ่นก็มีบทบาทแข็งขันในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี Koizumi ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ขณะนี้ญี่ปุ่นต้องการจะมีบทบาทมากขึ้นในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ และสมัครที่จะเป็นสมาชิกอย่างไม่ถาวรในปี 2005-2006 และต่อไปเมื่อมีการปฏิรูปญี่ปุ่นประสงค์จะเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงฯ ซึ่งเรื่องนี้ยังคงจะต้องหารือกัน ต่อไป ในส่วนของไทยก็แจ้งว่าไทยเห็นความสำคัญของการปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ รวมทั้งสนับสนุนการทำงานของคณะผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อการปฏิรูปองค์การ สหประชาชาติที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงสนับสนุนญี่ปุ่นเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงที่ไม่ถาวรสำหรับปี 2005-2006 และในหลักการไทยเล็งเห็น ถึงบทบาทที่สำคัญของญี่ปุ่นในคณะมนตรีความมั่นคงฯ ด้วย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม นาย Masatoshi Abe รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศญี่ปุ่น ได้เข้าพบ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ ที่กระทรวงการต่างประเทศ ภายหลังการพบหารือ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมว่าด้วยพลังงานชีวภาพและปัญหาท้าทายสำหรับเอเชีย เพราะ รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ โดยนโยบายของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบันเน้นเรื่องการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในภูมิภาค ซึ่งญี่ปุ่นเห็นว่าการที่ประเทศไทยได้จัดการประชุมดังกล่าวขึ้นนับเป็นจังหวะเวลาที่ดีเมื่อคำนึงถึงการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นอยู่แล้ว ที่เน้นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและการแสวงหาแหล่งพลังงานทดแทนใหม่ๆ
2. การพบหารือครั้งนี้ครอบคลุมในหลายเรื่อง โดยญี่ปุ่นสนใจความร่วมมือในกรอบ ECS เนื่องจากจะเดินทางเยือนลาวและกัมพูชาต่อไปด้วย ทั้งนี้ ญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมาโดยตลอด โดยเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความแข็งแกร่งให้กับอาเซียนและการลดช่องว่างในระดับในการพัฒนา ญี่ปุ่นแสดงความชื่นชมบทบาทของไทยโดยเฉพาะการที่ไทยมีความ ร่วมมือในกรอบ ECS ซึ่งถือเป็นการริเริ่มที่ญี่ปุ่นให้การสนับสนุน ซึ่งในการหารือฝ่ายญี่ปุ่นต้องการทราบความคืบหน้าของ ECS รวมทั้งต้องการประสานงานความร่วมมือกับฝ่ายไทยในเรื่องนี้ด้วย ซึ่ง ดร. สุรเกียรติ์ฯ ก็ได้แจ้งให้ญี่ปุ่นทราบว่า ECS มีความคืบหน้าในด้านใดบ้าง และความร่วมมือในกรอบมีกี่ด้าน ทั้งนี้ ความร่วมมือที่ได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ เรื่องที่ไทยได้ลดภาษีแก่สินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน การทำ Contract Farming การตั้งนิคมอุตสาหกรรม การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม และการท่องเที่ยว เป็นต้น
3. ดร. สุรเกียรติ์ฯ ได้แสดงความเห็นว่า เนื่องจากนาย Abe จะเดินทางไปลาว ฝ่ายไทยจึงประสงค์ให้ญี่ปุ่นพิจารณาดูว่าจะสามารถประสานความร่วมมือกัยไทยในบางโครงการได้อย่างไรบ้าง โดยยกตัวอย่างฝรั่งเศสซึ่งสนใจความร่วมมือกับไทยในการสร้างเส้นทางรถไฟจากหนองคายไปเวียงจันทน์ ทั้งนี้ ดร. สุรเกียรติ์ฯ เห็นว่าญี่ปุ่นควรจะเข้ามามีบทบาท เนื่องจากญี่ปุ่นได้มีบทบาทอยู่แล้วในการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 และการพัฒนาเส้นทางจากมุกดาหารไปยังเวียดนาม โดยโครงการหนึ่งที่ ดร. สุรเกียรติ์ฯ ได้ยกเป็นตัวอย่างก็คือ เรื่องการพัฒนาสนามบินสะหวันนะเขต ซึ่งเป็นโครงการที่นายกรัฐมนตรีไทยกับลาวได้มีการหารือกันและเห็นพ้องร่วมกันในหลักการ ในช่วงที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-ลาวและการวางศิลาฤกษ์สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 เพราะสนามบินดังกล่าวจะเป็นทั้งสนามบินภายในของไทยและสนามบินระหว่างประเทศของลาวเหมือนเช่นสนามบิน ที่กรุงเจนีวา ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทยประสงค์ที่จะเข้าไปช่วยในการพัฒนาสนามบินที่ สะหวันนะเขตดังกล่าว ทั้งนี้ ดร. สุรเกียรติ์ฯ ประสงค์ให้ญี่ปุ่นพิจารณาศึกษาดูว่ามีความ สนใจจะเข้ามาร่วมมือในเรื่องนี้ได้หรือไม่ อย่างไร ซึ่งจะเชื่อมโยงไปถึงการใช้ประโยชน์ ในเส้นทางหมายเลข 9 ด้วย ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นได้ตอบรับที่จะนำไปศึกษา
4. ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับการเจรจาการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น โดย เห็นว่าการเจรจาดังกล่าวมีความคืบหน้าและกำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญที่จะมาหารือกันในการลดภาษีสำหรับสินค้าต่างๆ และหวังว่าจะมีความคืบหน้าต่อไป ทั้งนี้ ในเดือนกันยายน 2547 จะมีการเจรจาอีกรอบหนึ่ง โดยในขณะนี้เริ่มมีการเจรจากันอย่างจริงจังแล้ว โดยแต่ละฝ่ายแสดงความพร้อมที่จะลดภาษีในรายการใดได้บ้าง ขณะเดียวกันก็ต้องการให้อีกฝ่ายลดภาษีในรายการใดบ้าง
5. ในส่วนของเรื่องพม่า ดร. สุรเกียรติ์ฯ ได้แจ้งให้ฝ่ายญี่ปุ่นทราบเรื่องการเยือนไทยของ พล. อ. ขิ่น ยุ้นต์ ซึ่งมาเยือนไทยทั้งในระดับทวิภาคี และเพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำ BIMSTEC และการหารือกับ พล. อ. ฉ่วย มาน ซึ่งได้เดินทางมาเยือนไทยล่าสุด โดยได้แจ้งให้ทราบว่าไทยสนับสนุนการปรองดองแห่งชาติในพม่า โดยช่วงที่ผ่านมาก็เป็น ที่ประจักษ์ว่ามีความคืบหน้า ซึ่งฝ่ายไทยก็ปรารถนาที่จะเห็นความคืบหน้าที่รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการปล่อยตัวนางอองซานซูจี ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นก็มีท่าทีที่ตรงกับไทยที่สนับสนุนกระบวนการปรองดองแห่งชาติในพม่า ขณะเดียวกันก็เห็นว่ากระบวนการปรองดองและการประชุมเพื่อไปสู่ประชาธิปไตยนั้นควรดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน (step by step)
6. นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือกันในเรื่ององค์การสหประชาชาติ โดยญี่ปุ่นแจ้งว่าเห็นความสำคัญของการปฏิรูปองค์การสหประชาชาติ และจากกรณีอิรักญี่ปุ่นเห็นว่าสหประชาชาติจะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น จึงควรมีการปฏิรูปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความพร้อมให้กับสหประชาชาติในการที่จะรับกับปัญหาท้าทายต่างๆ ในส่วนของญี่ปุ่นก็มีบทบาทแข็งขันในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี Koizumi ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ขณะนี้ญี่ปุ่นต้องการจะมีบทบาทมากขึ้นในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ และสมัครที่จะเป็นสมาชิกอย่างไม่ถาวรในปี 2005-2006 และต่อไปเมื่อมีการปฏิรูปญี่ปุ่นประสงค์จะเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงฯ ซึ่งเรื่องนี้ยังคงจะต้องหารือกัน ต่อไป ในส่วนของไทยก็แจ้งว่าไทยเห็นความสำคัญของการปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ รวมทั้งสนับสนุนการทำงานของคณะผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อการปฏิรูปองค์การ สหประชาชาติที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงสนับสนุนญี่ปุ่นเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงที่ไม่ถาวรสำหรับปี 2005-2006 และในหลักการไทยเล็งเห็น ถึงบทบาทที่สำคัญของญี่ปุ่นในคณะมนตรีความมั่นคงฯ ด้วย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-