คำต่อคำ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในการเปิดการสัมมนา ส.ส. พรรคประชา ธิปัตย์ ในวันเสาร์ที่ 25 กันยายน 2547 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยรังสิต
ท่านประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ท่านกรรมการจัดการสัมมนา พี่น้องชาวประชาธิปัตย์ ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ผมจำได้ว่าเราพบกันครั้งหลังสุด ในการสัมมนาทำนองเดียวกันนี้ ที่จังหวัดระยอง ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2546 ที่ผ่านมาเพียงแต่ว่าวันนั้น ผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคประชาธิปัตย์ และคณะกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น ไม่ได้มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง เข้ามาร่วมสัมมนาด้วย บรรยากาศในวันนั้น คงจะคึกคักสู้วันนี้ไม่ได้
ที่ผมได้ท้าวความไปถึงการพบกันครั้งหลังสุด ในการสัมมนาที่จังหวัดระยองก็เพราะว่าในวันนั้นถ้าพวกเราจำกันได้ครับ เราจะมีการพูดจากันในเรื่องสำคัญๆหลายเรื่องซึ่งถึงแม้ว่าช่วงเวลาจะผ่านมาจนกระทั่งบัดนี้ เป็นเวลา เกือบ 1 ปี คือประมาณ 10 เดือน แต่ว่าหลายเรื่องยังเป็นเรื่องที่ทันสมัย หลายเรื่องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เวลานั้น เราก็ยังดำรงคงอยู่จนกระทั่งเวลานี้ เราได้เตือนรัฐบาล เราได้วิเคราะห์สภาพการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น และหลายเรื่องเราพูดด้วยความภาคภูมิใจได้ว่า เราวิเคราะห์ถูกเพราะความจริงได้ปรากฎขึ้นมาแล้วในขณะที่เป็นอยู่ในเวลานี้
เราพูดถึงปัญหาไข้หวัดนก เราพูดถึงปัญหาสถานการณ์ของความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ เราพูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการไปตกลงทำสัญญาเปิดเขตการค้าเสรี ระหว่างประเทศไทย และประเทศจีน เราพูดถึงปัญหาเศรษฐกิจชาวบ้าน ซึ่งเราได้พูดจาอย่างชัดเจนทุกเรื่อง ว่าจะมีปัญหาด้วยกันทั้งสิ้น
ปัญหาไข้หวัดนก ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงการก่อหวอดกันขึ้นมา มีไก่ตายยกเล้า ที่จังหวัดนครสวรรค์ และค่อยๆแพร่ระบาดไปยังจังหวัดข้างเคียง เรารู้ครับ เพราะว่าเรามีสมาชิกเป็นจำนวนมากอยู่ที่นั่น เรามีสาขาที่มีความเข้มแข็งอยู่ที่นั่น สาขาแจ้งเขามาด้วยว่าน่าสงสัยว่าน่าจะเป็นไข้หวัดนกอย่างแน่นอน เราก็เตือนรัฐบาลแต่รัฐบาลไม่เชื่อ เราบอกกับรัฐบาลว่าการแก้ไข ปัญหาไข้หวัดนกที่ดีที่สุด ก็คือการจำนนกับความเป็นจริง เปิดเผยความจริงให้ปรากฎว่ามีการระบาดกันแล้ว
เราบอกกับรัฐบาลว่าหากรัฐบาลทำได้เช่นนั้น รัฐบาลก็สามารถจะมีคำเตือนไปยังบุคคล โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับบรรดาสัตว์ปีกทั้งหลาย ให้มีความระมัดระวังตัวมากขึ้น เราบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ทั่วประเทศใช้ แล้ววิธีนี้ก็เป็นวิธีที่จะส่งคำเตือน ไปยังประชาชนที่เกี่ยวข้องได้มีความระมัดระวัง ไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท แต่ว่ารัฐบาลก็ไม่เชื่อ ถามท่านนายกฯ ท่านนายกฯทักษิณ บอกว่าไม่มีโรคไข้หวัดนกระบาด ถามท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทุกคนก็ปฏิเสธเหมือนกับท่านนายกฯทักษิณ แม้กระทั่งรัฐมนตรีช่วยที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ซึ่งเมื่อมาถึงบัดนี้ ดูจะบอกไม่ได้แล้วว่าหน้าตาเหมือนนก หรือเหมือนไก่กันแน่
รัฐบาลไม่เชื่อ บอกว่าไข้หวัดนกไม่ได้เข้ามาระบาดในประเทศไทย ที่เกิดขึ้นในไก่เป็นเพียงโรคอหิวาในไก่ และความเปลี่ยนแปลงของอากาศเท่านั้นที่ทำให้ไก่ตาย มายอมจำนนจริงเมื่อมาล่วงเข้าปี 2547 เดือนมกราคม 2547 ที่ต้องยอมจำนนเพราะว่ามีคนตายเพราะว่าไข้หวัดนกอย่างน้อยในช่วงนั้นก็ 2 คน
เมื่อเกิดปัญหาขึ้นทางพิสูจน์บอกว่าเป็นไข้หวัดนก ตรงนั้นท่านนายกฯทักษิณถึงยอมรับอย่างอ้อมแอ้มๆ ในการพูดจากับพี่น้องประชาชนเมื่อวันเสาร์วันหนึ่ง ของปลายเดือนมกราคา 2547 บอกว่าความจริงรัฐบาลก็ทราบกันอยู่แล้วว่ามีไข้หวัดนกระบาด แต่ว่ายังไม่บอดเพราะกลัวว่าคนจะแตกตื่นการส่งออกจะมีปัญหา จึงน่าตกใจเป็นที่สุด เพราะหลอกคนไทยนั้น บางทีก็ให้อภัยกันได้บ้าง แต่เมื่อกลางเดือนมกราคม 2547 มีคณะกรรมาธิการสาธารณสุข และคุ้มครองผู้บริโภคของสหภาพยุโรป เดินทางมาขอรับทราบข้อเท็จจริงจากรัฐบาลไทย เข้าพบนายกฯที่ทำเนียบ ซึ่งมีรัฐมนตรี สาธารณสุข และเกษตรฯ เข้ารับรองด้วยทั้งสามท่านยังยืนยันว่าไม่มีไข้หวัดนกแต่คล้อยหลังวันเดียวเท่านั้นเด็กตาย จำเลยต้องรับสารภาพ เพราะพยานหลักฐานชัดเจน ถ้อยคำที่พูดจากับคนไทยผ่านวิทยุกระจายเสียง ของกรมประชาสัมพันธ์ ในรายการนายกฯ คุยกับประชาชน ที่ยอมรับว่ารู้ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ยังไม่กล้าบอกกความจริง กลัวว่าผู้คนจะตื่นเต้น
พี่น้องครับโลกทุกวันนี้มันแคบก็ได้ยินไปยังนายเดวิด ซึ่งพึ่งเดินทางไปจากประเทศเพียงวันเดียวเท่านั้น กระทบกระเทือนมาก หัวหน้าสำนักงานของนายเดวิดเชิญทูตของเราที่สหภาพยุโรปเข้าพบเพื่อแสดงความเสียใจบอกว่าเสียใจที่รัฐบาลไทยไม่ให้เกียรติกับกรรมาธิการของเขา เสียใจที่รัฐบาลไม่ยอมบอกความจริงทั้งๆที่ความจริงปรากฎชัดอยู่แล้วจากการพูดจาของนายกฯเองว่าทราบอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
ท้ายสุดผมเองได้เป็นผู้นำเสนอ ต่อสหภาพยุโรปเองครับ ว่าควรจะลดการนำเข้าไก่สดแช่แข็งจากประเทศไทยได้แล้ว ความตกอกตกใจซึ่งนายกฯทักษิณวิตกว่าคนจะตกใจมาก หากเปิดเผยความจริง ความวิตกที่กลัวว่าการส่งออกจะกระทบก็กระทบกันไปแล้ว มากมายจนบัดนี้ สำคัญก็คือว่าแทนที่ไก่จะตายเพียงไม่กี่ล้าน ต้องฆ่าต้องทำร้ายขนาดหนัก แต่เหนือสิ่งสำคัญอื่นใดคือมีคนตายด้วย
ผมคิดว่าความประมาทของรัฐบาลที่มีการปกปิดความจริงเอาไว้ น่าจะฟังได้จากคำอธิบาย ของคุณพ่อที่ลูกชายอายุ 7 ขวบเสียชีวิต ฟังแล้วสะเทือนใจ จากคำสัมภาษณ์ของคุณพ่อวันนั้นให้สัมภาษณ์ชัดครับว่าหากรัฐบาลไม่ปกปิดความจริง หากรัฐบาลบอกให้รับรู้ความจริงตั้งแต่แรกว่ามีไข้หวัดนกเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทยเราจะได้ระมัดระวังไม่ให้ลูกเล่นกับไก่ และมีไข้แทนที่จะได้ไปหาหมอ
พี่น้องทั้งหลายครับผมคิดว่าการปกปิดความจริงในขณะนั้นนอกเหนือที่จะทำให้ตั้งอยู่ในความประมาท และยังเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้การควบคุมการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกระทำได้สำเร็จ จนถึงขณะนี้ วันนี้ไข้หวัดนกได้มีการระบาดกันอีกแล้ว ซึ่งมีจุดที่น่าเป็นห่วง 141 จุด แล้ววันนี้ก็มีคนตายเพิ่มอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร นี้เป็นความผิดพลาดของรัฐบาล
เรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งตอนนั้นก็ทำท่าจะรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับเราก็ได้บอกรัฐบาล ว่ารัฐบาลผิดพลาดที่ไปรื้อโครงการบริหารราชการภาคใต้ โดยไม่มีโครงสร้างใหม่เข้ามารองรับ และทำให้เกิดช่องว่างมากขึ้น ต่างก็รู้ว่าการแก้ปัญหาความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องทำคือ 1.ลดช่องว่างความเข้าใจระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันนี้สำคัญมาก และ 2. ความเป็นเอกภาพ
ซึ่งถ้าเมื่อไรก็ตามช่องว่างระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเพียงพอ และเมื่อใดก็ตามที่ความไม่เป็นเอกภาพปรากฎขึ้น กระบวนการจะเข้มแข็งขึ้นทันที ท่านายกฯ ทักษิณ ตัดสินใจรื้อโครงสร้างดังกล่าวทิ้งอย่างสิ้นเชิง บอกคำเดียวว่าปัญหาชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนปัญหาของทุกจังหวัด เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากที่อื่น คงประสงค์จะนำวัฒนธรรมซีอีโอเข้ามาใช้ยกเลิกหมด ปัญหาก็เริ่มมีทีท่าเพิ่มขึ้น ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา การมองทีท่าปัญหาชายแดนภาคใต้ ที่เราพูดกันที่จังหวัดระยองในช่วงนั้นผมบอกให้ที่ประชุมให้เข้าใจง่ายๆว่ามันคือกองไฟกองหนึ่งที่มอดลงทุกทีแต่ไม่ดับ เพราะฉะนั้นภารกิจของรัฐบาลทุกคณะที่เข้ามาบริหารบ้านเมืองถ้ามุ่งประสงค์จะแก้ปัญหานี้ต้องค่อยๆลดการเผาไหม้ตรงนี้ลงเรื่อยๆเพื่อให้ดับลงไปเองที่สำคัญคืออย่าเติมเชื้อเพลิงลงไปเป็นอันขาด รัฐบาลชุดนี้ไม่เชื่อ
มาตรการตาต่อตาฟันต่อฟันมาตรการอุ้ม ซึ่งเมื่อถึงเวลานี้ ท่านนายกฯ ทักษิณปฏิเสธไม่ได้แล้วเพราะท่านพูดในที่ประชุมครม.เองว่าต่อไปนี้จะไม่มีการอุ้มต่อไปอีกแล้ว และสำคัญก็คือว่าบัดนี้ทนายสมชาย ถูกอุ้มไปไว้ที่ไหนยังไม่มีใครรู้ ยังไม่ได้กลับคืน
นโยบายต่างประเทศมีหลายเรื่องครับที่ส่งผลกระทบต่อคนในภูมิภาคนั้น บัดนี้ความรุนแรงในจังหวัดภาคใต้ แรงขึ้นมาเรื่อยๆ มีการฆ่า การรอบทำร้ายเป็นรายวัน ก็ยังจะเกิดขึ้นอย่างไม่มีสิ้นสุด ครั้งสุดท้ายก่อนที่ผู้พิพากษาท่านหนึ่งถูกลอบฆ่าเสียชีวิต แต่ท่านนายกฯ ทักษิณก็ยังพูดชัดเจนว่าเราเดินทางถูกทางแล้วทั้งที่ก่อนหน้านั้นผมได้บอกแล้วว่าทางที่เดินอยู่เวลานี้คือหนทางแห่งความตายและหนทางแห่งหายนะเท่านั้น
ท่านยืนยันชัดเจนว่าคำก็ถูกทาง สองคำก็ถูกทาง เพียงแต่ว่ายอมรับความจริงว่าวันนี้ยังมีการรอบทำร้ายกันอยู่ เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังใครไม่แน่ใจ ขอกำลังคุ้มครองได้ นั่นเป็นเรื่องที่ได้มีการพูดจากันก่อนหน้าที่ท่านผู้พิพากษาจะถูกลอบฆ่าเสียชีวิต และวันนี้ลุกลามให้โตขึ้นมาแล้ว ข้าราชการเกือบทั้งหมดเกิดความหวั่นไหวกันไปทั่วก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาเพราะคนเหล่านั้นไม่มีใครอารักขาในรัศมี 5 กม.เหมือนอารักขาท่านนายกฯ ทักษิณได้
3 วันนี้มีความรู้สึกถึงขนาดว่าต้องมีกองกำลังพิเศษเพื่อคุ้มกันศาลขึ้นมาแล้ว จุดจบของวันนี้ยังนึกกันไม่ได้ ยังหากันไม่ออก ความไม่เป็นเอกภาพนั้นชัดเจนมากตั้งแต่ระดับบนระดับกำหนดยุทธศาสตร์ จนถึงระดับล่างความรุนแรงเหล่านี้ ก็เป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของรัฐบาลทั้งสิ้น ถ้าฟังฝ่ายค้าน ฟังนักวิชาการซักนิด ฟังผู้ปรารถนาดีทั้งหลาย ผมคิดว่าไม่รุนแรงอย่างนี้
เรื่องเอฟทีเอระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนเวลานั้นผมคิดว่าเราก็พูดชัดที่จังหวัดระยอง ว่าเรามั่นใจเป็นอันมากว่า ภายหลังข้อตกลงนี้มีผลบังคับใช้แล้ว เกษตรกรทางภาคเหนือซึ่งเป็นจังหวัดของนายกฯ ทักษิณเองนั้นแหละจะเดือดร้อนราคาพืชผลจะตกต่ำและขายยาก เราผลไม้จากจีน พืชผักจากจีน จะลงมาตีตลาดที่นั้น นี่คือสิ่งที่เราพยากรณ์ไว้และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำไมเรามั่นใจกล้าพยากรณ์ พี่น้องครับ พรรคประชาธิปัตย์ เคยเป็นมาแล้วทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน นั่งทำงานอย่างสังเกตมาโดยตลอดด้วยประสบการณ์บอกเราอย่างชัดเจนว่าทุกครั้ง ที่หอมกระเทียมของภาคเหนือออกมาสู่ตลาด หลายหนหลายครั้งราคาตกต่ำเป็นพิเศษ เกษตรกรชุมนุมเดินขบวน เรียกร้องรัฐบาล ข้อกล่าวหาที่กล่าวหากันมาตลอดข้อหนึ่งก็คือว่ารัฐบาลละเลยปล่อยให้ราคาหอมและกระเทียม หนีภาษีจากประเทศจีนเข้ามาประเทศไทยอย่างง่ายๆ ตีตลาด สินค้าภายในขายไม่ออกนั้นเป็นเพียงการหนีภาษีเข้ามาเท่านั้น เพราะถึงเวลานี้ไม่มีการตั้งกำแพงภาษี ไม่ต้องลักลอบเข้ามาอีกแล้ว ซึ่งก็น่าจะนึกถึงภาพได้ ถ้ารัฐบาลไม่ตระหนักถึงผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจ ที่ตนเองกับพรรคพวกจะได้รับมากเกินไปจากจากการทำข้อตกลงนี้
วันนี้เห็นชัดเจนมากครับ เกษตรกรภาคเหนือกำลังเดือดร้อน:
เมื่อสิ้นปี 2546 ดีจะมีการประเมินรายได้ของเกษตรกรภาคเหนือทั้งหมดลดน้อยถอยลงประมาณ 6 เปอร์เซ็นเศษ ตรงนี้จึงไม่สงสัยเหมือนกันว่าเสียงในจังหวัดภาคเหนือหลายจังหวัดเสียงที่เคยค่อนข้างจะแข็งแรงเป็นอันมากของพรรคไทยรักไทยนั้นเริ่มตกต่ำลงมาเป็นลำดับแล้วคนเริ่มเดือดร้อน เพียงการทุ่มงบประมาณเพื่อพยุงราคาลำไยที่รัฐบาลกำลังพยายามทำอยู่ขณะนี้ ก็ทำแล้วทำอีก ทำกันอย่างไม่จบสิ้น แต่ว่าเรื่องอย่างนี้รัฐบาลจะไม่พูดกันหรอกครับ พืชไหนราคาต่ำเงียบไว้ พืชตัวไหนราคาดีคุยกันให้ไว นี่คือรัฐบาลไทยรักไทย นี่คือรัฐบาลทักษิณ
เรื่องเศรษฐกิจชาวบ้านผมจำได้แม่นยำได้เหมือนกันว่าวันนั้นเราพูดกันอยู่ 2-3 ประเด็น เราบอกว่าทิศทาง หรือแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ 2 หลักการน่ากังวลเป็นพิเศษ หลักการหนึ่งคือต้องมีเงินมาหมุนหลักการ 2 คือต้องทำให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยมากที่สุดเพื่อให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราพูดชัดว่าการพักหนี้เกษตรก็ตามการผลักดันกองทุนลงไปสู่รากหญ้าหรือหมู่บ้าน หรือธนาคารประชาชน ในความรู้สึกลึกๆของรัฐบาลแล้ว แท้จริงแล้วก็คือการสนับสนุนให้ไทยเป็นทางผ่านของเงิน ให้คนเอาเงินมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งต้องยอมรับว่าได้ผลครับ เศรษฐกิจโตขึ้น จีพีดีโตขึ้น ซึ่งมีผลให้ท่านายกทักษิณและคณะสามารถคุยกันได้ว่าจีดีพีเพิ่มขึ้น ๆ แต่ว่าภายใต้จีดีพีที่เพิ่มขึ้นนั้น คนเริ่มเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับๆๆๆ ฝ่ายค้านเตือนนักวิชาการเตือนแม้กระทั้งหน่วยราชการเอง แม้กระทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย หรือสำนักงานพัฒนาการด้านเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเตือนนายกทักษิณก็ไม่เชื่อ คนไม่เป็นหนี้จะรวยได้อย่างไร เราก็ย้อนกลับไปว่ามีคนไทยอีกซักกี่คนที่เป็นหนี้แล้วโชคดี ได้รับสัมปทานผูกขาดอย่างท่านนายกทักษิณแล้วก็รายขึ้นมาได้
วันนี้เราพูดถึงหนี้ครัวเรือน ระหว่างปี 2543 กับ 2545 ว่าเพิ่มขึ้นมาแล้วนะจาก 68,000 บาท เป็น82,000 บาทต่อครัวเรือน พูดไปหลายครั้งรัฐบาลก็ต่อว่าเป็นการพูดแผ่นเสียงตกล่องๆ ท่านทั้งหลายครับวันนี้มันมากกว่านี้เยอะแล้วนะครับ ตัวเลขสดๆร้อนที่ได้รับการแถลงมาจากทางการเองนะครับ เมื่อตอนครึ่งปี 2547 ที่บอกว่าจาก 68,000 บาทต่อครัวเรือน ขึ้นเป็น82,000บาทต่อครัวเรือน บัดนี้ขึ้นมาเป็น103,904บาทต่อครัวเรือนไปแล้ว รัฐบาลเถียงทุกครั้งว่าฝ่ายค้านพูดแต่เรื่องหนี้เพิ่ม พูดแต่เรื่องรายจ่ายเพิ่ม ไม่พูดถึงเรื่องรายได้ วันนี้เพื่อความเป็นธรรมกับรัฐบาล ผมคงจะพุดเช่นเดียวกับว่ารายได้ก็เพิ่ม คือเฉลี่ย 4.4 % ในขณะที่หนี้ครัวเรือนเพิ่ม 11.7% และรายจ่ายโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5.4 % นี่คือความเป็นจริงที่มีอยู่ในขณะนี้ ผมจำได้ว่าวันนั้น ที่เวทีของจังหวัดระยอง มีสมาชิกพรรคของเราคนหนึ่งเข้าใจว่าคงติดตามเรื่องนี้มาเป็นพิเศษ ผมร้องถามลงไปข้างล่างว่าหลังจากที่รัฐบาลอัดฉีดเงินลงไปสู่รากหญ้าเป็นพิเศาแล้ว อะไรขายดีที่สุด สมาชิกของเราวันนั้นลุกขึ้นตอบอย่างฉะฉานว่า โทรศัพท์มือถือ กับจักรยานยนต์ และรถยนต์มือสองคือปิคอัพ หลังจากนั้นไม่นานหนักผมเข้าใจว่าจากตัวเลขรายงานของทางราชการเองก็ยอมรับความจริงว่าเป็นเช่นั้นอีก และวันนี้ชัดขึ้นไปอีกว่าในบรรดารายจ่ายที่เพิ่มมากที่สุดในเวลานี้ คือรายจ่ายที่เรียกว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะ และสื่อสารโทรคมนาคม ก็เจ้าเก่าคือโทรศัพท์มือถือ จักรยานยนต์ รถยนต์มือสอง วันนี้น่าเป็นห่วงกว่านั้นอีกนะครับสำนักงานสภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งอาจจะด้วยความปรารถนาดีไม่อยากให้ประชาชนหลงทางฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อกันมากไป คำออกมาแถลงค่อนข้างจะชัดเจนเหมือนกันครับ บอกว่า 5 ปี นับแต่ปี 2548 เป็นต้นไป ประเทศชาติของเราน่าจะมีโอกาสขาดบัญชีเดินสะพัด และขาดดุลการค้าด้วย ท่านบอกตัวเลขมาชัดเจน และท่านยังยืนยันว่า แม้ว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพียังเติบโตอยู่ก็ตาม แต่ว่าการขาดดุลอยู่เกิดขึ้นแน่ เช้าวันนี้ไม่ได้มีโอกาสรับฟังท่านนายกทักษิณคุยกับประชาชนทางวิทยุ เลยไม่ทราบว่าท่านนายกฯทักษิณอธิบายความข้อนี้ว่าอย่างไรและผมก็ไม่ทราบเหมือนกันจนขณะนี้ว่าอาจจะเป็นเพราะสภาพัฒน์ท่านจะแถลงเช่นนี้ สภาพัฒน์ศึกษาแล้วพบแนวทางพบตัวเลข ว่าจะต้องเป็นเช่นนี้การแต่งตั้งท่านเลขาธิการสภาพัฒน์ครั้งหลังสุด จึงไม่ได้นำเอาคนในสภาพัฒน์ขึ้นมาทำหน้าที่เป็นเลขาธิการซึ่งดูจะก่อให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจกันเป็นอันมากก็อยากจะบอกข้าราชการในสภาพัฒน์ว่าอย่าน้อยใจเลยครับ เรื่องอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสภาพัฒน์เท่านั้นเกิดขึ้นกับทุกหน่วยราชการแทบจะทุกกระทรวง ทบวง กรม เพียงแต่ว่าข้าราชกาของเราจะมีน้ำอดน้ำทนที่ตกอยู่ใต้ภาวการณ์ที่เป็นอยู่นี้ได้ขนาดไหนอย่างไร เท่านั้นเอง
วันนี้รัฐบาลตัดสินใจถอยอีกเรื่องหนึ่งแล้วนะครับ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับราชการ มาตราการโละข้าราชการ 5% ทิ้ง โดยการจัดให้มีการประเมินประสิทธิภาพกันอย่างเข้มแข็ง คึกคัก กันเป็นพิเศษ ก่อนหน้านั้นยืนยันหนักแน่นไม่มีลดวันนี้ยอมครับ สื่อมวลชนตั้งคำถามๆ ผมก่อนหน้าเข้ามาในห้องประชุมเมื่อเช้านี้ ถามว่าฝ่ายค้านคิดอย่างไร ผมบอกว่า ฝ่ายค้านสนับสนุนให้เลิกมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพราะว่า 1. โดยระเบียบราชการ โดยตัวบทกฎหมายที่มีอยู่ในขณะนี้ข้าราชการที่เสื่อมสมรรถภาพ ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่อุทิศเวลาให้กับราชการอย่างเต็มที่ โดยกฎระเบียบข้อบังคับที่มีอยู่ในเวลานี้ ปลดเอาออกได้กันอยู่แล้ว แต่ในเวลาที่รัฐบาลกำหนดเรื่องเหล่านี้ เป็นนโยบายตรงนี้อันตรายครับ อันตรายประการแรกต้องยอมรับความจริงว่า การประเมินผลการทำงานของระบบราชการเวลานี้ยังขาดมาตรฐานกันอยู่มาก ถ้าระบบราชการ ระบบการประเมินยังไม่มีมาตรฐานเท่าที่ควรครับ ระบบยังไม่ดี ปล่อยให้เป็นดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชาเรา ถ้าไปเจอผู้บังคับบัญชาที่มีเหตุมีผล มีคุณธรรมในหัวใจก็คงไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่ถ้าไปเจอผู้บังคับบัญชาที่ปราศจากคุณธรรม เล่นพรรค เล่นพวก เหมือนอย่างที่คนในรัฐบาลเล่น ก็ลองนึกดูเถอะครับข้าราชการไทยวันนี้ต้องหวานอมขมกลืนกับภาวะการณ์เช่นนี้อีกต่อไปนานเท่าไร
สื่อถามต่อว่า กลัวเสียงตกใช่หรือไม่ ผมเข้าใจว่าน่าจะจริงนะครับ เพราะช่วงหลังนี้คอยดูเถอะครับ อะไรที่เดินหน้าแล้วกระทบกระทั่ง ส่งผลต่อคะแนนเสียง ถอยหมด เพราะฉะนั้นป้ายที่ขึ้นอย่างใหญ่โตมโหฬารอยู่ขณะนี้ว่าไม่มุ่งเอาชนะทางการเมืองก็คงเหมือนกับเรื่องหลายๆ เรื่องที่ท่านนายกทักษิณ พูดมาแล้ว คือ ไม่อยากบอกว่าโกหก แต่ก็ไม่จริงกันทั้งนั้น วันนี้ถอยครับ
แต่ว่ามันก็ไม่จริงกันทั้งนั้น วันนี้ถอยครับ แล้วอาจจะต้องถอยอีกหลายเรื่อง พี่น้องครับ นี่คือเรื่องที่น่ากังวล ถึงอย่างไรก็ตาม ผมมีความมั่นใจว่า รัฐบาลนี้ก็คงจะต้องทำอะไรอีกหลายอย่างนะครับ แม้ว่าภาวะการณ์ที่เป็นอยู่เวลานี้ ทำท่าจะเสื่อมถอยลงมากแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แต่เชื่อผมเถอะครับ รัฐบาลนี้เค้ามีจุดแข็ง มีคนบอกว่าจุดแข็งที่สุดของรัฐบาลนี้ที่แข็งจริงๆครับ คือเรื่องการตลาด แต่ผมว่าไม่ใช่หรอกครับ การโฆษณาชวนเชื่อ เชื่อผมเถอะครับ หลังจากนี้เป็นต้นไปรัฐบาลจะโฆษณาชวนเชื่อมากขึ้น ยุทธการ 4 สร้าง ซึ่งผมเคยได้พูดกับท่านสมาชิกของเราในบางที่บางแห่งมาแล้ว ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า 4 สร้างที่ว่านี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ 4 ปีสร้าง และไม่ได้เกี่ยวข้องกับ 4 ปีเสีย 4 ปี ซ่อมที่เราจะพูดกันในวันนี้ ยุทธการ 4 สร้างที่รัฐบาลนี้มีความชัดถนัดจัดเจนเป็นที่สุด ก็คือ1.การสร้างภาพ 2. การสร้างเรื่อง 3. การสร้างความหวัง และ 4. การสร้างข่าวกลบข่าว สังเกตดูสิครับ ตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีเศษๆที่ผ่านมา ที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารบ้านเมืองนั้น ใช้สิ่งนี้มาตลอด เมื่อยึดกรมสื่อโทรทัศน์และวิทยุของรัฐได้ก็ใช้สื่อโทรทัศน์และวิทยุสร้างภาพแห่งความสำเร็จของรัฐบาลทุกวันครับ
นโยบายที่เรารู้สึกว่าล้มเหลวครับ นโยบายที่คนในชนบทซึ่งประสบกับตนเองบอกว่าล้มเหลว แต่ว่าภาพที่ปรากฏทางสื่อโทรทัศน์และวิทยุของรัฐจะบอกว่าสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั่งตัวเลขเมื่อไม่กี่วันนี้ นี่คือการสร้างภาพ เรื่องสร้างเรื่องให้คนไปคิด ถนัดครับ อย่างน้อยก็จะได้มีเวลามาดูความล้มเหลวของรัฐบาล เรื่องสร้างความหวังให้กับพี่น้องประชาชนนั้นชัดเจนมาก ไปจดทะเบียนคนจน คนตื่นเต้นเป็นพิเศษ คิดว่ารัฐบาลจะช่วย แล้วท้ายสุดพบความจริงว่าเปล่าเลยครับ 60%ถอยกลับ เพราะว่าความหวังที่รัฐบาลสร้างลมๆแล้งๆทั้งนั้น แล้วสร้างข่าวกลบข่าวนั้น คงจำกันได้นะครับ ว่าในเวลาที่ฝ่ายค้านของเราเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเที่ยวนั้น ซึ่งสามารถสะท้อนภาพของการปกป้องผลประโยชน์ของพวกพ้องมากกว่าประโยชน์ชาติ คือเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายชัดเจนมาก
เกิดอะไรขึ้นมาครับ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลจากอังกฤษมาพบท่านนายกฯที่ทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้นข่าวนี้ก็กลบข่าวการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านซะจนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว ท้ายสุดพอฝ่ายค้านเลิกกันไปแล้ว ข่าวจางไปแล้ว ลิเวอร์พูลก็จางไปด้วย นี่คือการสร้างข่าวกลบข่าว ครับพี่น้องทั้งหลายครับ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปคอยจับตาดูให้ดีเถอะครับ พฤติกรรมของการทุ่มเท การลด แลก แจก แถม การตลาดที่เลยไปจนกระทั่งกลายเป็นการโฆษณาชวนเชื่อนั้นจะมีมากขึ้นเป็นลำดับ เวลานี้ก็ทำกันอยู่แล้ว ทัวร์นกขมิ้นที่ตะลอนๆไปเที่ยวแจกงบประมาณตามหัวมุมต่างจังหวัดว่าตามจริงก็เป็นความพยายามในการกลบข่าว การพูดจาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในเวลานี้ชัดเจนมาก เห็นชื่อทัวร์เป็นชื่อนกแล้วชักหวั่นๆอยู่เหมือนกันนะครับ เพราะว่านกมันติดโรคไข้หวัดนกง่ายนะครับ แล้วจะว่าไม่เตือน SML ก็พูดถึงกันมาก นั่นคือความตั้งอกตั้งใจที่จะนำเงินงบประมาณ ซึ่งเป็นเงินภาษีของพี่น้องประชาชนเอง ไปแจกกับหมู่บ้านในลักษณะเพื่อสร้างความสัมพันธส่วนตัวของรัฐบาลกับคนในชนบทให้ใกล้ชิดมากขึ้น ทั้งๆที่ช่องทางขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีกันอยู่แล้ว
เป็นการทำลายหลักการของวิธีการงบประมาณโดยแท้ครับ และเป็นการทำลายความเข้มแข็งขององค์กรปกครองท้องถิ่นไปในเวลาเดียวกันด้วย ใครจะว่ากล่าวหา ผมกล่าวหาล่ะครับ เพราะว่าหลักการมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ คนเป็นจำนวนมากที่มีความรู้สึกในทางสนับสนุนส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น หรือการกระจายอำนาจ หรือแม้กระทั่งพวกเราเองครับ ซึ่งสามารถที่จะพูดได้ทุกครั้งว่า ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลทุกครั้งท้องถิ่นแข็งแรงขึ้นทุกครั้ง ท้องถิ่นได้รับการจัดสรรภาษีอากรมากขึ้นในรูปแบบของ ค่าภาคหลวง ค่าจดทะเบียน การโอนอสังหาริมทรัพย์ นั่นก็ประชาธิปัตย์ แต่ว่าสิ่งที่ประชาธิปัตย์มีความภาคภูมิใจมากไปกว่านั้นก็คือ การจัดทำกฎหมายสำคัญฉบับหนึ่งที่เรียกว่า กฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนในการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ด้วยความรู้สึกอย่างนี้ล่ะครับ คือมีความรู้สึกว่าท้องถิ่นไปได้ถ้าได้รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยเห็นความสำคัญของท้องถิ่นมาบริหารจัดการ แต่วันหนึ่งท้องถิ่นอาจจะไปไม่ได้ หรือรัฐบาลที่มีความคิดเรื่องประชาธิปไตยรวมศูนย์เข้ามานั่งบริหารประเทศ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 ก.ย. 2547--จบ--
-ดท-
ท่านประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ท่านกรรมการจัดการสัมมนา พี่น้องชาวประชาธิปัตย์ ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ผมจำได้ว่าเราพบกันครั้งหลังสุด ในการสัมมนาทำนองเดียวกันนี้ ที่จังหวัดระยอง ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2546 ที่ผ่านมาเพียงแต่ว่าวันนั้น ผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคประชาธิปัตย์ และคณะกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น ไม่ได้มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง เข้ามาร่วมสัมมนาด้วย บรรยากาศในวันนั้น คงจะคึกคักสู้วันนี้ไม่ได้
ที่ผมได้ท้าวความไปถึงการพบกันครั้งหลังสุด ในการสัมมนาที่จังหวัดระยองก็เพราะว่าในวันนั้นถ้าพวกเราจำกันได้ครับ เราจะมีการพูดจากันในเรื่องสำคัญๆหลายเรื่องซึ่งถึงแม้ว่าช่วงเวลาจะผ่านมาจนกระทั่งบัดนี้ เป็นเวลา เกือบ 1 ปี คือประมาณ 10 เดือน แต่ว่าหลายเรื่องยังเป็นเรื่องที่ทันสมัย หลายเรื่องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เวลานั้น เราก็ยังดำรงคงอยู่จนกระทั่งเวลานี้ เราได้เตือนรัฐบาล เราได้วิเคราะห์สภาพการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น และหลายเรื่องเราพูดด้วยความภาคภูมิใจได้ว่า เราวิเคราะห์ถูกเพราะความจริงได้ปรากฎขึ้นมาแล้วในขณะที่เป็นอยู่ในเวลานี้
เราพูดถึงปัญหาไข้หวัดนก เราพูดถึงปัญหาสถานการณ์ของความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ เราพูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการไปตกลงทำสัญญาเปิดเขตการค้าเสรี ระหว่างประเทศไทย และประเทศจีน เราพูดถึงปัญหาเศรษฐกิจชาวบ้าน ซึ่งเราได้พูดจาอย่างชัดเจนทุกเรื่อง ว่าจะมีปัญหาด้วยกันทั้งสิ้น
ปัญหาไข้หวัดนก ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงการก่อหวอดกันขึ้นมา มีไก่ตายยกเล้า ที่จังหวัดนครสวรรค์ และค่อยๆแพร่ระบาดไปยังจังหวัดข้างเคียง เรารู้ครับ เพราะว่าเรามีสมาชิกเป็นจำนวนมากอยู่ที่นั่น เรามีสาขาที่มีความเข้มแข็งอยู่ที่นั่น สาขาแจ้งเขามาด้วยว่าน่าสงสัยว่าน่าจะเป็นไข้หวัดนกอย่างแน่นอน เราก็เตือนรัฐบาลแต่รัฐบาลไม่เชื่อ เราบอกกับรัฐบาลว่าการแก้ไข ปัญหาไข้หวัดนกที่ดีที่สุด ก็คือการจำนนกับความเป็นจริง เปิดเผยความจริงให้ปรากฎว่ามีการระบาดกันแล้ว
เราบอกกับรัฐบาลว่าหากรัฐบาลทำได้เช่นนั้น รัฐบาลก็สามารถจะมีคำเตือนไปยังบุคคล โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับบรรดาสัตว์ปีกทั้งหลาย ให้มีความระมัดระวังตัวมากขึ้น เราบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ทั่วประเทศใช้ แล้ววิธีนี้ก็เป็นวิธีที่จะส่งคำเตือน ไปยังประชาชนที่เกี่ยวข้องได้มีความระมัดระวัง ไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท แต่ว่ารัฐบาลก็ไม่เชื่อ ถามท่านนายกฯ ท่านนายกฯทักษิณ บอกว่าไม่มีโรคไข้หวัดนกระบาด ถามท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทุกคนก็ปฏิเสธเหมือนกับท่านนายกฯทักษิณ แม้กระทั่งรัฐมนตรีช่วยที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ซึ่งเมื่อมาถึงบัดนี้ ดูจะบอกไม่ได้แล้วว่าหน้าตาเหมือนนก หรือเหมือนไก่กันแน่
รัฐบาลไม่เชื่อ บอกว่าไข้หวัดนกไม่ได้เข้ามาระบาดในประเทศไทย ที่เกิดขึ้นในไก่เป็นเพียงโรคอหิวาในไก่ และความเปลี่ยนแปลงของอากาศเท่านั้นที่ทำให้ไก่ตาย มายอมจำนนจริงเมื่อมาล่วงเข้าปี 2547 เดือนมกราคม 2547 ที่ต้องยอมจำนนเพราะว่ามีคนตายเพราะว่าไข้หวัดนกอย่างน้อยในช่วงนั้นก็ 2 คน
เมื่อเกิดปัญหาขึ้นทางพิสูจน์บอกว่าเป็นไข้หวัดนก ตรงนั้นท่านนายกฯทักษิณถึงยอมรับอย่างอ้อมแอ้มๆ ในการพูดจากับพี่น้องประชาชนเมื่อวันเสาร์วันหนึ่ง ของปลายเดือนมกราคา 2547 บอกว่าความจริงรัฐบาลก็ทราบกันอยู่แล้วว่ามีไข้หวัดนกระบาด แต่ว่ายังไม่บอดเพราะกลัวว่าคนจะแตกตื่นการส่งออกจะมีปัญหา จึงน่าตกใจเป็นที่สุด เพราะหลอกคนไทยนั้น บางทีก็ให้อภัยกันได้บ้าง แต่เมื่อกลางเดือนมกราคม 2547 มีคณะกรรมาธิการสาธารณสุข และคุ้มครองผู้บริโภคของสหภาพยุโรป เดินทางมาขอรับทราบข้อเท็จจริงจากรัฐบาลไทย เข้าพบนายกฯที่ทำเนียบ ซึ่งมีรัฐมนตรี สาธารณสุข และเกษตรฯ เข้ารับรองด้วยทั้งสามท่านยังยืนยันว่าไม่มีไข้หวัดนกแต่คล้อยหลังวันเดียวเท่านั้นเด็กตาย จำเลยต้องรับสารภาพ เพราะพยานหลักฐานชัดเจน ถ้อยคำที่พูดจากับคนไทยผ่านวิทยุกระจายเสียง ของกรมประชาสัมพันธ์ ในรายการนายกฯ คุยกับประชาชน ที่ยอมรับว่ารู้ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ยังไม่กล้าบอกกความจริง กลัวว่าผู้คนจะตื่นเต้น
พี่น้องครับโลกทุกวันนี้มันแคบก็ได้ยินไปยังนายเดวิด ซึ่งพึ่งเดินทางไปจากประเทศเพียงวันเดียวเท่านั้น กระทบกระเทือนมาก หัวหน้าสำนักงานของนายเดวิดเชิญทูตของเราที่สหภาพยุโรปเข้าพบเพื่อแสดงความเสียใจบอกว่าเสียใจที่รัฐบาลไทยไม่ให้เกียรติกับกรรมาธิการของเขา เสียใจที่รัฐบาลไม่ยอมบอกความจริงทั้งๆที่ความจริงปรากฎชัดอยู่แล้วจากการพูดจาของนายกฯเองว่าทราบอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
ท้ายสุดผมเองได้เป็นผู้นำเสนอ ต่อสหภาพยุโรปเองครับ ว่าควรจะลดการนำเข้าไก่สดแช่แข็งจากประเทศไทยได้แล้ว ความตกอกตกใจซึ่งนายกฯทักษิณวิตกว่าคนจะตกใจมาก หากเปิดเผยความจริง ความวิตกที่กลัวว่าการส่งออกจะกระทบก็กระทบกันไปแล้ว มากมายจนบัดนี้ สำคัญก็คือว่าแทนที่ไก่จะตายเพียงไม่กี่ล้าน ต้องฆ่าต้องทำร้ายขนาดหนัก แต่เหนือสิ่งสำคัญอื่นใดคือมีคนตายด้วย
ผมคิดว่าความประมาทของรัฐบาลที่มีการปกปิดความจริงเอาไว้ น่าจะฟังได้จากคำอธิบาย ของคุณพ่อที่ลูกชายอายุ 7 ขวบเสียชีวิต ฟังแล้วสะเทือนใจ จากคำสัมภาษณ์ของคุณพ่อวันนั้นให้สัมภาษณ์ชัดครับว่าหากรัฐบาลไม่ปกปิดความจริง หากรัฐบาลบอกให้รับรู้ความจริงตั้งแต่แรกว่ามีไข้หวัดนกเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทยเราจะได้ระมัดระวังไม่ให้ลูกเล่นกับไก่ และมีไข้แทนที่จะได้ไปหาหมอ
พี่น้องทั้งหลายครับผมคิดว่าการปกปิดความจริงในขณะนั้นนอกเหนือที่จะทำให้ตั้งอยู่ในความประมาท และยังเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้การควบคุมการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกระทำได้สำเร็จ จนถึงขณะนี้ วันนี้ไข้หวัดนกได้มีการระบาดกันอีกแล้ว ซึ่งมีจุดที่น่าเป็นห่วง 141 จุด แล้ววันนี้ก็มีคนตายเพิ่มอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร นี้เป็นความผิดพลาดของรัฐบาล
เรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งตอนนั้นก็ทำท่าจะรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับเราก็ได้บอกรัฐบาล ว่ารัฐบาลผิดพลาดที่ไปรื้อโครงการบริหารราชการภาคใต้ โดยไม่มีโครงสร้างใหม่เข้ามารองรับ และทำให้เกิดช่องว่างมากขึ้น ต่างก็รู้ว่าการแก้ปัญหาความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องทำคือ 1.ลดช่องว่างความเข้าใจระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันนี้สำคัญมาก และ 2. ความเป็นเอกภาพ
ซึ่งถ้าเมื่อไรก็ตามช่องว่างระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเพียงพอ และเมื่อใดก็ตามที่ความไม่เป็นเอกภาพปรากฎขึ้น กระบวนการจะเข้มแข็งขึ้นทันที ท่านายกฯ ทักษิณ ตัดสินใจรื้อโครงสร้างดังกล่าวทิ้งอย่างสิ้นเชิง บอกคำเดียวว่าปัญหาชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนปัญหาของทุกจังหวัด เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากที่อื่น คงประสงค์จะนำวัฒนธรรมซีอีโอเข้ามาใช้ยกเลิกหมด ปัญหาก็เริ่มมีทีท่าเพิ่มขึ้น ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา การมองทีท่าปัญหาชายแดนภาคใต้ ที่เราพูดกันที่จังหวัดระยองในช่วงนั้นผมบอกให้ที่ประชุมให้เข้าใจง่ายๆว่ามันคือกองไฟกองหนึ่งที่มอดลงทุกทีแต่ไม่ดับ เพราะฉะนั้นภารกิจของรัฐบาลทุกคณะที่เข้ามาบริหารบ้านเมืองถ้ามุ่งประสงค์จะแก้ปัญหานี้ต้องค่อยๆลดการเผาไหม้ตรงนี้ลงเรื่อยๆเพื่อให้ดับลงไปเองที่สำคัญคืออย่าเติมเชื้อเพลิงลงไปเป็นอันขาด รัฐบาลชุดนี้ไม่เชื่อ
มาตรการตาต่อตาฟันต่อฟันมาตรการอุ้ม ซึ่งเมื่อถึงเวลานี้ ท่านนายกฯ ทักษิณปฏิเสธไม่ได้แล้วเพราะท่านพูดในที่ประชุมครม.เองว่าต่อไปนี้จะไม่มีการอุ้มต่อไปอีกแล้ว และสำคัญก็คือว่าบัดนี้ทนายสมชาย ถูกอุ้มไปไว้ที่ไหนยังไม่มีใครรู้ ยังไม่ได้กลับคืน
นโยบายต่างประเทศมีหลายเรื่องครับที่ส่งผลกระทบต่อคนในภูมิภาคนั้น บัดนี้ความรุนแรงในจังหวัดภาคใต้ แรงขึ้นมาเรื่อยๆ มีการฆ่า การรอบทำร้ายเป็นรายวัน ก็ยังจะเกิดขึ้นอย่างไม่มีสิ้นสุด ครั้งสุดท้ายก่อนที่ผู้พิพากษาท่านหนึ่งถูกลอบฆ่าเสียชีวิต แต่ท่านนายกฯ ทักษิณก็ยังพูดชัดเจนว่าเราเดินทางถูกทางแล้วทั้งที่ก่อนหน้านั้นผมได้บอกแล้วว่าทางที่เดินอยู่เวลานี้คือหนทางแห่งความตายและหนทางแห่งหายนะเท่านั้น
ท่านยืนยันชัดเจนว่าคำก็ถูกทาง สองคำก็ถูกทาง เพียงแต่ว่ายอมรับความจริงว่าวันนี้ยังมีการรอบทำร้ายกันอยู่ เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังใครไม่แน่ใจ ขอกำลังคุ้มครองได้ นั่นเป็นเรื่องที่ได้มีการพูดจากันก่อนหน้าที่ท่านผู้พิพากษาจะถูกลอบฆ่าเสียชีวิต และวันนี้ลุกลามให้โตขึ้นมาแล้ว ข้าราชการเกือบทั้งหมดเกิดความหวั่นไหวกันไปทั่วก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาเพราะคนเหล่านั้นไม่มีใครอารักขาในรัศมี 5 กม.เหมือนอารักขาท่านนายกฯ ทักษิณได้
3 วันนี้มีความรู้สึกถึงขนาดว่าต้องมีกองกำลังพิเศษเพื่อคุ้มกันศาลขึ้นมาแล้ว จุดจบของวันนี้ยังนึกกันไม่ได้ ยังหากันไม่ออก ความไม่เป็นเอกภาพนั้นชัดเจนมากตั้งแต่ระดับบนระดับกำหนดยุทธศาสตร์ จนถึงระดับล่างความรุนแรงเหล่านี้ ก็เป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของรัฐบาลทั้งสิ้น ถ้าฟังฝ่ายค้าน ฟังนักวิชาการซักนิด ฟังผู้ปรารถนาดีทั้งหลาย ผมคิดว่าไม่รุนแรงอย่างนี้
เรื่องเอฟทีเอระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนเวลานั้นผมคิดว่าเราก็พูดชัดที่จังหวัดระยอง ว่าเรามั่นใจเป็นอันมากว่า ภายหลังข้อตกลงนี้มีผลบังคับใช้แล้ว เกษตรกรทางภาคเหนือซึ่งเป็นจังหวัดของนายกฯ ทักษิณเองนั้นแหละจะเดือดร้อนราคาพืชผลจะตกต่ำและขายยาก เราผลไม้จากจีน พืชผักจากจีน จะลงมาตีตลาดที่นั้น นี่คือสิ่งที่เราพยากรณ์ไว้และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำไมเรามั่นใจกล้าพยากรณ์ พี่น้องครับ พรรคประชาธิปัตย์ เคยเป็นมาแล้วทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน นั่งทำงานอย่างสังเกตมาโดยตลอดด้วยประสบการณ์บอกเราอย่างชัดเจนว่าทุกครั้ง ที่หอมกระเทียมของภาคเหนือออกมาสู่ตลาด หลายหนหลายครั้งราคาตกต่ำเป็นพิเศษ เกษตรกรชุมนุมเดินขบวน เรียกร้องรัฐบาล ข้อกล่าวหาที่กล่าวหากันมาตลอดข้อหนึ่งก็คือว่ารัฐบาลละเลยปล่อยให้ราคาหอมและกระเทียม หนีภาษีจากประเทศจีนเข้ามาประเทศไทยอย่างง่ายๆ ตีตลาด สินค้าภายในขายไม่ออกนั้นเป็นเพียงการหนีภาษีเข้ามาเท่านั้น เพราะถึงเวลานี้ไม่มีการตั้งกำแพงภาษี ไม่ต้องลักลอบเข้ามาอีกแล้ว ซึ่งก็น่าจะนึกถึงภาพได้ ถ้ารัฐบาลไม่ตระหนักถึงผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจ ที่ตนเองกับพรรคพวกจะได้รับมากเกินไปจากจากการทำข้อตกลงนี้
วันนี้เห็นชัดเจนมากครับ เกษตรกรภาคเหนือกำลังเดือดร้อน:
เมื่อสิ้นปี 2546 ดีจะมีการประเมินรายได้ของเกษตรกรภาคเหนือทั้งหมดลดน้อยถอยลงประมาณ 6 เปอร์เซ็นเศษ ตรงนี้จึงไม่สงสัยเหมือนกันว่าเสียงในจังหวัดภาคเหนือหลายจังหวัดเสียงที่เคยค่อนข้างจะแข็งแรงเป็นอันมากของพรรคไทยรักไทยนั้นเริ่มตกต่ำลงมาเป็นลำดับแล้วคนเริ่มเดือดร้อน เพียงการทุ่มงบประมาณเพื่อพยุงราคาลำไยที่รัฐบาลกำลังพยายามทำอยู่ขณะนี้ ก็ทำแล้วทำอีก ทำกันอย่างไม่จบสิ้น แต่ว่าเรื่องอย่างนี้รัฐบาลจะไม่พูดกันหรอกครับ พืชไหนราคาต่ำเงียบไว้ พืชตัวไหนราคาดีคุยกันให้ไว นี่คือรัฐบาลไทยรักไทย นี่คือรัฐบาลทักษิณ
เรื่องเศรษฐกิจชาวบ้านผมจำได้แม่นยำได้เหมือนกันว่าวันนั้นเราพูดกันอยู่ 2-3 ประเด็น เราบอกว่าทิศทาง หรือแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ 2 หลักการน่ากังวลเป็นพิเศษ หลักการหนึ่งคือต้องมีเงินมาหมุนหลักการ 2 คือต้องทำให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยมากที่สุดเพื่อให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราพูดชัดว่าการพักหนี้เกษตรก็ตามการผลักดันกองทุนลงไปสู่รากหญ้าหรือหมู่บ้าน หรือธนาคารประชาชน ในความรู้สึกลึกๆของรัฐบาลแล้ว แท้จริงแล้วก็คือการสนับสนุนให้ไทยเป็นทางผ่านของเงิน ให้คนเอาเงินมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งต้องยอมรับว่าได้ผลครับ เศรษฐกิจโตขึ้น จีพีดีโตขึ้น ซึ่งมีผลให้ท่านายกทักษิณและคณะสามารถคุยกันได้ว่าจีดีพีเพิ่มขึ้น ๆ แต่ว่าภายใต้จีดีพีที่เพิ่มขึ้นนั้น คนเริ่มเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับๆๆๆ ฝ่ายค้านเตือนนักวิชาการเตือนแม้กระทั้งหน่วยราชการเอง แม้กระทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย หรือสำนักงานพัฒนาการด้านเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเตือนนายกทักษิณก็ไม่เชื่อ คนไม่เป็นหนี้จะรวยได้อย่างไร เราก็ย้อนกลับไปว่ามีคนไทยอีกซักกี่คนที่เป็นหนี้แล้วโชคดี ได้รับสัมปทานผูกขาดอย่างท่านนายกทักษิณแล้วก็รายขึ้นมาได้
วันนี้เราพูดถึงหนี้ครัวเรือน ระหว่างปี 2543 กับ 2545 ว่าเพิ่มขึ้นมาแล้วนะจาก 68,000 บาท เป็น82,000 บาทต่อครัวเรือน พูดไปหลายครั้งรัฐบาลก็ต่อว่าเป็นการพูดแผ่นเสียงตกล่องๆ ท่านทั้งหลายครับวันนี้มันมากกว่านี้เยอะแล้วนะครับ ตัวเลขสดๆร้อนที่ได้รับการแถลงมาจากทางการเองนะครับ เมื่อตอนครึ่งปี 2547 ที่บอกว่าจาก 68,000 บาทต่อครัวเรือน ขึ้นเป็น82,000บาทต่อครัวเรือน บัดนี้ขึ้นมาเป็น103,904บาทต่อครัวเรือนไปแล้ว รัฐบาลเถียงทุกครั้งว่าฝ่ายค้านพูดแต่เรื่องหนี้เพิ่ม พูดแต่เรื่องรายจ่ายเพิ่ม ไม่พูดถึงเรื่องรายได้ วันนี้เพื่อความเป็นธรรมกับรัฐบาล ผมคงจะพุดเช่นเดียวกับว่ารายได้ก็เพิ่ม คือเฉลี่ย 4.4 % ในขณะที่หนี้ครัวเรือนเพิ่ม 11.7% และรายจ่ายโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5.4 % นี่คือความเป็นจริงที่มีอยู่ในขณะนี้ ผมจำได้ว่าวันนั้น ที่เวทีของจังหวัดระยอง มีสมาชิกพรรคของเราคนหนึ่งเข้าใจว่าคงติดตามเรื่องนี้มาเป็นพิเศษ ผมร้องถามลงไปข้างล่างว่าหลังจากที่รัฐบาลอัดฉีดเงินลงไปสู่รากหญ้าเป็นพิเศาแล้ว อะไรขายดีที่สุด สมาชิกของเราวันนั้นลุกขึ้นตอบอย่างฉะฉานว่า โทรศัพท์มือถือ กับจักรยานยนต์ และรถยนต์มือสองคือปิคอัพ หลังจากนั้นไม่นานหนักผมเข้าใจว่าจากตัวเลขรายงานของทางราชการเองก็ยอมรับความจริงว่าเป็นเช่นั้นอีก และวันนี้ชัดขึ้นไปอีกว่าในบรรดารายจ่ายที่เพิ่มมากที่สุดในเวลานี้ คือรายจ่ายที่เรียกว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะ และสื่อสารโทรคมนาคม ก็เจ้าเก่าคือโทรศัพท์มือถือ จักรยานยนต์ รถยนต์มือสอง วันนี้น่าเป็นห่วงกว่านั้นอีกนะครับสำนักงานสภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งอาจจะด้วยความปรารถนาดีไม่อยากให้ประชาชนหลงทางฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อกันมากไป คำออกมาแถลงค่อนข้างจะชัดเจนเหมือนกันครับ บอกว่า 5 ปี นับแต่ปี 2548 เป็นต้นไป ประเทศชาติของเราน่าจะมีโอกาสขาดบัญชีเดินสะพัด และขาดดุลการค้าด้วย ท่านบอกตัวเลขมาชัดเจน และท่านยังยืนยันว่า แม้ว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพียังเติบโตอยู่ก็ตาม แต่ว่าการขาดดุลอยู่เกิดขึ้นแน่ เช้าวันนี้ไม่ได้มีโอกาสรับฟังท่านนายกทักษิณคุยกับประชาชนทางวิทยุ เลยไม่ทราบว่าท่านนายกฯทักษิณอธิบายความข้อนี้ว่าอย่างไรและผมก็ไม่ทราบเหมือนกันจนขณะนี้ว่าอาจจะเป็นเพราะสภาพัฒน์ท่านจะแถลงเช่นนี้ สภาพัฒน์ศึกษาแล้วพบแนวทางพบตัวเลข ว่าจะต้องเป็นเช่นนี้การแต่งตั้งท่านเลขาธิการสภาพัฒน์ครั้งหลังสุด จึงไม่ได้นำเอาคนในสภาพัฒน์ขึ้นมาทำหน้าที่เป็นเลขาธิการซึ่งดูจะก่อให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจกันเป็นอันมากก็อยากจะบอกข้าราชการในสภาพัฒน์ว่าอย่าน้อยใจเลยครับ เรื่องอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสภาพัฒน์เท่านั้นเกิดขึ้นกับทุกหน่วยราชการแทบจะทุกกระทรวง ทบวง กรม เพียงแต่ว่าข้าราชกาของเราจะมีน้ำอดน้ำทนที่ตกอยู่ใต้ภาวการณ์ที่เป็นอยู่นี้ได้ขนาดไหนอย่างไร เท่านั้นเอง
วันนี้รัฐบาลตัดสินใจถอยอีกเรื่องหนึ่งแล้วนะครับ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับราชการ มาตราการโละข้าราชการ 5% ทิ้ง โดยการจัดให้มีการประเมินประสิทธิภาพกันอย่างเข้มแข็ง คึกคัก กันเป็นพิเศษ ก่อนหน้านั้นยืนยันหนักแน่นไม่มีลดวันนี้ยอมครับ สื่อมวลชนตั้งคำถามๆ ผมก่อนหน้าเข้ามาในห้องประชุมเมื่อเช้านี้ ถามว่าฝ่ายค้านคิดอย่างไร ผมบอกว่า ฝ่ายค้านสนับสนุนให้เลิกมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพราะว่า 1. โดยระเบียบราชการ โดยตัวบทกฎหมายที่มีอยู่ในขณะนี้ข้าราชการที่เสื่อมสมรรถภาพ ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่อุทิศเวลาให้กับราชการอย่างเต็มที่ โดยกฎระเบียบข้อบังคับที่มีอยู่ในเวลานี้ ปลดเอาออกได้กันอยู่แล้ว แต่ในเวลาที่รัฐบาลกำหนดเรื่องเหล่านี้ เป็นนโยบายตรงนี้อันตรายครับ อันตรายประการแรกต้องยอมรับความจริงว่า การประเมินผลการทำงานของระบบราชการเวลานี้ยังขาดมาตรฐานกันอยู่มาก ถ้าระบบราชการ ระบบการประเมินยังไม่มีมาตรฐานเท่าที่ควรครับ ระบบยังไม่ดี ปล่อยให้เป็นดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชาเรา ถ้าไปเจอผู้บังคับบัญชาที่มีเหตุมีผล มีคุณธรรมในหัวใจก็คงไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่ถ้าไปเจอผู้บังคับบัญชาที่ปราศจากคุณธรรม เล่นพรรค เล่นพวก เหมือนอย่างที่คนในรัฐบาลเล่น ก็ลองนึกดูเถอะครับข้าราชการไทยวันนี้ต้องหวานอมขมกลืนกับภาวะการณ์เช่นนี้อีกต่อไปนานเท่าไร
สื่อถามต่อว่า กลัวเสียงตกใช่หรือไม่ ผมเข้าใจว่าน่าจะจริงนะครับ เพราะช่วงหลังนี้คอยดูเถอะครับ อะไรที่เดินหน้าแล้วกระทบกระทั่ง ส่งผลต่อคะแนนเสียง ถอยหมด เพราะฉะนั้นป้ายที่ขึ้นอย่างใหญ่โตมโหฬารอยู่ขณะนี้ว่าไม่มุ่งเอาชนะทางการเมืองก็คงเหมือนกับเรื่องหลายๆ เรื่องที่ท่านนายกทักษิณ พูดมาแล้ว คือ ไม่อยากบอกว่าโกหก แต่ก็ไม่จริงกันทั้งนั้น วันนี้ถอยครับ
แต่ว่ามันก็ไม่จริงกันทั้งนั้น วันนี้ถอยครับ แล้วอาจจะต้องถอยอีกหลายเรื่อง พี่น้องครับ นี่คือเรื่องที่น่ากังวล ถึงอย่างไรก็ตาม ผมมีความมั่นใจว่า รัฐบาลนี้ก็คงจะต้องทำอะไรอีกหลายอย่างนะครับ แม้ว่าภาวะการณ์ที่เป็นอยู่เวลานี้ ทำท่าจะเสื่อมถอยลงมากแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แต่เชื่อผมเถอะครับ รัฐบาลนี้เค้ามีจุดแข็ง มีคนบอกว่าจุดแข็งที่สุดของรัฐบาลนี้ที่แข็งจริงๆครับ คือเรื่องการตลาด แต่ผมว่าไม่ใช่หรอกครับ การโฆษณาชวนเชื่อ เชื่อผมเถอะครับ หลังจากนี้เป็นต้นไปรัฐบาลจะโฆษณาชวนเชื่อมากขึ้น ยุทธการ 4 สร้าง ซึ่งผมเคยได้พูดกับท่านสมาชิกของเราในบางที่บางแห่งมาแล้ว ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า 4 สร้างที่ว่านี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ 4 ปีสร้าง และไม่ได้เกี่ยวข้องกับ 4 ปีเสีย 4 ปี ซ่อมที่เราจะพูดกันในวันนี้ ยุทธการ 4 สร้างที่รัฐบาลนี้มีความชัดถนัดจัดเจนเป็นที่สุด ก็คือ1.การสร้างภาพ 2. การสร้างเรื่อง 3. การสร้างความหวัง และ 4. การสร้างข่าวกลบข่าว สังเกตดูสิครับ ตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีเศษๆที่ผ่านมา ที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารบ้านเมืองนั้น ใช้สิ่งนี้มาตลอด เมื่อยึดกรมสื่อโทรทัศน์และวิทยุของรัฐได้ก็ใช้สื่อโทรทัศน์และวิทยุสร้างภาพแห่งความสำเร็จของรัฐบาลทุกวันครับ
นโยบายที่เรารู้สึกว่าล้มเหลวครับ นโยบายที่คนในชนบทซึ่งประสบกับตนเองบอกว่าล้มเหลว แต่ว่าภาพที่ปรากฏทางสื่อโทรทัศน์และวิทยุของรัฐจะบอกว่าสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั่งตัวเลขเมื่อไม่กี่วันนี้ นี่คือการสร้างภาพ เรื่องสร้างเรื่องให้คนไปคิด ถนัดครับ อย่างน้อยก็จะได้มีเวลามาดูความล้มเหลวของรัฐบาล เรื่องสร้างความหวังให้กับพี่น้องประชาชนนั้นชัดเจนมาก ไปจดทะเบียนคนจน คนตื่นเต้นเป็นพิเศษ คิดว่ารัฐบาลจะช่วย แล้วท้ายสุดพบความจริงว่าเปล่าเลยครับ 60%ถอยกลับ เพราะว่าความหวังที่รัฐบาลสร้างลมๆแล้งๆทั้งนั้น แล้วสร้างข่าวกลบข่าวนั้น คงจำกันได้นะครับ ว่าในเวลาที่ฝ่ายค้านของเราเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเที่ยวนั้น ซึ่งสามารถสะท้อนภาพของการปกป้องผลประโยชน์ของพวกพ้องมากกว่าประโยชน์ชาติ คือเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายชัดเจนมาก
เกิดอะไรขึ้นมาครับ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลจากอังกฤษมาพบท่านนายกฯที่ทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้นข่าวนี้ก็กลบข่าวการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านซะจนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว ท้ายสุดพอฝ่ายค้านเลิกกันไปแล้ว ข่าวจางไปแล้ว ลิเวอร์พูลก็จางไปด้วย นี่คือการสร้างข่าวกลบข่าว ครับพี่น้องทั้งหลายครับ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปคอยจับตาดูให้ดีเถอะครับ พฤติกรรมของการทุ่มเท การลด แลก แจก แถม การตลาดที่เลยไปจนกระทั่งกลายเป็นการโฆษณาชวนเชื่อนั้นจะมีมากขึ้นเป็นลำดับ เวลานี้ก็ทำกันอยู่แล้ว ทัวร์นกขมิ้นที่ตะลอนๆไปเที่ยวแจกงบประมาณตามหัวมุมต่างจังหวัดว่าตามจริงก็เป็นความพยายามในการกลบข่าว การพูดจาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในเวลานี้ชัดเจนมาก เห็นชื่อทัวร์เป็นชื่อนกแล้วชักหวั่นๆอยู่เหมือนกันนะครับ เพราะว่านกมันติดโรคไข้หวัดนกง่ายนะครับ แล้วจะว่าไม่เตือน SML ก็พูดถึงกันมาก นั่นคือความตั้งอกตั้งใจที่จะนำเงินงบประมาณ ซึ่งเป็นเงินภาษีของพี่น้องประชาชนเอง ไปแจกกับหมู่บ้านในลักษณะเพื่อสร้างความสัมพันธส่วนตัวของรัฐบาลกับคนในชนบทให้ใกล้ชิดมากขึ้น ทั้งๆที่ช่องทางขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีกันอยู่แล้ว
เป็นการทำลายหลักการของวิธีการงบประมาณโดยแท้ครับ และเป็นการทำลายความเข้มแข็งขององค์กรปกครองท้องถิ่นไปในเวลาเดียวกันด้วย ใครจะว่ากล่าวหา ผมกล่าวหาล่ะครับ เพราะว่าหลักการมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ คนเป็นจำนวนมากที่มีความรู้สึกในทางสนับสนุนส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น หรือการกระจายอำนาจ หรือแม้กระทั่งพวกเราเองครับ ซึ่งสามารถที่จะพูดได้ทุกครั้งว่า ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลทุกครั้งท้องถิ่นแข็งแรงขึ้นทุกครั้ง ท้องถิ่นได้รับการจัดสรรภาษีอากรมากขึ้นในรูปแบบของ ค่าภาคหลวง ค่าจดทะเบียน การโอนอสังหาริมทรัพย์ นั่นก็ประชาธิปัตย์ แต่ว่าสิ่งที่ประชาธิปัตย์มีความภาคภูมิใจมากไปกว่านั้นก็คือ การจัดทำกฎหมายสำคัญฉบับหนึ่งที่เรียกว่า กฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนในการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ด้วยความรู้สึกอย่างนี้ล่ะครับ คือมีความรู้สึกว่าท้องถิ่นไปได้ถ้าได้รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยเห็นความสำคัญของท้องถิ่นมาบริหารจัดการ แต่วันหนึ่งท้องถิ่นอาจจะไปไม่ได้ หรือรัฐบาลที่มีความคิดเรื่องประชาธิปไตยรวมศูนย์เข้ามานั่งบริหารประเทศ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 ก.ย. 2547--จบ--
-ดท-