ภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาส 3/2548 เข้าสู่ภาวะชะลอตัวจากผลกระทบราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทรงตัวอยู๋ในระดับสูง ทำให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจเสียความเชื่อมั่นโดยเฉพาะกลุ่มประเทศผู้น้ำเข้าน้ำมัน เช่น ประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยประเมินว่าในปี 2548 ภาคการส่งออกสินค้ามีอัตราการเติบโตประมาณร้อยละ 6.5 และจะเพิ่มเป็น ร้อยละ 7.0 ในปี 2549 แม้โดยภาพรวมการค้าในปี 2548 จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ก็ไม่ควรวางใจเกี่ยวกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ควรที่ทุกประเทศหันมาร่วมมือสร้างโอกาสทางการค้าให้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และควรจะต้องปรับปรุงระเบียบการค้าโลกให้สอดรับกับความจำเป็นของอุตสาหกรรมและการค้าในสตวรรษที่ 21 ขณะเดียวกันนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ของ WTO ประเมินว่า ปัญหาราคาน้ำมันและความต้องการบริโภคทั้งในจีนและสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในระดับปานกลาง อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเอเชียบ้าง แต่ปัจจัยหนุนเชิงบวกจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่มีสัญญานการฟื้นตัวเช่นเดียวกับในตลาดยุโรป อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรต้องตระหนักมากกว่าตัวเลขการเติบโต คือ แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และมาตรการควบคุมทางการเงินที่เข้มงวดเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อดังกล่าว
เศรษฐกิจไทยในปี 2548 มีการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากต้องประสบกับ ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ผลกระทบของราคาน้ำมันที่ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบจากภัยแล้ง ผลกระทบจากเหตุการณ์คลื่น Tsunami ผลกระทบจากไข้หวัดนก เป็นต้น ซึ่งทำให้หลายฝ่ายออกมาปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศปี 2548 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5 — 5.5 สำหรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2548 ยังมีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2547 แต่ทว่าในช่วงไตรมาสสุดท้าย เศรษฐกิจไทยยังคงต้องประสบกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยตามมาอีก
สำหรับภาคอุตสาหกรรม ตัวชี้วัดต่าง ๆ ที่มีการประกาศออกมาในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ส่วนใหญ่ยังมีการขยายตัวบ้าง โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่จัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม ตามการจัดประเภทอุตสาหกรรมมาตรฐานสากล (ISIC) ในระดับ 4 หลัก มีการเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 5.3 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 10.2 สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตก็เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 เช่นกัน นอกจากนี้เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ความเชื่อมั่นทางธุรกิจและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม กลับพบว่ามีการปรับตัวลดลงทั้งจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547
สถานการณ์การค้าในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2548 มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 โดยในไตรมาสที่ 3 นี้การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 59,639 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 30,192.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 29,446.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.38 และการนำเข้า ลดลงร้อยละ 7.46 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.08 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.45 ส่งผลในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ดุลการค้าเกินดุล 745.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม มีมูลค่ารวม 16,976 ล้านบาท โดยในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 17,687 ล้านบาท และเดือนสิงหาคม -711 ล้านบาทและสำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 การลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 890 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 427,900 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100 % จำนวน 290 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 88,600 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 298 โครงการ เป็นเงินลงทุน 158,700 ล้านบาท
ภาวะอุตสาหกรรมในแต่ละสาขา
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ภาวะการผลิตในสินค้าอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์โดยรวมของไทยในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยจากดัชนีอุตสาหกรรมของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม พบว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวลดลงร้อยละ 5.79 โดยเป็นการปรับตัวลดลงจากสินค้าไฟฟ้าร้อยละ 8.64 และสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ร้อยละ 2.31 และเมื่อพิจารณาอัตราการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ไทย พบว่าในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 มีอัตราการใช้กำลังการผลิตรวมที่ระดับร้อยละ 52.13
โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้ามีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ระดับร้อยละ 44.12 ส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ มีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ระดับร้อยละ 64.26
เคมีภัณฑ์ เมื่อพิจารณาการนำเข้าเคมีภัณฑ์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 พบว่า เคมีภัณฑ์อนินทรีย์ และเคมีภัณฑ์อินทรีย์ และสารลดแรงตึงผิว มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 19.34 ร้อยละ 8.57 และร้อยละ 2.44 ตามลำดับ ในขณะที่การนำเข้าเคมีภัณฑ์เบ็ดเตล็ด ปุ๋ยเคมี สี และเครื่องสำอางค์ มีมูลค่าการนำเข้าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 4.29 ร้อยละ 5.47 ร้อยละ 3.39 และร้อยละ0.75 ตามลำดับ ทางด้านการส่งออก พบว่า เคมีภัณฑ์ทุกผลิตภัณฑ์ มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปุ๋ยเคมี เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง ร้อยละ 174.82
ปิโตรเคมี ไตรมาส 3 ปี 2548 อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังคงประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากปัญหาภัยแล้ง ส่งผลต่อความกังวลของผู้ผลิตปิโตรเคมีเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตได้พยายามป้องกันความเสี่ยงด้วยการหาน้ำจากแหล่งอื่นเข้ามาสำรองใช้ รวมทั้งได้ร่วมกันรณรงค์ประหยัดการใช้น้ำ โดยผู้ผลิตบางรายจำเป็นต้องลดปริมาณการผลิตลงบางส่วน สำหรับการผลิตในภูมิภาคเอเชีย หลายประเทศมีโครงการขยายการผลิต โดยเฉพาะประเทศอินเดีย และจีน
เหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์เหล็กโดยรวมในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสภาวะการค้าภายในประเทศที่ซบเซา โดยเหล็กทรงยาวมีการชะลอตัวลงทั้งการผลิตและความต้องการใช้ในประเทศ เนื่องจากการชะลอตัวของธุรกิจก่อสร้างโครงการต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับเหล็กทรงแบนมีสภาวะที่ทรงตัว เนื่องจากอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้เหล็กประเภทนี้เป็นวัตถุดิบยังมีสภาวะที่ทรงตัวอยู่ โดยเหล็กทรงแบนมีการผลิตลดลงแต่การใช้ในประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้ผลิตส่วนใหญ่ยังคงมีปริมาณสินค้าคงคลังที่สูงอยู่ จึงมีผลให้ผู้ผลิตต้องเร่งระบายสินค้าในสต๊อกและลดการผลิตลง ซึ่งปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญโดยรวมในไตรมาสนี้ชะลอตัวลง ร้อยละ 14.16 การใช้ในประเทศทรงตัว ร้อยละ 0.86 มูลค่าและปริมาณการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 33.75 และ 8.50 โดยส่วนใหญ่มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปจากประเทศรัสเซีย เหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบนจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องซึ่งยังมีสภาวะทรงตัวอยู่ และนำเข้าเหล็กราคาถูกจากประเทศจีน เป็นต้น ขณะที่การส่งออกในช่วงไตรมาสนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งมูลค่าและปริมาณเพิ่มขึ้น ร้อยละ 60.14 และ 26.15 โดยตลาดส่งออกส่วนใหญ่คือ ประเทศจีนและฮ่องกง ตามลำดับ โดยเหล็กที่ส่งออกจะเป็นเหล็กชนิด high quality ซึ่งยังคงมีความต้องการในประเทศจีนอยู่
ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ไตรมาสที่สามของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.36 และ 13.29 ตามลำดับ โดยมีการผลิตรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เพิ่มขึ้น แต่มีการผลิตรถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลง ในส่วนของการจำหน่าย รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เพิ่มขึ้น แต่มีการจำหน่ายรถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลง ทางด้านการส่งออกและนำเข้าของไตรมาสที่สามของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่าปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.16 ส่วนการนำเข้า พบว่า ปริมาณนำเข้ารถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 41.78 แต่รถยนต์โดยสารและรถบรรทุกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.81
แม้ว่ามีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม อาทิ สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ยังคงสูง อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย ที่สูงขึ้น ประกอบกับ ภาวะภัยธรรมชาติจากน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ แต่โดยภาพรวมแล้วระบบเศรษฐกิจยังคงมีเสถียรภาพ ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และในเดือนพฤศจิกายนของไตรมาสสุดท้ายปี 2548 นี้ การผลิตรถยนต์จะครบ 1 ล้านคัน และจะเป็นปีที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสามารถผลิตรถยนต์เกิน 1 ล้านคัน เป็นปีแรก ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า สภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์จะเป็นไปตามที่ประมาณการไว้ กล่าวคือ จะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 1.10 ล้านคัน และมีการจำหน่ายในประเทศ 0.70 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 18.52 และ 11.81 ตามลำดับ
พลาสติก ภาวะอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก ในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 พบว่า มูลค่าการส่งออกมากขึ้นร้อยละ 29.08 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่งออกถุงและกระสอบพลาสติก และแผ่นฟิล์มฟอยล์ และแถบมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.02 และร้อยละ 12.52 ตามลำดับ ในขณะที่มูลค่านำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติก เพิ่มขึ้นร้อยละ16.49 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากที่สุด ถึงร้อยละ 24.23
รองเท้าและผลิตภัณฑ์หนังอุตสาหกรรมรองเท้าและผลิตภัณฑ์หนังของไทยมีภาวการณ์ผลิตหนังฟอกลดลงจากไตรมาสก่อนอาจเป็นผลมาจากการนำเข้าหนังดิบและหนังฟอกที่ลดลง การผลิตกระเป๋าลดลงจากไตรมาสก่อนเนื่องการส่งออกลดลง การผลิตรองเท้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มอุตสาหกรรมรองเท้าและผลิตภัณฑ์หนังของไทยอาจมีแนวโน้มที่ลดลงเนื่องจากตลาดหลักที่นำเข้าอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศยุโรปมีภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนจากราคาน้ำมัน การนำเข้าของไทยในกลุ่มสินค้าสำเร็จรูปยังมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น (รองเท้าและกระเป๋า) แหล่งนำเข้าที่สำคัญและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง คือจีน จึงควรที่จะต้องมีมาตรการเพื่อมารองรับการนำเข้าสินค้าคุณภาพต่ำที่จะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคและภาคการผลิตของไทย
อาหาร ภาวะอุตสาหกรรมอาหารโดยรวมในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2548 จัดอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าภาคการผลิตบางส่วนจะได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบจากภาวะภัยธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับชะลอตัวจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่รัฐประกาศลอยตัวราคาน้ำมันและเชื้อเพลิงอื่นๆ แต่ระดับราคาส่งออกที่ปรับตัวสูงขึ้นของผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป ผลิตภัณฑ์ผักผลไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป เป็นต้น เนื่องจากอุปทานในตลาดโลกลดลง เพราะประเทศผู้ผลิตที่สำคัญประสบปัญหาภัยธรรมชาติ และโรคระบาดเช่นกัน นอกจากนี้การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตมาผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ทำให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับแนวโน้มของการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร ในไตรมาสที่ 4 ของ ปี 2548 คาดว่าจะยังคงมีทิศทางการผลิตและส่งออกที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประมงและปศุสัตว์ แต่จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนกรอบใหม่ ภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ และมาตรการกีดกันการค้ารูปแบบใหม่ๆ ที่ประเทศผู้นำเข้าจะประกาศใช้ในอนาคต
ไม้และเครื่องเรือน ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ภาวะอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนของไทยโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 และมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เป็นเพราะปัจจัยบวกของความต้องการของตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ การส่งออกไปยังตลาดสำคัญๆ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปยังคงมีแนวโน้มที่ดี การปรับค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นของจีน รวมทั้งจีนได้รับผลกระทบจากมาตรการ AD ของสหรัฐอเมริกาได้ส่งผลดีต่อการส่งออกอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนของไทย นอกจากนี้การลงทุนของภาครัฐในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าดังกล่าวขยายตัวดี แต่การที่สินค้าจากจีนเข้ามาแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่า ทำให้ผู้ประกอบการของไทยจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงรูปแบบและประสิทธิภาพการผลิต เพื่อสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิต ทั้งนี้เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก นอกจากนี้ อาจพิจารณาหาตลาดใหม่ๆที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก เป็นต้น
ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 การผลิตยางขั้นต้น ประเภทยางแท่งมีปริมาณการผลิตลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่แล้ว ส่วนการผลิตยางแผ่น และผลิตภัณฑ์ยาง ประเภทยางล้อรถกะบะ มีปริมาณการผลิตเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากการขยายตัวของการผลิตรถยนต์ปิกอัพขนาด 1 ตัน ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ถุงมือยาง มีการผลิตลดลง อันเนื่องมาจากต้นทุนวัตถุดิบมีราคาเพิ่มสูงขึ้น แต่หากพิจารณาจากมูลค่าการส่งออกยางขั้นต้นในไตรมาสนี้ พบว่ามีมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น ยางแผ่น ยางแท่ง น้ำยางข้น และยางขั้นต้นอื่นๆ อันเนื่องมาจากการเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อของตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา สำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2548 คาดว่าราคาน้ำยางจะยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงแคบๆ แม้ว่าน้ำยางที่กรีดได้จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นเพราะอยู่ในช่วงฤดูฝน แต่ปัจจัยจากความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งผลให้ปริมาณน้ำยางที่กรีดได้เข้าสู่ตลาดน้อยลง อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ในตลาดโลกยังมีทิศทางที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นตมภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะในตลาดประเทศจีน และญี่ปุ่น ยังคงส่งผลให้ทิศทางราคาน้ำยางอยู่ในทิศทางที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยางสังเคราะห์มีราคาสูงขึ้น เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคายางธรรมชาติสูงตามไปด้วย จากราคาของน้ำยางขั้นต้นที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของผลิตภัณฑ์ยางต่อไปในอนาคต
เยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ และกระดาษ ในไตรมาสนี้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันที่ยังคงสูง ภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตไม่ว่าจะเป็นราคาวัตถุดิบและต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้น รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศชะลอตัว ภาวะการนำเข้าและการส่งออกเยื่อกระดาษ กระดาษ หนังสือและสิ่งพิมพ์ ในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่มีการปรับตัวลดลง เช่นเดียวกับภาวะการผลิต เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว แนวโน้มของภาวะอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษและสิ่งพิมพ์ ในไตรมาสหน้าคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ส่งผลต่อความต้องการใช้กระดาษทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อจัดพิมพ์ปฏิทิน สมุดบันทึก กระดาษห่อของขวัญและการ์ดต่าง ๆ ทำให้การบริโภคในประเทศและการส่งออกเพิ่มขึ้น
ยา ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรให้ดีขึ้น และเพิ่มกำลังการผลิต ประกอบกับมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น จึงเพิ่มการผลิตมากขึ้น สำหรับปริมาณการจำหน่ายขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนไทยให้ความสนใจต่อสุขภาพมากขึ้น รวมทั้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดำเนินอย่างต่อเนื่อง ยังคงทำให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐมีความต้องการยาที่ผลิตจากภายในประเทศ ด้านมูลค่าการนำเข้าและการส่งออกมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ายารักษาโรคที่มีสิทธิบัตร วัคซีนใช้เป็นยาสำหรับมนุษย์ และส่งออกวิตามิน ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ปวดลดไข้ รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันเชื้อโรค สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในประเทศ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 เนื่องจากการดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุขของรัฐบาล เช่น โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่มีผลให้การเข้าถึงยาของประชาชนขยายวงกว้างขึ้น ส่งผลให้ปริมาณความต้องการบริโภคยาที่ผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากผู้ผลิตรวมถึงภาครัฐบาลพยายามขยายตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น ส่วนมูลค่าการนำเข้าคาดว่าจะลดลง เนื่องจากผู้นำเข้ามักไม่ทำสินค้าคงคลังในไตรมาสสุดท้ายของปี ดังนั้นจะนำเข้าสินค้าตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 และลดการนำเข้าลงในไตรมาสที่ 4
สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มการผลิตผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 มีการผลิตที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้การจำหน่ายมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดในประเทศและการส่งออก โดยมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน เป็นต้น ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จ รูป มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 50 ของการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปทั้งหมด สำหรับการนำเข้าเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนในผลิตภัณฑ์สิ่งทอลดลงร้อยละ 23.2 ผ้าผืนลดลงร้อยละ 8.8 แต่เสื้อผ้าสำเร็จรูปยังคงมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.4 แนวโน้มในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 แม้ว่าการขยายตัวด้านเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าจะชะลอตัวลงเล็กน้อย ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมบางประการ เช่น ภาวการณ์พุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่คาดว่าการส่งออกสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยจะมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 เนื่องจากเทศกาลวันหยุดต่างๆ ในช่วงปลายปีทำให้ความต้องการสินค้ามีมากขึ้น
ปูนซีเมนต์ ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูฝน ธุรกิจการก่อสร้างชะลอตัวทำให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ลดลงตามไปด้วย เมื่อพิจารณาสำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2548 คาดว่าการเติบโตของธุรกิจการก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัยจะยังชะลอตัวลง เนื่องจากภาวะกำลังซื้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เอื้ออำนวยต่อการซื้อที่อยู่อาศัยน้อยลงกว่าในระยะปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้บริโภคใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยนานขึ้น แต่ปัจจัยบวกอาจมาจากการอ่อนตัวลงของภาวะเงินเฟ้อ และภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่น่าจะเติบโตขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อการลงทุนปรับตัวดีขึ้น สำหรับการลงทุนของรัฐบาลมีแผนที่จะลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่นระบบคมนาคมขนส่ง พลังงาน และโครงการลงทุนเพื่อสังคม เช่นที่อยู่อาศัย จากแผนการลงทุนของภาครัฐนี้คาดว่าการลงทุนโครงการก่อสร้างภาครัฐอาจจะมีโอกาสขยายตัวในอัตราที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการเติบโตในธุรกิจก่อสร้างจะทำให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์มีการเติบโตในทิศทางเดียวกันสำหรับตลาดต่างประเทศ การส่งออกปูนซีเมนต์ในไตรมาส 3 ปี 2548 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ของประเทศคู่ค้าเพิ่มมากขึ้น และเมื่อพิจารณาในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 กับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2548 มีแนวโน้มทรงตัว
เซรามิก การผลิตเซรามิก โดยเฉพาะกระเบื้องปูพื้น บุผนัง และเครื่องสุขภัณฑ์ ไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศ ถึงแม้ว่าภาวะอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจะชะลอตัวลง แต่ยังสามารถผลิตเพื่อส่งออกได้ ดังนั้น แนวโน้มการผลิตและจำหน่ายเซรามิกในประเทศจะยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่จะอยู่ในภาวะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศชะลอตัวลง
อัญมณีและเครื่องประดับ ภาพรวมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 มีแนวโน้มการเติบโตที่สูงขึ้น การส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากไตรมาสที่แล้ว และร้อยละ 20.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการจำหน่าย และการส่งออกที่เพิ่มขึ้นทำให้การนำเข้าสินค้าเพื่อเป็นวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน แนวโน้มภาพรวมการส่งออกในไตรมาสหน้ายังมีแนวโน้มการบริโภคที่สูงขึ้น เนื่องจากผลกระทบจากทองคำที่มีราคาสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน นอกจากการบริโภคตามปกติแล้วยังอาจมีผลจากการซื้อเพื่อเก็งกำไรเพิ่มเข้ามา นอกจากนั้นผลของราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันมีรายได้มากขึ้น ความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือย และเครื่องประดับก็สูงขึ้นด้วย ปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ เช่น การอ่อนตัวของค่าเงินบาททำให้ราคาสินค้าโดยทั่วไปจากประเทศไทยถูกลงโดยเปรียบเทียบ
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
เศรษฐกิจไทยในปี 2548 มีการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากต้องประสบกับ ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ผลกระทบของราคาน้ำมันที่ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบจากภัยแล้ง ผลกระทบจากเหตุการณ์คลื่น Tsunami ผลกระทบจากไข้หวัดนก เป็นต้น ซึ่งทำให้หลายฝ่ายออกมาปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศปี 2548 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5 — 5.5 สำหรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2548 ยังมีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2547 แต่ทว่าในช่วงไตรมาสสุดท้าย เศรษฐกิจไทยยังคงต้องประสบกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยตามมาอีก
สำหรับภาคอุตสาหกรรม ตัวชี้วัดต่าง ๆ ที่มีการประกาศออกมาในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ส่วนใหญ่ยังมีการขยายตัวบ้าง โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่จัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม ตามการจัดประเภทอุตสาหกรรมมาตรฐานสากล (ISIC) ในระดับ 4 หลัก มีการเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 5.3 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 10.2 สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตก็เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 เช่นกัน นอกจากนี้เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ความเชื่อมั่นทางธุรกิจและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม กลับพบว่ามีการปรับตัวลดลงทั้งจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547
สถานการณ์การค้าในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2548 มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 โดยในไตรมาสที่ 3 นี้การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 59,639 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 30,192.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 29,446.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.38 และการนำเข้า ลดลงร้อยละ 7.46 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.08 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.45 ส่งผลในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ดุลการค้าเกินดุล 745.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม มีมูลค่ารวม 16,976 ล้านบาท โดยในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 17,687 ล้านบาท และเดือนสิงหาคม -711 ล้านบาทและสำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 การลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 890 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 427,900 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100 % จำนวน 290 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 88,600 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 298 โครงการ เป็นเงินลงทุน 158,700 ล้านบาท
ภาวะอุตสาหกรรมในแต่ละสาขา
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ภาวะการผลิตในสินค้าอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์โดยรวมของไทยในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยจากดัชนีอุตสาหกรรมของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม พบว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวลดลงร้อยละ 5.79 โดยเป็นการปรับตัวลดลงจากสินค้าไฟฟ้าร้อยละ 8.64 และสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ร้อยละ 2.31 และเมื่อพิจารณาอัตราการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ไทย พบว่าในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 มีอัตราการใช้กำลังการผลิตรวมที่ระดับร้อยละ 52.13
โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้ามีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ระดับร้อยละ 44.12 ส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ มีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ระดับร้อยละ 64.26
เคมีภัณฑ์ เมื่อพิจารณาการนำเข้าเคมีภัณฑ์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 พบว่า เคมีภัณฑ์อนินทรีย์ และเคมีภัณฑ์อินทรีย์ และสารลดแรงตึงผิว มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 19.34 ร้อยละ 8.57 และร้อยละ 2.44 ตามลำดับ ในขณะที่การนำเข้าเคมีภัณฑ์เบ็ดเตล็ด ปุ๋ยเคมี สี และเครื่องสำอางค์ มีมูลค่าการนำเข้าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 4.29 ร้อยละ 5.47 ร้อยละ 3.39 และร้อยละ0.75 ตามลำดับ ทางด้านการส่งออก พบว่า เคมีภัณฑ์ทุกผลิตภัณฑ์ มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปุ๋ยเคมี เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง ร้อยละ 174.82
ปิโตรเคมี ไตรมาส 3 ปี 2548 อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังคงประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากปัญหาภัยแล้ง ส่งผลต่อความกังวลของผู้ผลิตปิโตรเคมีเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตได้พยายามป้องกันความเสี่ยงด้วยการหาน้ำจากแหล่งอื่นเข้ามาสำรองใช้ รวมทั้งได้ร่วมกันรณรงค์ประหยัดการใช้น้ำ โดยผู้ผลิตบางรายจำเป็นต้องลดปริมาณการผลิตลงบางส่วน สำหรับการผลิตในภูมิภาคเอเชีย หลายประเทศมีโครงการขยายการผลิต โดยเฉพาะประเทศอินเดีย และจีน
เหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์เหล็กโดยรวมในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสภาวะการค้าภายในประเทศที่ซบเซา โดยเหล็กทรงยาวมีการชะลอตัวลงทั้งการผลิตและความต้องการใช้ในประเทศ เนื่องจากการชะลอตัวของธุรกิจก่อสร้างโครงการต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับเหล็กทรงแบนมีสภาวะที่ทรงตัว เนื่องจากอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้เหล็กประเภทนี้เป็นวัตถุดิบยังมีสภาวะที่ทรงตัวอยู่ โดยเหล็กทรงแบนมีการผลิตลดลงแต่การใช้ในประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้ผลิตส่วนใหญ่ยังคงมีปริมาณสินค้าคงคลังที่สูงอยู่ จึงมีผลให้ผู้ผลิตต้องเร่งระบายสินค้าในสต๊อกและลดการผลิตลง ซึ่งปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญโดยรวมในไตรมาสนี้ชะลอตัวลง ร้อยละ 14.16 การใช้ในประเทศทรงตัว ร้อยละ 0.86 มูลค่าและปริมาณการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 33.75 และ 8.50 โดยส่วนใหญ่มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปจากประเทศรัสเซีย เหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบนจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องซึ่งยังมีสภาวะทรงตัวอยู่ และนำเข้าเหล็กราคาถูกจากประเทศจีน เป็นต้น ขณะที่การส่งออกในช่วงไตรมาสนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งมูลค่าและปริมาณเพิ่มขึ้น ร้อยละ 60.14 และ 26.15 โดยตลาดส่งออกส่วนใหญ่คือ ประเทศจีนและฮ่องกง ตามลำดับ โดยเหล็กที่ส่งออกจะเป็นเหล็กชนิด high quality ซึ่งยังคงมีความต้องการในประเทศจีนอยู่
ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ไตรมาสที่สามของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.36 และ 13.29 ตามลำดับ โดยมีการผลิตรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เพิ่มขึ้น แต่มีการผลิตรถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลง ในส่วนของการจำหน่าย รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เพิ่มขึ้น แต่มีการจำหน่ายรถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลง ทางด้านการส่งออกและนำเข้าของไตรมาสที่สามของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่าปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.16 ส่วนการนำเข้า พบว่า ปริมาณนำเข้ารถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 41.78 แต่รถยนต์โดยสารและรถบรรทุกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.81
แม้ว่ามีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม อาทิ สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ยังคงสูง อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย ที่สูงขึ้น ประกอบกับ ภาวะภัยธรรมชาติจากน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ แต่โดยภาพรวมแล้วระบบเศรษฐกิจยังคงมีเสถียรภาพ ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และในเดือนพฤศจิกายนของไตรมาสสุดท้ายปี 2548 นี้ การผลิตรถยนต์จะครบ 1 ล้านคัน และจะเป็นปีที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสามารถผลิตรถยนต์เกิน 1 ล้านคัน เป็นปีแรก ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า สภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์จะเป็นไปตามที่ประมาณการไว้ กล่าวคือ จะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 1.10 ล้านคัน และมีการจำหน่ายในประเทศ 0.70 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 18.52 และ 11.81 ตามลำดับ
พลาสติก ภาวะอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก ในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 พบว่า มูลค่าการส่งออกมากขึ้นร้อยละ 29.08 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่งออกถุงและกระสอบพลาสติก และแผ่นฟิล์มฟอยล์ และแถบมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.02 และร้อยละ 12.52 ตามลำดับ ในขณะที่มูลค่านำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติก เพิ่มขึ้นร้อยละ16.49 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากที่สุด ถึงร้อยละ 24.23
รองเท้าและผลิตภัณฑ์หนังอุตสาหกรรมรองเท้าและผลิตภัณฑ์หนังของไทยมีภาวการณ์ผลิตหนังฟอกลดลงจากไตรมาสก่อนอาจเป็นผลมาจากการนำเข้าหนังดิบและหนังฟอกที่ลดลง การผลิตกระเป๋าลดลงจากไตรมาสก่อนเนื่องการส่งออกลดลง การผลิตรองเท้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มอุตสาหกรรมรองเท้าและผลิตภัณฑ์หนังของไทยอาจมีแนวโน้มที่ลดลงเนื่องจากตลาดหลักที่นำเข้าอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศยุโรปมีภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนจากราคาน้ำมัน การนำเข้าของไทยในกลุ่มสินค้าสำเร็จรูปยังมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น (รองเท้าและกระเป๋า) แหล่งนำเข้าที่สำคัญและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง คือจีน จึงควรที่จะต้องมีมาตรการเพื่อมารองรับการนำเข้าสินค้าคุณภาพต่ำที่จะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคและภาคการผลิตของไทย
อาหาร ภาวะอุตสาหกรรมอาหารโดยรวมในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2548 จัดอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าภาคการผลิตบางส่วนจะได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบจากภาวะภัยธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับชะลอตัวจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่รัฐประกาศลอยตัวราคาน้ำมันและเชื้อเพลิงอื่นๆ แต่ระดับราคาส่งออกที่ปรับตัวสูงขึ้นของผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป ผลิตภัณฑ์ผักผลไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป เป็นต้น เนื่องจากอุปทานในตลาดโลกลดลง เพราะประเทศผู้ผลิตที่สำคัญประสบปัญหาภัยธรรมชาติ และโรคระบาดเช่นกัน นอกจากนี้การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตมาผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ทำให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับแนวโน้มของการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร ในไตรมาสที่ 4 ของ ปี 2548 คาดว่าจะยังคงมีทิศทางการผลิตและส่งออกที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประมงและปศุสัตว์ แต่จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนกรอบใหม่ ภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ และมาตรการกีดกันการค้ารูปแบบใหม่ๆ ที่ประเทศผู้นำเข้าจะประกาศใช้ในอนาคต
ไม้และเครื่องเรือน ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ภาวะอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนของไทยโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 และมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เป็นเพราะปัจจัยบวกของความต้องการของตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ การส่งออกไปยังตลาดสำคัญๆ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปยังคงมีแนวโน้มที่ดี การปรับค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นของจีน รวมทั้งจีนได้รับผลกระทบจากมาตรการ AD ของสหรัฐอเมริกาได้ส่งผลดีต่อการส่งออกอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนของไทย นอกจากนี้การลงทุนของภาครัฐในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าดังกล่าวขยายตัวดี แต่การที่สินค้าจากจีนเข้ามาแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่า ทำให้ผู้ประกอบการของไทยจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงรูปแบบและประสิทธิภาพการผลิต เพื่อสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิต ทั้งนี้เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก นอกจากนี้ อาจพิจารณาหาตลาดใหม่ๆที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก เป็นต้น
ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 การผลิตยางขั้นต้น ประเภทยางแท่งมีปริมาณการผลิตลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่แล้ว ส่วนการผลิตยางแผ่น และผลิตภัณฑ์ยาง ประเภทยางล้อรถกะบะ มีปริมาณการผลิตเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากการขยายตัวของการผลิตรถยนต์ปิกอัพขนาด 1 ตัน ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ถุงมือยาง มีการผลิตลดลง อันเนื่องมาจากต้นทุนวัตถุดิบมีราคาเพิ่มสูงขึ้น แต่หากพิจารณาจากมูลค่าการส่งออกยางขั้นต้นในไตรมาสนี้ พบว่ามีมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น ยางแผ่น ยางแท่ง น้ำยางข้น และยางขั้นต้นอื่นๆ อันเนื่องมาจากการเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อของตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา สำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2548 คาดว่าราคาน้ำยางจะยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงแคบๆ แม้ว่าน้ำยางที่กรีดได้จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นเพราะอยู่ในช่วงฤดูฝน แต่ปัจจัยจากความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งผลให้ปริมาณน้ำยางที่กรีดได้เข้าสู่ตลาดน้อยลง อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ในตลาดโลกยังมีทิศทางที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นตมภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะในตลาดประเทศจีน และญี่ปุ่น ยังคงส่งผลให้ทิศทางราคาน้ำยางอยู่ในทิศทางที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยางสังเคราะห์มีราคาสูงขึ้น เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคายางธรรมชาติสูงตามไปด้วย จากราคาของน้ำยางขั้นต้นที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของผลิตภัณฑ์ยางต่อไปในอนาคต
เยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ และกระดาษ ในไตรมาสนี้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันที่ยังคงสูง ภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตไม่ว่าจะเป็นราคาวัตถุดิบและต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้น รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศชะลอตัว ภาวะการนำเข้าและการส่งออกเยื่อกระดาษ กระดาษ หนังสือและสิ่งพิมพ์ ในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่มีการปรับตัวลดลง เช่นเดียวกับภาวะการผลิต เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว แนวโน้มของภาวะอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษและสิ่งพิมพ์ ในไตรมาสหน้าคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ส่งผลต่อความต้องการใช้กระดาษทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อจัดพิมพ์ปฏิทิน สมุดบันทึก กระดาษห่อของขวัญและการ์ดต่าง ๆ ทำให้การบริโภคในประเทศและการส่งออกเพิ่มขึ้น
ยา ปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรให้ดีขึ้น และเพิ่มกำลังการผลิต ประกอบกับมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น จึงเพิ่มการผลิตมากขึ้น สำหรับปริมาณการจำหน่ายขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนไทยให้ความสนใจต่อสุขภาพมากขึ้น รวมทั้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดำเนินอย่างต่อเนื่อง ยังคงทำให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐมีความต้องการยาที่ผลิตจากภายในประเทศ ด้านมูลค่าการนำเข้าและการส่งออกมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ายารักษาโรคที่มีสิทธิบัตร วัคซีนใช้เป็นยาสำหรับมนุษย์ และส่งออกวิตามิน ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ปวดลดไข้ รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันเชื้อโรค สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในประเทศ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 เนื่องจากการดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุขของรัฐบาล เช่น โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่มีผลให้การเข้าถึงยาของประชาชนขยายวงกว้างขึ้น ส่งผลให้ปริมาณความต้องการบริโภคยาที่ผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากผู้ผลิตรวมถึงภาครัฐบาลพยายามขยายตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น ส่วนมูลค่าการนำเข้าคาดว่าจะลดลง เนื่องจากผู้นำเข้ามักไม่ทำสินค้าคงคลังในไตรมาสสุดท้ายของปี ดังนั้นจะนำเข้าสินค้าตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 และลดการนำเข้าลงในไตรมาสที่ 4
สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มการผลิตผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 มีการผลิตที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้การจำหน่ายมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดในประเทศและการส่งออก โดยมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน เป็นต้น ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จ รูป มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 50 ของการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปทั้งหมด สำหรับการนำเข้าเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนในผลิตภัณฑ์สิ่งทอลดลงร้อยละ 23.2 ผ้าผืนลดลงร้อยละ 8.8 แต่เสื้อผ้าสำเร็จรูปยังคงมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.4 แนวโน้มในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 แม้ว่าการขยายตัวด้านเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าจะชะลอตัวลงเล็กน้อย ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมบางประการ เช่น ภาวการณ์พุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่คาดว่าการส่งออกสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยจะมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 เนื่องจากเทศกาลวันหยุดต่างๆ ในช่วงปลายปีทำให้ความต้องการสินค้ามีมากขึ้น
ปูนซีเมนต์ ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูฝน ธุรกิจการก่อสร้างชะลอตัวทำให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ลดลงตามไปด้วย เมื่อพิจารณาสำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2548 คาดว่าการเติบโตของธุรกิจการก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัยจะยังชะลอตัวลง เนื่องจากภาวะกำลังซื้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เอื้ออำนวยต่อการซื้อที่อยู่อาศัยน้อยลงกว่าในระยะปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้บริโภคใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยนานขึ้น แต่ปัจจัยบวกอาจมาจากการอ่อนตัวลงของภาวะเงินเฟ้อ และภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่น่าจะเติบโตขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อการลงทุนปรับตัวดีขึ้น สำหรับการลงทุนของรัฐบาลมีแผนที่จะลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่นระบบคมนาคมขนส่ง พลังงาน และโครงการลงทุนเพื่อสังคม เช่นที่อยู่อาศัย จากแผนการลงทุนของภาครัฐนี้คาดว่าการลงทุนโครงการก่อสร้างภาครัฐอาจจะมีโอกาสขยายตัวในอัตราที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการเติบโตในธุรกิจก่อสร้างจะทำให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์มีการเติบโตในทิศทางเดียวกันสำหรับตลาดต่างประเทศ การส่งออกปูนซีเมนต์ในไตรมาส 3 ปี 2548 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ของประเทศคู่ค้าเพิ่มมากขึ้น และเมื่อพิจารณาในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 กับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2548 มีแนวโน้มทรงตัว
เซรามิก การผลิตเซรามิก โดยเฉพาะกระเบื้องปูพื้น บุผนัง และเครื่องสุขภัณฑ์ ไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศ ถึงแม้ว่าภาวะอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจะชะลอตัวลง แต่ยังสามารถผลิตเพื่อส่งออกได้ ดังนั้น แนวโน้มการผลิตและจำหน่ายเซรามิกในประเทศจะยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่จะอยู่ในภาวะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศชะลอตัวลง
อัญมณีและเครื่องประดับ ภาพรวมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 มีแนวโน้มการเติบโตที่สูงขึ้น การส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากไตรมาสที่แล้ว และร้อยละ 20.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการจำหน่าย และการส่งออกที่เพิ่มขึ้นทำให้การนำเข้าสินค้าเพื่อเป็นวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน แนวโน้มภาพรวมการส่งออกในไตรมาสหน้ายังมีแนวโน้มการบริโภคที่สูงขึ้น เนื่องจากผลกระทบจากทองคำที่มีราคาสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน นอกจากการบริโภคตามปกติแล้วยังอาจมีผลจากการซื้อเพื่อเก็งกำไรเพิ่มเข้ามา นอกจากนั้นผลของราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันมีรายได้มากขึ้น ความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือย และเครื่องประดับก็สูงขึ้นด้วย ปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ เช่น การอ่อนตัวของค่าเงินบาททำให้ราคาสินค้าโดยทั่วไปจากประเทศไทยถูกลงโดยเปรียบเทียบ
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-