นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘ข่าวยามเช้า’ ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 เมกะเฮิร์ทโดยกล่าวถึงบทบาทของกลต.ต่อสถานการณ์ในตลาดหุ้นขณะนี้ว่าไม่ขอพูดถึง ประเด็นที่มีการนำเสนอ เพราะรู้สึกว่านายกฯติดใจเรื่องนั้น แต่ว่าต้องยอมรับว่าข้อมูลต่างๆ ถ้าเกิดมีการนำเสนอในกลต.หรือตลาด ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองไป แต่สามารถยืนยันได้ว่า มีข้อวิจารณ์มาก ว่า การเมืองกับตลาดหุ้นในยุคนี้อิงกันมากเหลือเกิน และต้องยอมรับว่านายกฯก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้หลายครั้ง ในลักษณะที่มีการชี้นำตลาดหุ้นโดยไม่จำเป็น
‘คือจะไม่ค่อยเห็นผู้นำประเทศไหน ก็ตามที่จะออกมาพูดตรงๆ โต้งๆ เกี่ยวกับตลาดหุ้นเหมือนกับที่มีคำพูดที่มีรายงานมา เช่น ถ้าผมมีเงิน ผมจะไม่ลงทุน หรือ ว่าอะไรอย่างนั้นอย่างนี้’
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ซึ่งเรื่องดังกล่าวต้องมีความระมัดระวัง เพราะนายกฯเป็นผู้กุมนโยบาย อาจจะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดหลักทรัพย์ได้ ถัดลงมาจากระดับของนายกฯ ก็จะเป็นระดับรัฐมนตรี หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง มีหลายครั้งจะสังเกตได้ชัดเจนว่า เป็นการให้สัมภาษณ์เชิงนโยบาย เช่นเรื่องพลังงาน สถาบันการเงิน ซึ่งพูดในช่วงเช้าก็จะมีผลต่อตลาดช่วงเช้า ตอนบ่ายให้สัมภาษณ์ก็มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางของหลักทรัพย์
‘อันนี้ผมคิดว่าผมไม่ทราบหรอกว่า กลต.จะถือว่าเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่าย เจตนาหรือไม่เจตนา แต่ว่าความเหมาะสมอยากจะให้รัฐบาลไปทบทวนดูให้มาก โดยเฉพาะขณะนี้ท่านก็ถูกกล่าวหาอยู่แล้วว่า เครือข่ายธุรกิจของคนในรัฐบาลมีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์สูงเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 40 จากการวิจัยของนักวิชาการบางท่าน เพราะฉะนั้นตรงนี้ต้องแยกออกจากกัน มิฉะนั้นข้อกล่าวหาที่บอกว่าปั่นหรือไม่ปั่น คือปั่นในทางเทคนิคของกลต. หรือปั่นด้วยปาก ก็เป็นข้อครหาที่ไม่สนับสนุน ส่งเสริมการมีตลาดหลักทรัพย์ที่มีมาตราฐาน’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในส่วนกรณีของคุณเอกยุทธ ตนไม่ทราบว่ามีหลักฐานอย่างใดบ้าง ซึ่งจะต้องว่าไปตามกระบวนการ แต่ดูจากตอนนี้เหมือนนายกฯจะกลายเป็นจำเลยไปเสียแล้ว เพราะนายกฯออกมาตอบโต้ และพูดว่าคนอย่างนี้ไม่ต้องไปฟัง เพราะเป็นบุคคลที่หนีศาล ตนคิดว่าไม่ควรไปขุดคุ้ยเรื่องดังกล่าวขึ้นมา
‘เพราะว่าถ้าไปขุดคุ้ยเรื่องของท่านนายกฯขึ้นมา ท่านจะว่าอย่างไร โดยไปดูธุรกิจที่เคยทำมามีประวัติอย่างไร หรือว่าใครหนีศาล ใครเคยเบิกความเท็จ ที่นี้ก็จะยุ่งกันไปหมด ผมว่าให้เป็นไปตามเนื้อผ้าดีกว่า อย่านำวิธีนี้มาตอบโต้กันเลย’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 8 ก.ย. 2547--จบ--
-ดท-
‘คือจะไม่ค่อยเห็นผู้นำประเทศไหน ก็ตามที่จะออกมาพูดตรงๆ โต้งๆ เกี่ยวกับตลาดหุ้นเหมือนกับที่มีคำพูดที่มีรายงานมา เช่น ถ้าผมมีเงิน ผมจะไม่ลงทุน หรือ ว่าอะไรอย่างนั้นอย่างนี้’
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ซึ่งเรื่องดังกล่าวต้องมีความระมัดระวัง เพราะนายกฯเป็นผู้กุมนโยบาย อาจจะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดหลักทรัพย์ได้ ถัดลงมาจากระดับของนายกฯ ก็จะเป็นระดับรัฐมนตรี หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง มีหลายครั้งจะสังเกตได้ชัดเจนว่า เป็นการให้สัมภาษณ์เชิงนโยบาย เช่นเรื่องพลังงาน สถาบันการเงิน ซึ่งพูดในช่วงเช้าก็จะมีผลต่อตลาดช่วงเช้า ตอนบ่ายให้สัมภาษณ์ก็มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางของหลักทรัพย์
‘อันนี้ผมคิดว่าผมไม่ทราบหรอกว่า กลต.จะถือว่าเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่าย เจตนาหรือไม่เจตนา แต่ว่าความเหมาะสมอยากจะให้รัฐบาลไปทบทวนดูให้มาก โดยเฉพาะขณะนี้ท่านก็ถูกกล่าวหาอยู่แล้วว่า เครือข่ายธุรกิจของคนในรัฐบาลมีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์สูงเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 40 จากการวิจัยของนักวิชาการบางท่าน เพราะฉะนั้นตรงนี้ต้องแยกออกจากกัน มิฉะนั้นข้อกล่าวหาที่บอกว่าปั่นหรือไม่ปั่น คือปั่นในทางเทคนิคของกลต. หรือปั่นด้วยปาก ก็เป็นข้อครหาที่ไม่สนับสนุน ส่งเสริมการมีตลาดหลักทรัพย์ที่มีมาตราฐาน’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในส่วนกรณีของคุณเอกยุทธ ตนไม่ทราบว่ามีหลักฐานอย่างใดบ้าง ซึ่งจะต้องว่าไปตามกระบวนการ แต่ดูจากตอนนี้เหมือนนายกฯจะกลายเป็นจำเลยไปเสียแล้ว เพราะนายกฯออกมาตอบโต้ และพูดว่าคนอย่างนี้ไม่ต้องไปฟัง เพราะเป็นบุคคลที่หนีศาล ตนคิดว่าไม่ควรไปขุดคุ้ยเรื่องดังกล่าวขึ้นมา
‘เพราะว่าถ้าไปขุดคุ้ยเรื่องของท่านนายกฯขึ้นมา ท่านจะว่าอย่างไร โดยไปดูธุรกิจที่เคยทำมามีประวัติอย่างไร หรือว่าใครหนีศาล ใครเคยเบิกความเท็จ ที่นี้ก็จะยุ่งกันไปหมด ผมว่าให้เป็นไปตามเนื้อผ้าดีกว่า อย่านำวิธีนี้มาตอบโต้กันเลย’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 8 ก.ย. 2547--จบ--
-ดท-