พฤติกรรมผู้บริโภคของตลาดญี่ปุ่นในปัจจุบัน
ประเทศญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกกระเป๋าที่น่าสนใจตลาดหนึ่งของไทย แต่เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ทำให้ผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายเงินมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานของญี่ปุ่น ซึ่งหันมานิยมเลือกซื้อกระเป๋าถือและกระเป๋าสะพายที่ทำจากวัสดุใยสังเคราะห์และวัสดุที่ไม่ใช่หนังสัตว์มากขึ้น เนื่องจากราคาไม่แพง มีน้ำหนักเบา ทำความสะอาดง่าย อีกทั้งมีรูปแบบและสีสันหลากหลาย ดังนั้นกระเป๋าจากไทยจึงมีลู่ทางที่สดใสขึ้นในตลาดญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกกระเป๋าที่สำคัญอันดับ 2 ของไทย รองจากสหรัฐอเมริกา
ข้อมูลเบื้องต้นที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดกระเป๋าในประเทศญี่ปุ่น
1. อัตราภาษีนำเข้า ไทยได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (Generalized System of Preferences : GSP) จากญี่ปุ่น ทำให้กระเป๋าจากไทยได้รับการลดหย่อนภาษีนำเข้าจากที่เรียกเก็บในอัตราปกติ 10-20% ลดเหลือ 6.4-12.8% โดยสินค้าที่มี มูลค่าเกินกว่า 200,000 เยน/Shipment ต้องมีใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าที่ออกโดยกรม การค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ของไทย ประกอบการขอรับสิทธิ GSP ด้วย ส่วนสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 200,000 เยน/Shipment สามารถขอรับสิทธิ GSP ได้ โดยไม่ต้องมีใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า
2. กฎระเบียบการนำเข้า ที่สำคัญ ได้แก่
- อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชพรรณจากป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) กำหนดให้กระเป๋าที่ทำจากหนังหรือขนของสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ต้องได้รับใบรับรองการส่งออก (Export Certificate) หรือใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) ที่ออกโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเทศผู้ส่งออก
- กฎหมายว่าด้วยการล่าสัตว์และคุ้มครองชีวิตสัตว์ป่า (Wide Life Protection and Hunting Law) กำหนดให้กระเป๋าที่ทำจากขนสัตว์บางประเภทต้องได้รับใบรับรองการส่งออก (Export Certificate) จากหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเทศผู้ส่งออก
- กฎหมายว่าด้วยภาษีศุลกากร (Customs Tariff Law) กำหนดให้สินค้าที่ต้องสงสัยว่าเป็นสินค้าปลอมแปลงยี่ห้อ ต้องถูกยึด ริบ ทำลาย หรือส่งกลับประเทศ เพื่อป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
3. การติดฉลากสินค้า กฎหมายว่าด้วยการติดฉลากสินค้าอุปโภคบริโภค (Household Goods Quality Labeling Law) ของญี่ปุ่นกำหนดให้กระเป๋าที่ทำจากหนังสัตว์ประเภทต่าง ๆ เช่น วัว ม้า หมู แกะ และแพะ ฯลฯ ต้องระบุชนิดของหนังสัตว์ วิธีการดูแลรักษา รวมทั้งชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตด้วย
4. คู่แข่ง ที่สำคัญของไทย ได้แก่ จีน อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ไทย มีส่วนแบ่งตลาดกระเป๋าในญี่ปุ่นมากเป็นอันดับ 7 โดยมีสัดส่วนเพียง 1.6% ของมูลค่าการนำเข้ากระเป๋ารวมของญี่ปุ่นเท่านั้น
5. ช่องทางการนำเข้า ปัจจุบันมีหลายช่องทาง เช่น การนำเข้าจากผู้ผลิตในต่างประเทศโดยตรง การนำเข้าจากผู้ค้าปลีกในต่างประเทศ การนำเข้าผ่านตัวแทนนำเข้าหรือบริษัทสาขาในต่างประเทศ ฯลฯ ก่อนจำหน่ายต่อให้แก่ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หรือผู้บริโภคในญี่ปุ่นต่อไป
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
ประเทศญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกกระเป๋าที่น่าสนใจตลาดหนึ่งของไทย แต่เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ทำให้ผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายเงินมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานของญี่ปุ่น ซึ่งหันมานิยมเลือกซื้อกระเป๋าถือและกระเป๋าสะพายที่ทำจากวัสดุใยสังเคราะห์และวัสดุที่ไม่ใช่หนังสัตว์มากขึ้น เนื่องจากราคาไม่แพง มีน้ำหนักเบา ทำความสะอาดง่าย อีกทั้งมีรูปแบบและสีสันหลากหลาย ดังนั้นกระเป๋าจากไทยจึงมีลู่ทางที่สดใสขึ้นในตลาดญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกกระเป๋าที่สำคัญอันดับ 2 ของไทย รองจากสหรัฐอเมริกา
ข้อมูลเบื้องต้นที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดกระเป๋าในประเทศญี่ปุ่น
1. อัตราภาษีนำเข้า ไทยได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (Generalized System of Preferences : GSP) จากญี่ปุ่น ทำให้กระเป๋าจากไทยได้รับการลดหย่อนภาษีนำเข้าจากที่เรียกเก็บในอัตราปกติ 10-20% ลดเหลือ 6.4-12.8% โดยสินค้าที่มี มูลค่าเกินกว่า 200,000 เยน/Shipment ต้องมีใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าที่ออกโดยกรม การค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ของไทย ประกอบการขอรับสิทธิ GSP ด้วย ส่วนสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 200,000 เยน/Shipment สามารถขอรับสิทธิ GSP ได้ โดยไม่ต้องมีใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า
2. กฎระเบียบการนำเข้า ที่สำคัญ ได้แก่
- อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชพรรณจากป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) กำหนดให้กระเป๋าที่ทำจากหนังหรือขนของสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ต้องได้รับใบรับรองการส่งออก (Export Certificate) หรือใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) ที่ออกโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเทศผู้ส่งออก
- กฎหมายว่าด้วยการล่าสัตว์และคุ้มครองชีวิตสัตว์ป่า (Wide Life Protection and Hunting Law) กำหนดให้กระเป๋าที่ทำจากขนสัตว์บางประเภทต้องได้รับใบรับรองการส่งออก (Export Certificate) จากหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเทศผู้ส่งออก
- กฎหมายว่าด้วยภาษีศุลกากร (Customs Tariff Law) กำหนดให้สินค้าที่ต้องสงสัยว่าเป็นสินค้าปลอมแปลงยี่ห้อ ต้องถูกยึด ริบ ทำลาย หรือส่งกลับประเทศ เพื่อป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
3. การติดฉลากสินค้า กฎหมายว่าด้วยการติดฉลากสินค้าอุปโภคบริโภค (Household Goods Quality Labeling Law) ของญี่ปุ่นกำหนดให้กระเป๋าที่ทำจากหนังสัตว์ประเภทต่าง ๆ เช่น วัว ม้า หมู แกะ และแพะ ฯลฯ ต้องระบุชนิดของหนังสัตว์ วิธีการดูแลรักษา รวมทั้งชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตด้วย
4. คู่แข่ง ที่สำคัญของไทย ได้แก่ จีน อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ไทย มีส่วนแบ่งตลาดกระเป๋าในญี่ปุ่นมากเป็นอันดับ 7 โดยมีสัดส่วนเพียง 1.6% ของมูลค่าการนำเข้ากระเป๋ารวมของญี่ปุ่นเท่านั้น
5. ช่องทางการนำเข้า ปัจจุบันมีหลายช่องทาง เช่น การนำเข้าจากผู้ผลิตในต่างประเทศโดยตรง การนำเข้าจากผู้ค้าปลีกในต่างประเทศ การนำเข้าผ่านตัวแทนนำเข้าหรือบริษัทสาขาในต่างประเทศ ฯลฯ ก่อนจำหน่ายต่อให้แก่ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หรือผู้บริโภคในญี่ปุ่นต่อไป
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-