1. ประเด็นเศรษฐกิจต่างประเทศ (26 กรกฎาคม 2547 - 26 สิงหาคม 2547)
สหรัฐอเมริกา
-เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 3.0 (qoq,annualized)(หรือร้อยละ 4.8 yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 4.5 (qoq,annualized)(หรือร้อยละ 5.0 yoy)เป็นผลจากการชะลอลงของการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.0 (qoq) ขณะที่การลงทุนยังคงขยายตัวดี โดยเฉพาะการลงทุนประเภท equipment and software และที่พักอาศัย
ในด้านอุปสงค์รายจ่ายของผู้บริโภค (personal spending) ปรับลดลงร้อยละ 0.7 (mom) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 (yoy) การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลงนี้เป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ตัวเลข PCE deflator เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.5 (yoy) เท่ากับเดือนก่อนหน้าและ Core PCE deflator เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 (yoy)สะท้อนว่าราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นยังไม่สร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อมากนัก อนึ่ง แม้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคในเดือนมิถุนายนจะชะลอตัว แต่ก็คาดว่าจะเป็นการชั่วคราวจากปัจจัยราคาน้ำมันเท่านั้น เพราะยอดค้าปลีก( retail sales) ที่ไม่นับรวมภาคยานยนต์ (ex-autos)ยังขยายตัวสูงถึงร้อยละ 7.8 (yoy)ในเดือนกรกฎาคม
สำหรับด้านอุปทานยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมขยายตัวร้อยละ 4.9 (yoy)ตามการผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 21.5 (yoy)เป็นสำคัญในขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 77.1 โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการใช้กำลังผลิตในภาคอุตสาหกรรม ภาค utilities และภาค mining
ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2547 Fed ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย fed funds อีกร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปีซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ โดยในครั้งนี้ Fed ให้ความเห็นคล้ายกับการประชุมครั้งก่อน แต่เริ่มแสดงความกังวลเรื่อง output growth และการจ้างงานที่ชะลอตัวลงเนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาก สำหรับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลจาก transitory factors อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯเชื่อว่าเศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวต่อไป และให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ยในอนาคตไว้เช่นเดิม คือ "Policy accommodation can be removed at a pace that is likely to be measured."
กลุ่มประเทศยูโร
-ในรายงานของธนาคารกลางยุโรปประจำเดือนสิงหาคม (ECB Bulletin) ECB แสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกกิจยูโรโซนจะฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภาคการส่งออก การลงทุน และความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่การอุปโภคบริโภคก็มีแนวโน้มดีขึ้นเช่นกันจากการเพิ่มขึ้นของ Real disposable income และการจ้างงานที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับการปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวในปีนี้ของเศรษฐกิจยูโรโซนโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จากร้อยละ 1.7 เป็นร้อยละ 2.0 อย่างไรก็ดี IMF ยังคงประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรในปีหน้าไว้ที่ร้อยละ 2.3 เช่นเดิม เนื่องจากยังมีความเสี่ยงว่าอุปสงค์ภายในประเทศจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืนหรือไม่ สำหรับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะสั้นคาดว่าจะยังคงมีอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่งจากปัจจัยด้านราคาน้ำมันแต่อย่างไรก็ดี ECB เชื่อว่าแนวโน้มเงินเฟ้อยังคงสอดคล้องกับเสถียรภาพของราคาในระยะปานกลาง
อัตราเงินเฟ้อ ล่าสุดของกลุ่มประเทศยูโรในเดือนกรกฏาคม 2547 อยู่ที่ร้อยละ 2.3 (yoy) ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน จากการชะลอตัวของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเกือบทุกประเภท อย่างไรก็ดี ECB ยังคงเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อ HICP จะทรงตัวที่ระดับสูงกว่าเป้าร้อยละ 2.0 ไปจนถึงต้นปีหน้า
สำหรับดัชนี PMI ภาคบริการล่าสุดในเดือนกรกฎาคมทรงตัวเท่ากับเดือนก่อนที่ 55.3 แม้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 55.5 แต่ดัชนีดังกล่าวยังคงขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13 ขณะที่ PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 54.7 จากเดือนก่อนที่ระดับ 54.4 สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 11
ญี่ปุ่น
-เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 4.4 (yoy) โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของการส่งออก การใช้จ่ายในภาคธุรกิจ และการใช้จ่ายของผู้บริโภค
IMF ได้ปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2547 จากร้อยละ 3.1 (เมื่อเดือนเมษายน 2547) เป็นร้อยละ 4.5 โดยเห็นว่าแนวโน้มเศรษฐฏิจในระยะสั้นอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก คือ การปรับขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของญี่ปุ่น นอกจากนี้ IMF เห็นว่า ในระยะปานกลางยังคงมีปัจจัยสำคัญที่จะฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นคือ(1) สถาบันการเงินและภาคธุรกิจยังคงมีความอ่อนแอ (2) หนี้ภาครัฐอยู่ในระดับที่สูงมากและ(3)เศรษฐกิจยังคงอยู่ในภาวะเงินฝืด
อย่างไรก็ดี ภาวะเงินฝืดมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยล่าสุดในเดือนกรกฎาคม ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)และดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมอาหารและพลังงาน (Core CPI) เปลี่ยนแปลงจากระยะเดียวกันปีก่อน ในอัตราร้อยละ 0 และ -0.1 ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีวาเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจจะหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดได้ อนึ่ง IMF สนับสนุนให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นคงนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไปจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะมีเสถียรภาพเหนือร้อยละ 0
เครื่องชี้เศรษฐกิจทั้ง Leading index และ Coincident index อยู่ที่ระดับ 63.6 และ 90.0 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังคงอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวนอกจากนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาค non-manufacturing ซึ่งมักจะล้าหลังภาค manufacturing ก็เริ่ม ฟื้นตัวแล้ว
กลุ่มเอเชียตะวันออก
-เศรษฐกิจจีนที่ร้อนแรงมีแนวโน้มผ่อนคลายลงจากมาตรการเข้มงวดของทางการ โดยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมขยายตัวร้อยละ 15.5 (yoy)ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 16.2 สาขาที่ชะลอลง ได้แก่ การผลิตซีเมนต์ อะลูมิเนียมและรถยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับสาขาอุตสาหกรรมที่ทางการควบคุม ในขณะที่ผลผลิตด้านพลังงาน อาทิ ถ่านหิน น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ขยายตัวเร่งขึ้น ซึ่งอาจช่วยบรรเทาภาวะขาดแคลนพลังงานในประเทศได้
ในด้านการใช้จ่ายนั้น ในเดือนกรกฎาคม ยอดค้าปลีกยังขยายตัวอยู่ในเกรณ์ดีที่ร้อยละ 13.2 ต่ำกว่าเดือนก่อนเพียงเล็กน้อย การที่อุปสงค์ของภาคครัวเรือนขยายตัวดีมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ทั้งในเมืองและในชนบท โดยเฉพาะราคาพืชผลที่ดีซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าขยายตัวของการบริโภคจะอยู่ในระดับสูงต่อไปในปีนี้ ทั้งนี้ การส่งออกและการบริโภคที่ขยายตัวดีจะช่วยชดเชยการลงทุนที่ชะลอลงมาก และทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอลงแบบ soft landing
อนึ่งจีนยังคงได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดในเดือนกรกฎาคม อยู่ที่ร้อยละ 5.3 เทียบกับเดือนมิถุนายนที่ร้อยละ 5.0 ปัจจัยสำคัญมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาอาหารที่แพงขึ้นเนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2547 ธนาคารกลางจีนและกรมการประกันภัยของจีน(The State Insurance Regulatory Commission) ได้ร่วมกันประกาศกฎเกณฑ์ใหม่อนุญาตให้บริษัทประกันภัยของจีนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์สามารถลงทุนในพันธบัตรในตลาดต่างประเทศ ได้ซึ่งจะช่วยให้บริษัทประกันภัยของจีนมีขอบเขตการลงทุนที่กว้างขึ้น สามารถกระจายความเสี่ยง และได้รับผลตอบแทนมากขึ้น รวมทั้งจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันต่อค่าเงินหยวน
-เศรษฐกิจไต้หวันในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 7.7(yoy)สูงกว่าที่ทางการและตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี ปัจจัยสำคัญมาจากการส่งออกที่ขยายตัวดีตามอุปสงค์ของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกที่สูงขึ้นต่อเนื่องและการลงทุนของภาคเอกชนที่ขยายตัวสูง ประกอบกับฐานในช่วงเดียวกันปีก่อนที่ต่ำ เนื่องจากการระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง(SARS)
ทั้งนี้ ทางการได้ปรับอัตราการขยายตัวของ GDP ไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.7 จากเดิมร้อยละ 6.3 และปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.4 เป็นร้อยละ 5.9 เนื่องจากคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าเศรษฐกิจปี 2548 จะขยายตัวร้อยละ 4.5 สำหรับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้นต่อเนื่องส่งผลให้รัฐบาลปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อปีนี้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.8 เป็นร้อยละ 1.5
-อัตราเงินเฟ้อในฮ่องกงปรับตัวเป็นบวกเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม โดยอยู่ที่ร้อยละ 0.9(yoy) หลังจากที่ตกอยู่ในภาวะเงินฝืดนานถึง 69 เดือน ซึ่งนับเป็นการตกอยู่ภาวะเงินฝืดที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์(ในขณะที่ปัจจุบันญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเงินฝืดเป็นเดือนที่ 58) โดยปัจจัยสำคัญมาจากการที่ภาวะเงินฝืดในภาคที่อยู่อาศัย (housing deflation) ได้บรรเทาลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อ (CPI) โดยรวมไม่ติดลบ ทั้งนี้ non-housing inflation เริ่มเป็นบวกมาตั้งแต่เดือนมกราคม โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวของการบริโภคของนักท่องเที่ยวและการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของประชาชน
อนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกมาให้ความเห็นว่า ในปีนี้เศรษฐกิจฮ่องกงอาจจะขยายตัวสูงกว่าที่ทางการเคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 6 เนื่อง จากภาวะการจ้างงานมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นและภาวะเงินฝืดคลี่คลาย
-เศรษฐกิจเกาหลีใต้โดยรวมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดย GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ขยายตัวร้อยละ 5.5(yoy)หรือร้อยละ 0.6(qoq,sa) เร่งขึ้นจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 5.3 (yoy) โดยปัจจัยสำคัญมาจากการส่งออกสินค้าและบริการที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 27.2 (yoy) ส่งผลให้การลงทุนขยายตัวเร่งขึ้นด้วยในอัตราร้อยละ 4.5 อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนยังคงหดตัวร้อยละ 0.7 ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน เนื่องจากปัญหาหนี้บัตรเครดิตในภาคครัวเรือนทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลง กอปรกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมาธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน(overnight call rate)ลงร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 เพื่อช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ โดยทางการเกาหลีใต้คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 5 เทียบกับปีก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.1
กลุ่มอาเซียน
-เศรษฐกิจสิงคโปร์อยู่ในภาวะขยายตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดย GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ขยายตัวร้อยละ 12.5 (yoy) หรือขยายตัวร้อยละ 11.9(qoq,annualised)เร่งขึ้นจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 7.5(yoy) และส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวร้อยละ 10 (yoy) ปัจจัยสำคัญมาจากอุปสงค์ภายนอกประเทศ โดยเฉพาะอุปสงค์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งส่งผลให้การผลิตและการส่งออกขยายตัวดี นอกจากนั้น ภาคบริการขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งได้รับผลกระทบจากโรค SARS อนึ่งทางการได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้จากร้อยละ 5.5-7.5 เป็นร้อยละ 8-9 เทียบกับปีก่อนที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.1 สำหรับปี 2548 ได้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 3-5
อัตราเงินเฟ้อล่าสุดในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ร้อยละ 1.6 (yoy) ลดลงจากร้อยละ 2.3 ในเดือนก่อนและค่าเฉลี่ยร้อยละ 1.9 ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ทั้งนี้ ธนาคารกลางสิงคโปร์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.5
เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2547 นาย Lee Hsien Loong ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์แทนนาย Goh Chok Tong ซึ่งเปลี่ยนมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอาวุโสและประธานธนาคารกลางสิงคโปร์ขณะที่นาย Lee Guan Yew เปลี่ยนมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่ปรึกษา (Minister Mentor) ซึ่งเป็นตำแหน่งใหม่ที่เพิ่งจะมีขึ้นในคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ นาย Lee Hsien Loong จะยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังต่อไป
-เศรษฐกิจอินโดนีเซียชะลอตัวเล็กน้อยโดย GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4.3 (yoy) ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.5-4.6 และชะลอลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 5 เนื่องจากการใช้จ่ายของภาครัฐและภาคเอกชนชะลอลง กอปรกับการส่งออกยังขยายตัวไม่มาก โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันที่ต้องแข่งขันกับสินค้าส่งออกต้นทุนต่ำจากจีนและอินเดีย ทั้งนี้รัฐบาลอินโดนีเซียยังคงคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4.8 เทียบกับปี 2546 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.1 และคาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 5.4
อัตราเงินเฟ้อยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยล่าสุดในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ร้อยละ 7.2 (yoy) เร่งขึ้นจากร้อยละ 6.8 ในเดือนก่อนตามราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้นและการอ่อนค่าของเงินรูเปียห์ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งทำให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปีนี้จากร้อยละ 5.5 เป็นร้อยละ 6-7
-เศรษฐกิจมาเลเซียขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่องโดย GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ขยายตัวร้อยละ 8.0 (yoy)สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ (ร้อยละ 7.5) และเร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 7.6 (yoy) ในไตรมาสที่ 1 จากการขยายตัวของภาคการผลิตในอัตราร้อยละ 12.1 (yoy) และภาคการบริการในอัตราร้อยละ 7.4 (yoy)สำหรับแนวโน้มการส่งออกยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยล่าสุดในเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 22.2 (yoy) เนื่องจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเพิ่มสูงขึ้น สำหรับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 (yoy) และในช่วงครึ่งแรกของปี 2547 อัตราเงินเฟ้อ (CPI) ก็เฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.0 ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายที่จะคงอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ และคาดว่า เศรษฐกิจในปีนี้อาจจะขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 6.0-6.5 ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการขาดดุลงบประมาณของภาครัฐและแนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศที่ลดลง โดยรัฐบาลคาดหวังที่จะลดการขาดดุลงบประมาณลงเหลือร้อยละ 4 ของ GDP ในปี 2547 จากเดิมร้อยละ 5.3 ในปี 2546 สำหรับการลงทุนนั้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2547 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติในภาคการผลิตมีเพียงร้อยละ 20 ของเป้าหมายที่กำหนดไว้ตลอดทั้งปี เนื่องจากการแข่งขันของประเทศจีน โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
-อัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์ล่าสุดในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ร้อยละ 6.0 (yoy)เร่งตัวขึ้นมากจากร้อยละ 5.1 ในเดือนมิถุนายน และนับเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีอีกด้วย ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 4.3 (yoy)ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นมากดังกล่าวเป็นผลจากการเพิ่มสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเป็นหลักเนื่องจากฟิลิปปินส์ต้องนำเข้าน้ำมันเกือบทั้งหมดของปริมาณความต้องการใช้ในภายประเทศ อนึ่งนาย Amando Tetangco รองผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้แนวโน้มที่จะสูงกว่าเป้าที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 4.0-5.0 (yoy)อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางฟิลิปปินส์จะยังคงไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อชะลอแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในขณะนี้ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแออยู่
อนึ่ง ทางการฟิลิปปินส์เชื่อว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้จะขยายตัวระหว่างร้อยละ 5.2-6.0 (yoy) จากภาคการส่งออกและผลผลิตทางการเกษตรที่ขยายตัวดี โดยการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวร้อยละ 8.5 จากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวดีขึ้นตามอุปสงค์ในตลาดโลก และทางการยังคงเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4.9-5.8 (yoy) ตามที่ตั้งเป้าไว้
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ดพ-
สหรัฐอเมริกา
-เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 3.0 (qoq,annualized)(หรือร้อยละ 4.8 yoy) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 4.5 (qoq,annualized)(หรือร้อยละ 5.0 yoy)เป็นผลจากการชะลอลงของการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.0 (qoq) ขณะที่การลงทุนยังคงขยายตัวดี โดยเฉพาะการลงทุนประเภท equipment and software และที่พักอาศัย
ในด้านอุปสงค์รายจ่ายของผู้บริโภค (personal spending) ปรับลดลงร้อยละ 0.7 (mom) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 (yoy) การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลงนี้เป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ตัวเลข PCE deflator เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.5 (yoy) เท่ากับเดือนก่อนหน้าและ Core PCE deflator เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 (yoy)สะท้อนว่าราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นยังไม่สร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อมากนัก อนึ่ง แม้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคในเดือนมิถุนายนจะชะลอตัว แต่ก็คาดว่าจะเป็นการชั่วคราวจากปัจจัยราคาน้ำมันเท่านั้น เพราะยอดค้าปลีก( retail sales) ที่ไม่นับรวมภาคยานยนต์ (ex-autos)ยังขยายตัวสูงถึงร้อยละ 7.8 (yoy)ในเดือนกรกฎาคม
สำหรับด้านอุปทานยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมขยายตัวร้อยละ 4.9 (yoy)ตามการผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 21.5 (yoy)เป็นสำคัญในขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 77.1 โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการใช้กำลังผลิตในภาคอุตสาหกรรม ภาค utilities และภาค mining
ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2547 Fed ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย fed funds อีกร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปีซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ โดยในครั้งนี้ Fed ให้ความเห็นคล้ายกับการประชุมครั้งก่อน แต่เริ่มแสดงความกังวลเรื่อง output growth และการจ้างงานที่ชะลอตัวลงเนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาก สำหรับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลจาก transitory factors อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯเชื่อว่าเศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวต่อไป และให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ยในอนาคตไว้เช่นเดิม คือ "Policy accommodation can be removed at a pace that is likely to be measured."
กลุ่มประเทศยูโร
-ในรายงานของธนาคารกลางยุโรปประจำเดือนสิงหาคม (ECB Bulletin) ECB แสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกกิจยูโรโซนจะฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภาคการส่งออก การลงทุน และความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่การอุปโภคบริโภคก็มีแนวโน้มดีขึ้นเช่นกันจากการเพิ่มขึ้นของ Real disposable income และการจ้างงานที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับการปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวในปีนี้ของเศรษฐกิจยูโรโซนโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จากร้อยละ 1.7 เป็นร้อยละ 2.0 อย่างไรก็ดี IMF ยังคงประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรในปีหน้าไว้ที่ร้อยละ 2.3 เช่นเดิม เนื่องจากยังมีความเสี่ยงว่าอุปสงค์ภายในประเทศจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืนหรือไม่ สำหรับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะสั้นคาดว่าจะยังคงมีอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่งจากปัจจัยด้านราคาน้ำมันแต่อย่างไรก็ดี ECB เชื่อว่าแนวโน้มเงินเฟ้อยังคงสอดคล้องกับเสถียรภาพของราคาในระยะปานกลาง
อัตราเงินเฟ้อ ล่าสุดของกลุ่มประเทศยูโรในเดือนกรกฏาคม 2547 อยู่ที่ร้อยละ 2.3 (yoy) ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน จากการชะลอตัวของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเกือบทุกประเภท อย่างไรก็ดี ECB ยังคงเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อ HICP จะทรงตัวที่ระดับสูงกว่าเป้าร้อยละ 2.0 ไปจนถึงต้นปีหน้า
สำหรับดัชนี PMI ภาคบริการล่าสุดในเดือนกรกฎาคมทรงตัวเท่ากับเดือนก่อนที่ 55.3 แม้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 55.5 แต่ดัชนีดังกล่าวยังคงขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13 ขณะที่ PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 54.7 จากเดือนก่อนที่ระดับ 54.4 สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 11
ญี่ปุ่น
-เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 4.4 (yoy) โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของการส่งออก การใช้จ่ายในภาคธุรกิจ และการใช้จ่ายของผู้บริโภค
IMF ได้ปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2547 จากร้อยละ 3.1 (เมื่อเดือนเมษายน 2547) เป็นร้อยละ 4.5 โดยเห็นว่าแนวโน้มเศรษฐฏิจในระยะสั้นอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก คือ การปรับขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของญี่ปุ่น นอกจากนี้ IMF เห็นว่า ในระยะปานกลางยังคงมีปัจจัยสำคัญที่จะฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นคือ(1) สถาบันการเงินและภาคธุรกิจยังคงมีความอ่อนแอ (2) หนี้ภาครัฐอยู่ในระดับที่สูงมากและ(3)เศรษฐกิจยังคงอยู่ในภาวะเงินฝืด
อย่างไรก็ดี ภาวะเงินฝืดมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยล่าสุดในเดือนกรกฎาคม ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)และดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมอาหารและพลังงาน (Core CPI) เปลี่ยนแปลงจากระยะเดียวกันปีก่อน ในอัตราร้อยละ 0 และ -0.1 ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีวาเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจจะหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดได้ อนึ่ง IMF สนับสนุนให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นคงนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไปจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะมีเสถียรภาพเหนือร้อยละ 0
เครื่องชี้เศรษฐกิจทั้ง Leading index และ Coincident index อยู่ที่ระดับ 63.6 และ 90.0 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังคงอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวนอกจากนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาค non-manufacturing ซึ่งมักจะล้าหลังภาค manufacturing ก็เริ่ม ฟื้นตัวแล้ว
กลุ่มเอเชียตะวันออก
-เศรษฐกิจจีนที่ร้อนแรงมีแนวโน้มผ่อนคลายลงจากมาตรการเข้มงวดของทางการ โดยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมขยายตัวร้อยละ 15.5 (yoy)ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 16.2 สาขาที่ชะลอลง ได้แก่ การผลิตซีเมนต์ อะลูมิเนียมและรถยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับสาขาอุตสาหกรรมที่ทางการควบคุม ในขณะที่ผลผลิตด้านพลังงาน อาทิ ถ่านหิน น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ขยายตัวเร่งขึ้น ซึ่งอาจช่วยบรรเทาภาวะขาดแคลนพลังงานในประเทศได้
ในด้านการใช้จ่ายนั้น ในเดือนกรกฎาคม ยอดค้าปลีกยังขยายตัวอยู่ในเกรณ์ดีที่ร้อยละ 13.2 ต่ำกว่าเดือนก่อนเพียงเล็กน้อย การที่อุปสงค์ของภาคครัวเรือนขยายตัวดีมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ทั้งในเมืองและในชนบท โดยเฉพาะราคาพืชผลที่ดีซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าขยายตัวของการบริโภคจะอยู่ในระดับสูงต่อไปในปีนี้ ทั้งนี้ การส่งออกและการบริโภคที่ขยายตัวดีจะช่วยชดเชยการลงทุนที่ชะลอลงมาก และทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอลงแบบ soft landing
อนึ่งจีนยังคงได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดในเดือนกรกฎาคม อยู่ที่ร้อยละ 5.3 เทียบกับเดือนมิถุนายนที่ร้อยละ 5.0 ปัจจัยสำคัญมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาอาหารที่แพงขึ้นเนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2547 ธนาคารกลางจีนและกรมการประกันภัยของจีน(The State Insurance Regulatory Commission) ได้ร่วมกันประกาศกฎเกณฑ์ใหม่อนุญาตให้บริษัทประกันภัยของจีนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์สามารถลงทุนในพันธบัตรในตลาดต่างประเทศ ได้ซึ่งจะช่วยให้บริษัทประกันภัยของจีนมีขอบเขตการลงทุนที่กว้างขึ้น สามารถกระจายความเสี่ยง และได้รับผลตอบแทนมากขึ้น รวมทั้งจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันต่อค่าเงินหยวน
-เศรษฐกิจไต้หวันในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 7.7(yoy)สูงกว่าที่ทางการและตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี ปัจจัยสำคัญมาจากการส่งออกที่ขยายตัวดีตามอุปสงค์ของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกที่สูงขึ้นต่อเนื่องและการลงทุนของภาคเอกชนที่ขยายตัวสูง ประกอบกับฐานในช่วงเดียวกันปีก่อนที่ต่ำ เนื่องจากการระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง(SARS)
ทั้งนี้ ทางการได้ปรับอัตราการขยายตัวของ GDP ไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.7 จากเดิมร้อยละ 6.3 และปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.4 เป็นร้อยละ 5.9 เนื่องจากคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าเศรษฐกิจปี 2548 จะขยายตัวร้อยละ 4.5 สำหรับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้นต่อเนื่องส่งผลให้รัฐบาลปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อปีนี้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.8 เป็นร้อยละ 1.5
-อัตราเงินเฟ้อในฮ่องกงปรับตัวเป็นบวกเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม โดยอยู่ที่ร้อยละ 0.9(yoy) หลังจากที่ตกอยู่ในภาวะเงินฝืดนานถึง 69 เดือน ซึ่งนับเป็นการตกอยู่ภาวะเงินฝืดที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์(ในขณะที่ปัจจุบันญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเงินฝืดเป็นเดือนที่ 58) โดยปัจจัยสำคัญมาจากการที่ภาวะเงินฝืดในภาคที่อยู่อาศัย (housing deflation) ได้บรรเทาลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อ (CPI) โดยรวมไม่ติดลบ ทั้งนี้ non-housing inflation เริ่มเป็นบวกมาตั้งแต่เดือนมกราคม โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวของการบริโภคของนักท่องเที่ยวและการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของประชาชน
อนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกมาให้ความเห็นว่า ในปีนี้เศรษฐกิจฮ่องกงอาจจะขยายตัวสูงกว่าที่ทางการเคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 6 เนื่อง จากภาวะการจ้างงานมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นและภาวะเงินฝืดคลี่คลาย
-เศรษฐกิจเกาหลีใต้โดยรวมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดย GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ขยายตัวร้อยละ 5.5(yoy)หรือร้อยละ 0.6(qoq,sa) เร่งขึ้นจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 5.3 (yoy) โดยปัจจัยสำคัญมาจากการส่งออกสินค้าและบริการที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 27.2 (yoy) ส่งผลให้การลงทุนขยายตัวเร่งขึ้นด้วยในอัตราร้อยละ 4.5 อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนยังคงหดตัวร้อยละ 0.7 ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน เนื่องจากปัญหาหนี้บัตรเครดิตในภาคครัวเรือนทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลง กอปรกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมาธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน(overnight call rate)ลงร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 เพื่อช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ โดยทางการเกาหลีใต้คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 5 เทียบกับปีก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.1
กลุ่มอาเซียน
-เศรษฐกิจสิงคโปร์อยู่ในภาวะขยายตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดย GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ขยายตัวร้อยละ 12.5 (yoy) หรือขยายตัวร้อยละ 11.9(qoq,annualised)เร่งขึ้นจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 7.5(yoy) และส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวร้อยละ 10 (yoy) ปัจจัยสำคัญมาจากอุปสงค์ภายนอกประเทศ โดยเฉพาะอุปสงค์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งส่งผลให้การผลิตและการส่งออกขยายตัวดี นอกจากนั้น ภาคบริการขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งได้รับผลกระทบจากโรค SARS อนึ่งทางการได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้จากร้อยละ 5.5-7.5 เป็นร้อยละ 8-9 เทียบกับปีก่อนที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.1 สำหรับปี 2548 ได้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 3-5
อัตราเงินเฟ้อล่าสุดในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ร้อยละ 1.6 (yoy) ลดลงจากร้อยละ 2.3 ในเดือนก่อนและค่าเฉลี่ยร้อยละ 1.9 ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ทั้งนี้ ธนาคารกลางสิงคโปร์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.5
เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2547 นาย Lee Hsien Loong ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์แทนนาย Goh Chok Tong ซึ่งเปลี่ยนมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอาวุโสและประธานธนาคารกลางสิงคโปร์ขณะที่นาย Lee Guan Yew เปลี่ยนมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่ปรึกษา (Minister Mentor) ซึ่งเป็นตำแหน่งใหม่ที่เพิ่งจะมีขึ้นในคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ นาย Lee Hsien Loong จะยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังต่อไป
-เศรษฐกิจอินโดนีเซียชะลอตัวเล็กน้อยโดย GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4.3 (yoy) ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.5-4.6 และชะลอลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 5 เนื่องจากการใช้จ่ายของภาครัฐและภาคเอกชนชะลอลง กอปรกับการส่งออกยังขยายตัวไม่มาก โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันที่ต้องแข่งขันกับสินค้าส่งออกต้นทุนต่ำจากจีนและอินเดีย ทั้งนี้รัฐบาลอินโดนีเซียยังคงคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4.8 เทียบกับปี 2546 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.1 และคาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 5.4
อัตราเงินเฟ้อยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยล่าสุดในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ร้อยละ 7.2 (yoy) เร่งขึ้นจากร้อยละ 6.8 ในเดือนก่อนตามราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้นและการอ่อนค่าของเงินรูเปียห์ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งทำให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปีนี้จากร้อยละ 5.5 เป็นร้อยละ 6-7
-เศรษฐกิจมาเลเซียขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่องโดย GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ขยายตัวร้อยละ 8.0 (yoy)สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ (ร้อยละ 7.5) และเร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 7.6 (yoy) ในไตรมาสที่ 1 จากการขยายตัวของภาคการผลิตในอัตราร้อยละ 12.1 (yoy) และภาคการบริการในอัตราร้อยละ 7.4 (yoy)สำหรับแนวโน้มการส่งออกยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยล่าสุดในเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 22.2 (yoy) เนื่องจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเพิ่มสูงขึ้น สำหรับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 (yoy) และในช่วงครึ่งแรกของปี 2547 อัตราเงินเฟ้อ (CPI) ก็เฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.0 ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายที่จะคงอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ และคาดว่า เศรษฐกิจในปีนี้อาจจะขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 6.0-6.5 ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการขาดดุลงบประมาณของภาครัฐและแนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศที่ลดลง โดยรัฐบาลคาดหวังที่จะลดการขาดดุลงบประมาณลงเหลือร้อยละ 4 ของ GDP ในปี 2547 จากเดิมร้อยละ 5.3 ในปี 2546 สำหรับการลงทุนนั้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2547 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติในภาคการผลิตมีเพียงร้อยละ 20 ของเป้าหมายที่กำหนดไว้ตลอดทั้งปี เนื่องจากการแข่งขันของประเทศจีน โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
-อัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์ล่าสุดในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ร้อยละ 6.0 (yoy)เร่งตัวขึ้นมากจากร้อยละ 5.1 ในเดือนมิถุนายน และนับเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีอีกด้วย ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 4.3 (yoy)ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นมากดังกล่าวเป็นผลจากการเพิ่มสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเป็นหลักเนื่องจากฟิลิปปินส์ต้องนำเข้าน้ำมันเกือบทั้งหมดของปริมาณความต้องการใช้ในภายประเทศ อนึ่งนาย Amando Tetangco รองผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้แนวโน้มที่จะสูงกว่าเป้าที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 4.0-5.0 (yoy)อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางฟิลิปปินส์จะยังคงไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อชะลอแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในขณะนี้ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแออยู่
อนึ่ง ทางการฟิลิปปินส์เชื่อว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้จะขยายตัวระหว่างร้อยละ 5.2-6.0 (yoy) จากภาคการส่งออกและผลผลิตทางการเกษตรที่ขยายตัวดี โดยการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวร้อยละ 8.5 จากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวดีขึ้นตามอุปสงค์ในตลาดโลก และทางการยังคงเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4.9-5.8 (yoy) ตามที่ตั้งเป้าไว้
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ดพ-