พี่น้องที่รักทั้งหลาย
ในที่สุดการสัมมนาของพรรคประชาธิปัตย์ของเราก็ได้ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายของการสัมมนาในคราวนี้ วันหนึ่งเต็มๆกับอีกครึ่งวันที่ผ่านมานับได้ว่าเราได้พูดกันในเรื่องที่เป็นประโยชน์เป็นอย่างมากเรื่องความพร้อมของพรรคในการเตรียมการเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ นี่เป็นเรื่องภายใน
และที่เป็นเรื่องภายนอกคือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยแท้ ซึ่งเป็นการเสวนากันทั้งในระหว่างพวกเรากันเองในหัวข้อเรื่อง4 ปีเสีย 4 ปีซ่อม และทั้งโดยบุคคลภายนอกที่พรรคเชิญมาร่วมเสวนาในหัวข้อเรื่องอนาคตประเทศไทยใครได้ประโยชน์ กล่าวได้ว่า ได้สะท้อนให้เห็นถึงภาวการณ์แห่งปัญหาของประเทศชาติและประชาชนที่น่าห่วงใยด้วยกันทั้งสิ้นเรื่องที่ผมจะพูดกับท่านทั้งหลายในช่วงสุดท้ายของการสัมมนาต่อไปนี้ก็เช่นเดียวกัน
พี่น้องทั้งหลายครับ
เป็นที่น่าห่วงใยและน่าตกใจเป็นที่สุดว่า สถานการณ์ของการทุจริตคอรัปชั่นในบ้านเมืองของเราได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกขณะ และกำลังจะนำพาประเทศชาติเข้าสู่วิกฤติการณ์อันเลวร้ายมากยิ่งขึ้นทุกที
การทุจริตคอรัปชั่นจากเดิมที่เคยจำกัดอยู่ในวงแคบๆ เป็นเรื่องของเบี้ยใบ้รายทางเป็นเรื่องรับสินบน เพื่อเข้าด้วยช่วยเหลือกันในทางผิดๆหรือเป็นเรื่องฮั้วประมูลงานของทางราชการซึ่งไม่มีความสลับซับซ้อนมากนัก ได้พัฒนามาสู่ความสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนซ่อนปมเป็นเครือข่ายใหญ่โตกว้างขวางและมีปริมาณเงินจำนวนมหาศาล ทั้งที่เป็นเงินในปัจจุบันและเงินในอนาคต พูดกันอย่างชัดๆก็คือว่า ไม่ใช่เพียงแต่โกงกินเงินประชาชนในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังกำลังจะโกงเงินของลูกหลานชองเราในอนาคตอีกด้วย
เมื่อเกือบๆจะ4ปีก่อนหน้านี้ในเวลาที่รัฐบาลนี้เข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ๆนอกเหนือจากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภายืนยันถึงสงคราม 3 สงครามที่รัฐบาลจะเอาชนะให้ได้และ 1 ใน 3 สงครามที่ว่านี้คือ การปราบปรามทุจริตคอรัปชั่น หัวหน้าคณะรัฐบาลคือท่านนายกฯทักษิณ ก็ยังได้พูดต่อสาธารณะชนด้วยถ้อยคำหวานหูที่ชวนให้เกิดความมั่นใจในเรื่องเดียวกันว่า “ถ้ามีเหตุอันเชื่อได้ว่ารัฐมนตรีของผมโกง แม้ไม่มีใบเสร็จต้องปลด ต้องถือประชาชนเป็นนาย อย่าไปห่วงว่าจะกระทบการเมือง แต่ต้องยึดความผิดชอบชั่วดี”
แต่นั้นเป็นเพียงลมปากที่หวานหู ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังหวานคอแร้งกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างเมามัน เพราะสิ่งที่ปรากฏตลอดระยะเวลาเกือบๆจะ 4 ปี ที่ผ่านมา กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะมีแต่เรื่องทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้นอย่างเป็นปกติวิสัย มีพฤติกรรมของการเรียกเก็บค่าหัวคิว เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางธุรกิจในวงการรับเหมาก่อสร้าง จนมีการเรียกขานรัฐมนตรีบางคนว่า “มิสเตอร์ 20 เปอร์เซ็นต์”
ทรัพย์สมบัติของชาติที่คนรุ่นก่อนๆได้สั่งสมเอาไว้ให้ลูกหลานได้ถูกนำมาเล่นแร่แปรธาตุเปลี่ยนเป็นเงินเข้ากระเป๋าของผู้มีอำนาจและเครือข่ายเพียงไม่กี่คน ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับกรณีนำเอา ปตท.เข้าไปจดทะเบียนเพื่อซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แล้วปรากฏว่า มีเศรษฐีเพียงไม่กี่คนที่เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกับคนในรัฐบาลได้สิทธิพิเศษซื้อหุ้นจองในราคาถูกเป็นจำนวนมากนับได้รวมกันถึง 16 ล้านหุ้น ซึ่งในขณะจองซื้อมีมูลค่าเพียง 385 ล้านบาท แต่ในเวลาขายในเวลาต่อมามีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1,763 ล้านบาท ก็เท่ากับได้ผลกำไรอย่างสบายๆถึง1,377 ล้านบาท
เพราะฉะนั้นที่นายกทักษิณได้เคยพูดเอาไว้ว่า ถ้าเป็นรัฐบาลไปแล้ว 6 เดือน เมื่อพี่น้องเอามือล้วงกระเป๋าจะพบว่า มีเงินมากขึ้นกว่าเดิมก็จริงของท่านเพียงแต่ว่า คำว่าพี่น้องที่พูดกันนั้น ไม่ได้หมายถึงพี่น้องประชาชนโดยทั่วไป หากหมายถึงพี่น้องของพวกเขากันเองเท่านั้น
พี่น้องทั้งหลายครับ
ที่น่าห่วงใยและน่าตกใจที่สุดจริงๆก็คือว่า ประเทศไทยของเรากำลังอยู่ในยุคของธุรกิจการเมืองโดยแท้ เพราะกลุ่มทุนต่างๆซึ่งเมื่อก่อนนี้เพียงแต่อยู่หลังกลุ่มการเมืองในฐานะผู้สนับสนุนได้ก้าวเข้ามาสู่การเมืองอย่างเต็มตัวในฐานะของผู้มีบทบาทกุมกลไกอำนาจรัฐโดยตรงสามารถผลักดันและกำหนดนโยบายได้เอง ความโน้มเอียงในการกำหนดนโยบายและใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือผลประโยชน์อันเป็นธุรกิจของครอบครัวและของกลุ่มพวกพ้องที่เรียกกันว่า ผลประโยชน์ทับซ้อนและคอรัปชั่นเชิงนโยบายก็เกิดขึ้นอย่างมากมายและสามารถทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายเสียอีกด้วย
ผมไม่ได้ประสงค์ที่จะมาชักชวนพี่น้องให้ร่วมกันต่อต้านคนมีทุนมากหรือทุนแต่ประการใด เพราะระบอบประชาธิปไตยต้องเปิดโอกาสให้แก่ทุกคนทุกกลุ่มอย่างเสมอภาค คนมีทุนมีความพร้อมก็เป็นเรื่องดีมีประโยชน์เพียงแต่ว่าเมื่อเข้ามามีบทบาทกุมกลไกอำนาจรัฐแล้วจะต้องเข้าใจว่าตนเองเป็นตัวแทนของกลุ่มคนและกลุ่มทุนทุกกลุ่มในประเทศ การผลักดันและกำหนดนโยบายจึงต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของกลุ่มคนส่วนใหญ่ในประเทศไม่ใช่เพียงเพื่อกลุ่มทุนของตนเท่านั้น ถ้าคิดอย่างนี้ก็จะไม่มีกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน และคอรัปชั่นเชิงนโยบายให้เห็นอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
พฤติกรรมของการทุจริตคอรัปชั่นดังกล่าวนี้ ทำให้บรรดานักวิชาการและบุคคลสำคัญในหลายวงการที่รักและหวังดีต่อประเทศชาติต่างก็มีความห่วงใยในปัญหาที่เกิดขึ้นและมีความเห็นตรงกันว่าหากไม่รีบเร่งจัดการกับปัญหาเหล่านี้โดยเร็วเชื่อว่าในอนาคตอีกไม่นานประเทศชาติจะประสบความหายนะอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลาหนึ่งคือ ภายหลังจากวันที่ 4 ธันวาคม 2545 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งว่า “หากทุจริตมากบ้านเมืองจะไปไม่รอด” และก็ทรงรับสั่งอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ว่า “หากใครสุจริตก็ขอให้มีอายุยืนเป็นร้อยๆปี แต่ถ้าใครทุจริตก็ขอให้มีอันเป็นไป”
ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างก็รับใส่เกล้าฯใส่กระหม่อมกันอย่างทั่วหน้า ต่างก็แสดงอาการให้เห็นว่าเอาจริงเอาจังกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นอย่างแน่นอน
บรรดาผู้คนที่ห่วงใยในเรื่องนี้ก็รู้สึกคลายความห่วงใยไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และชั่วระยะหนึ่งจริงๆครับ เพราะหลังจากนั้นไม่นานนักทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพเดิม เพราะมีคนเล่าให้ฟังว่า “มิสเตอร์ 20 เปอร์เซ็นต์ก็ยังคงเดินหน้าอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”
การทุจริตคอรัปชั่นก็ยังเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน และหนักข้อยิ่งกว่าเดิมไปเสียอีก ทำให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินต้องพลอยหนักใจไปด้วย เพราะต้องทักท้วงกันบ่อยๆในการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องจนกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากันไปแล้ว
มีการพูดถึง การทุจริตเชิงนโยบายหลายเรื่องว่า เกิดขึ้นอีกในช่วงนี้ทั้งเรื่อง ไอทีวี โทรทัศน์ช่อง 5 และช่อง 11 และรวมถึงเรื่องกรฉ้อฉลในสนามบินสุวรรณภูมิ
รวมไปถึงการทำสัญญาข้อตกลงเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆที่เรียกว่า FTA ว่าต่างก็เป็นเรื่องคอรัปชั่นเชิงนโยบายที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนของคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย และทำให้กลุ่มคนส่วนใหญ่ในประเทศต้องพลอยสูญเสียประโยชน์ไปด้วยในที่สุด
ที่รัฐบาลอ้างว่าเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุกด้านการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสร้างพันธมิตรทางการค้า เพิ่มโอกาสในการขยายการค้าและการลงทุน นั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่สวยหรู แต่เบื้องหลังที่แท้จริงแล้วการทำเอฟทีเอ ดังกล่าวได้กระทำไปเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ทางธุรกิจส่วนตัวของคนในรัฐบาลนี้ทั้งนั้น ขณะที่เกษตรกรคนส่วนใหญ่ ผู้ประกอบการรายย่อยทั้งประเทศต้องประสบกับภาวะล้มละลาย มีหนี้สินรกรุงรัง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือกรณีการทำ เอฟทีเอ กับจีน ที่เริ่มมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคมปีที่แล้ว เวลานี้เกษตรกรในภาคเหนือที่ปลูกหอม กระเทียม ลิ้นจี่ หรือพืชเมืองหนาวต่างก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ไม่เว้นแม้แต่โครงการหลวง เพราะถูกสินค้าประเภทผักผลไม้จากจีนเข้ามาตีตลาดจนสินค้าขายไม่ออก
ขณะที่กลุ่มที่ได้ประโยชน์จะมีเพียงกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เช่นเดิม โดยเฉพาะธุรกิจดาวเทียม ที่ก่อนหน้านี้ดาวเทียมไทยคมเคยมีปัญหาองศาทับซ้อนกับดาวเทียมของจีนก็มีการเจรจาตกลงเป็นผลสำเร็จด้วยดี
หรือกรณีการทำเอฟทีเอ กับออสเตรเลียก็เช่นเดียวกัน ที่รัฐบาลเพิ่งลงนามกันไปเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมปีนี้ เริ่มมีผลทำให้มีการลดภาษีสินค้านำเข้าจากออสเตรเลียเหลือ 0 % ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปีหน้าเป็นต้นไป
หากพิจารณาให้ดีแล้วผลประโยชน์ก็จะตกอยู่กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ใกล้ชิดรัฐบาล เช่นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม ธุรกิจรถยนต์ เป็นต้น ขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่ เช่นกลุ่มโคนม โคเนื้อ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันได้
เรื่องธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของไทยปล่อยเงินกู้ให้แก่โครงการลงทุนด้านการสื่อสารโทรคมนาคมในพม่าก็เช่นเดียวกัน เพราะในที่สุดความจริงก็ปรากฏออกมาแล้วว่าผู้ที่ได้รับประโยชน์เต็มๆก็คือบริษัทชินแซทฯ เพราะเป็นบริษัทที่ได้รับว่าจ้าง หรืออาจจะเรียกได้ว่าได้รับสัมปทานก็อาจจะเป็นได้ ให้เป็นบริษัทที่จัดวางเครือข่ายพัฒนาโครงการระบบโทรคมนาคมทั้งหมดในพม่า และก็คงทราบกันแล้วว่าบริษัทชินแซทฯนั้นเป็นบริษัทเครือข่ายของใครที่ไหน อย่างไร
พี่น้องที่รักทั้งหลายครับ
นี่คือภาวการณ์ที่เป็นอยู่ในประเทศไทยของเราในปัจจุบัน ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศที่จัดทำรายงานชี้วัดความโปร่งใสของแต่ละประเทศในโลก ได้จัดอันดับการทุจริตให้ประเทศไทย อยู่ในลำดับที่ 70 จากจำนวนทั้งหมด 133 ประเทศ โดยได้คะแนน 3.3 คะแนน ขณะที่คะแนนเต็ม 10 คะแนน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลนายกทักษิณและคณะ เริ่มแสดงอาการรับรู้ขึ้นมาบ้างแล้วเพราะกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อประกาศทำสงครามกับการทุจริตคอรัปชั่นในวันที่ 30 กันยายน นี้
ก็ไม่ทราบว่าจะมาประกาศอะไรกันตอนนี้ในขณะที่อีกไม่กี่เดือนรัฐบาลนี้ก็จะครบเทอม ครบวาระอยู่แล้ว จึงเป็นได้แต่เพียงสร้างเรื่อง สร้างข่าวเพื่อกลบเกลื่อนความจริงสำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามและไม่รู้ทันเท่านั้นเอง
พี่น้องที่รักทั้งหลาย
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ของเรานั้น กล่าวได้ว่า ได้เล็งเห็นภยันตรายและมุ่งต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นมาโดยตลอด ในการประกาศอุดมการณ์ของพรรคในวันก่อตั้งพรรค เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2489 พรรคได้ยืนยันถึงความซื่อสัตย์โปร่งใส ที่จะต้องรักษาไว้อย่างมั่นคงตลอดไปว่า
พรรคจะดำเนินการทางการเมืองโดยวิถีทางอันบริสุทธิ์ และพรรคจะดำเนินการเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อประชาชน ซึ่งก็ได้สืบสานอุดมการณ์ดังกล่าวนี้ตลอดมา
ในช่วงระยะเวลาเกือบ 4 ปี ที่รัฐบาลคณะนี้เข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีพฤติกรรมของการทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มแข็งด้วยการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ถึง 3 ครั้ง ดังนี้
ครั้งแรก เมื่อระหว่างวันที่ 22-25 พฤษภาคม 2545 ได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 15 ราย โดยได้ชี้ให้เห็นว่ามีการทุจริต และมีการหาประโยชน์ในโครงการต่างๆของรัฐ มูลค่าไม่น้อยกว่า 12,206 ล้านบาท (หนึ่งหมื่นสองพันสองร้อยหกล้านบาท)
ครั้งที่ 2 เมื่อระหว่างวันที่ 28-29 พฤษภาคม 2546 อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 5 ราย ได้ชี้ให้เห็นว่า มีการทุจริตและมีการหาประโยชน์ในโครงการ มูลค่าไม่น้อยกว่า 14,921 ล้านบาท (หนึ่งหมื่นสี่พันเก้าร้อยยี่เอ็ดล้านบาท)
และครั้งที่ 3 อันเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อระหว่างวันที่ 19-21 พฤษภาคม 2547 อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 8 ราย ครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า มีการทุจริต มีการหาประโยชน์ครั้งมโหฬารในโครงการ มูลค่าไม่น้อยกว่า 146,392 ล้านบาท (หนึ่งแสนสี่หมื่นหกพันสามร้อยเก้าสิบสองล้านบาท)
เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงทั้ง 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือพฤติกรรมแห่งการทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดมีขึ้นในรัฐบาลนี้ และอีกด้านก็คือ การทำหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์
และเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมแห่งการทุจริตส่วนหนึ่ง ในรัฐบาลนี้ที่ ฝ่ายค้าน“จับได้ไล่ทัน”แต่ก็ไม่เคยได้เห็นท่านนายกฯทักษิณดำเนินการเอาจริงเอาจังเพื่อหยุดยั้งรัฐมนตรีขี้โกงอย่างที่เคยพูดไว้แต่ประการใดทั้งสิ้น แถมยังแสดงอาการเยาะเย้ย ถากถางฝ่ายตรวจสอบด้วยความทนงในเสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จของตนเองและคณะเสียอีกด้วย
เราจะปล่อยให้พฤติกรรมการโกงเหล่านี้ ผ่านเลยไป และปล่อยให้คนโกงเสวยสุขบนความทุกข์ของประชาชนต่อไปกระนั้นหรือ? เราต้องไม่ยอม
ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ผมจึงขอประกาศว่า พรรคประชาธิปัตย์จะยืนหยัดมุ่งมั่นที่จะป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นทุกรูปแบบอย่างจริงจังด้วยนโยบายและมาตรการรื้อ-แก้ไข-ลงโทษ-ทวงคืน ดังนี้
1.ขึ้นบัญชีดำโครงการที่ไม่โปร่งใสเพื่อติดตามตรวจสอบ ยึดทรัพย์ เอาคนผิดเข้าคุก
พรรคประชาธิปัตย์จะใช้กลไกแห่งรัฐทุกกลไกเพื่อจัดการกับโครงการอันอื้อฉาวที่ได้ขึ้นบัญชีดำเอาไว้แล้วกว่า 20 โครงการ มูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท โดยจะรื้อเพื่อตรวจสอบใหม่ติดตามยึดทรัพย์สินจากพวกร่ำรวยโดยมิชอบมาพัฒนาชาติและนำเอาคนโกงมาลงโทษ
2.สนับสนุน ปปช.ภาคประชาชน
พรรคประชาธิปัตย์จะสนับสนุนองค์กรอิสระภาคประชาชนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น เช่น มูลนิธิหรือสมาคมต่างๆที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อจะช่วยให้องค์กรเหล่านี้ ได้มีความพร้อมทางด้านเงินอุดหนุนช่วยเหลือและมีความคล่องตัวในการทำงานคู่ขนานกันไปกับหน่วยงานของรัฐ
3.เร่งปฏิรูปและฟื้นฟูระบบสื่อเสรี
พรรคประชาธิปัตย์เล็งเห็นว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้นอย่างมากมายในทุกวันนี้ ก็เพราะการครอบงำสื่อ ทั้งโดยทางตรงและโดยอ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสื่อของรัฐ
การเปิดโอกาสให้สื่อสารมวลชนมีเสรีภาพในการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา โดยปราศจากการแทรกแซง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆจะมีผลต่อการช่วยป้องกันละปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นอีกด้วย ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ จึงไม่มีการครอบงำ คุกคาม หรือแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อสารมวลชนแต่ประการใด
4.แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น
พรรคประชาธิปัตย์จะผลักดันให้มีกฏหมายว่าด้วยการทำสัญญาของหน่วยงานภาครัฐขึ้นมาใหม่ โดยจะเสนอมาตรการป้องกันและมีบทลงโทษที่รุนแรงกับผู้กระทำความผิดไม่ว่าในฐานะตัวการหรือผู้สนับสนุน ทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายข้าราชการประจำ และเอกชน เพื่อให้เกิดความเกรงกลัว เข็ดหลาบ ไม่กล้าสมคบกันเบียดบังผลประโยชน์ของชาติเป็นของตน
จะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการเสียใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดกรณีสมคบกันเสียค่าโง่อย่างที่เป็นอยู่
จะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองหุ้นของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และคู่สมรส รวมทั้งบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเพื่อป้องกันการตีความและเพื่อทำให้การใช้กฎหมายได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
5.แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันการครอบงำองค์กรอิสระ
ปัจจุบันกระบวนการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระแทบ
ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.)มักจะถูกครอบงำจากฝ่ายบริหารที่มีเสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เนื่องจากมีการกำหนดให้มีสัดส่วนตัวแทนของพรรคการเมืองร่วมอยู่ในกระบวนการสรรหาด้วย ทำให้ผลของการสรรหาขาดความสมดุล และนำไปสู่การแต่งตั้งบุคคลที่มีความโน้มเอียงไปในทางการเมือง ขาดความเป็นอิสระในการใช้ดุลยพินิจ วินิจฉัยในการทำหน้าที่ ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติและประชาชน
พรรคประชาธิปัตย์จึงเสนอให้ยกเลิกตัวแทนพรรคการเมืองในกระบวนสรรหาเพื่อให้การสรรหาได้ดำเนินการไปเพื่อประโยชน์ของการตรวจสอบอย่างแท้จริงไม่มีความโน้มเอียงไปในทางการเมือง
6.เพิ่มอำนาจหน้าที่และเพิ่มความพร้อมให้องค์กรอิสระเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ
องค์กรอิสระที่ทำหน้าที่เป็นองค์กรตรวจสอบ เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น จะทำหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพ นอกเหนือจากความมีอิสระอย่างแท้จริงแล้ว อำนาจหน้าที่ที่ครบถ้วนและความพร้อมของบุคลากรและทรัพยากรอื่นที่เกี่ยวข้องก็นับว่าเป็นสิ่งจำเป็น
การสนับสนุนส่งเสริมให้มีความพร้อมทุกด้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ให้ทันต่อการเพิ่มขึ้นของการทุจริตคอรัปชั่น จึงเป็นเรื่องที่จะต้องกระทำอย่างจริงจังและเร่งด่วน ไม่ใช่การคิดจะตั้งหน่วยงานในสังกัดรัฐบาลขึ้นมาใหม่ โดยอ้างว่า เพื่อแบ่งเบาภาระของ ปปช.อย่างที่รัฐบาลคิดจะทำ
เพราะเท่ากับ ดึงอำนาจส่วนหนึ่งของการตรวจสอบที่มีบทสรุปแล้ว ว่า ควรจะมีความเป็นอิสระจึงจะมีประสิทธิภาพ กลับคืนไปสู่ความไม่มีอิสระอีกครั้งหนึ่ง อันเป็นความคิดเก่าย้อนยุค และแฝงเร้นไว้ด้วยความมุ่งหมายที่จะเสริมสร้างอำนาจเบ็ดเสร็จให้แก่ฝ่ายบริหารอีกนั่นเอง ซึ่งไม่ใช่ระบบที่ถูกต้องอย่างแน่นอน
พี่น้องทั้งหลายครับ
เมื่อเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า การทุจริตคอรัปชั่นกำลังแพร่ระบาดขนาดหนัก
ผลประโยชน์ชาติ และประโยชน์ประชาชนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต กำลังถูกฉกฉวยเอาไปเป็นของคนบางคนและบางกลุ่ม ด้วยพฤติกรรมของการทุจริตคอรัปชั่นทั้งที่ผิดกฎหมายและทั้งที่ทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายภายใต้รูปแบบการทำใหม่ที่สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน ซ่อนปม เป็นเครือข่ายใหญ่โตกว้างขวางมากยิ่งขึ้นทุกที และมีปริมาณเงินจำนวนมหาศาล ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ก็จะกลายพันธุ์เป็นมะเร็งร้ายที่จะนำประเทศชาติของเราไปสู่ความหายนะ จึงมีแต่การชิงตัดเนื้อร้ายทิ้งอย่างทันทีทันควันเท่านั้นที่จะหลีกเลี่ยงความหายนะนี้ได้
พรรคประชาธิปัตย์จึงขอเสนอนโยบายและมาตรการรื้อ-แก้ไข-ลงโทษ-ทวงคืน เพื่อร่วมกันตัดเนื้อร้ายทิ้ง
พี่น้องทั้งหลายครับ
ถึงเวลาแล้วที่จะต้องร่วมทวงผลประโยชน์ชาติและผลประโยชน์ของประชาชนที่ถูกฉกฉวยไปคืนมา
ถึงเวลาแล้ว พี่น้องครับ ที่จะต้องร่วมทวงคืนประเทศไทย
พบกันใหม่ครับ สวัสดี
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 ก.ย. 2547--จบ--
-ดท-
ในที่สุดการสัมมนาของพรรคประชาธิปัตย์ของเราก็ได้ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายของการสัมมนาในคราวนี้ วันหนึ่งเต็มๆกับอีกครึ่งวันที่ผ่านมานับได้ว่าเราได้พูดกันในเรื่องที่เป็นประโยชน์เป็นอย่างมากเรื่องความพร้อมของพรรคในการเตรียมการเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ นี่เป็นเรื่องภายใน
และที่เป็นเรื่องภายนอกคือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยแท้ ซึ่งเป็นการเสวนากันทั้งในระหว่างพวกเรากันเองในหัวข้อเรื่อง4 ปีเสีย 4 ปีซ่อม และทั้งโดยบุคคลภายนอกที่พรรคเชิญมาร่วมเสวนาในหัวข้อเรื่องอนาคตประเทศไทยใครได้ประโยชน์ กล่าวได้ว่า ได้สะท้อนให้เห็นถึงภาวการณ์แห่งปัญหาของประเทศชาติและประชาชนที่น่าห่วงใยด้วยกันทั้งสิ้นเรื่องที่ผมจะพูดกับท่านทั้งหลายในช่วงสุดท้ายของการสัมมนาต่อไปนี้ก็เช่นเดียวกัน
พี่น้องทั้งหลายครับ
เป็นที่น่าห่วงใยและน่าตกใจเป็นที่สุดว่า สถานการณ์ของการทุจริตคอรัปชั่นในบ้านเมืองของเราได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกขณะ และกำลังจะนำพาประเทศชาติเข้าสู่วิกฤติการณ์อันเลวร้ายมากยิ่งขึ้นทุกที
การทุจริตคอรัปชั่นจากเดิมที่เคยจำกัดอยู่ในวงแคบๆ เป็นเรื่องของเบี้ยใบ้รายทางเป็นเรื่องรับสินบน เพื่อเข้าด้วยช่วยเหลือกันในทางผิดๆหรือเป็นเรื่องฮั้วประมูลงานของทางราชการซึ่งไม่มีความสลับซับซ้อนมากนัก ได้พัฒนามาสู่ความสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนซ่อนปมเป็นเครือข่ายใหญ่โตกว้างขวางและมีปริมาณเงินจำนวนมหาศาล ทั้งที่เป็นเงินในปัจจุบันและเงินในอนาคต พูดกันอย่างชัดๆก็คือว่า ไม่ใช่เพียงแต่โกงกินเงินประชาชนในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังกำลังจะโกงเงินของลูกหลานชองเราในอนาคตอีกด้วย
เมื่อเกือบๆจะ4ปีก่อนหน้านี้ในเวลาที่รัฐบาลนี้เข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ๆนอกเหนือจากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภายืนยันถึงสงคราม 3 สงครามที่รัฐบาลจะเอาชนะให้ได้และ 1 ใน 3 สงครามที่ว่านี้คือ การปราบปรามทุจริตคอรัปชั่น หัวหน้าคณะรัฐบาลคือท่านนายกฯทักษิณ ก็ยังได้พูดต่อสาธารณะชนด้วยถ้อยคำหวานหูที่ชวนให้เกิดความมั่นใจในเรื่องเดียวกันว่า “ถ้ามีเหตุอันเชื่อได้ว่ารัฐมนตรีของผมโกง แม้ไม่มีใบเสร็จต้องปลด ต้องถือประชาชนเป็นนาย อย่าไปห่วงว่าจะกระทบการเมือง แต่ต้องยึดความผิดชอบชั่วดี”
แต่นั้นเป็นเพียงลมปากที่หวานหู ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังหวานคอแร้งกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างเมามัน เพราะสิ่งที่ปรากฏตลอดระยะเวลาเกือบๆจะ 4 ปี ที่ผ่านมา กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะมีแต่เรื่องทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้นอย่างเป็นปกติวิสัย มีพฤติกรรมของการเรียกเก็บค่าหัวคิว เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางธุรกิจในวงการรับเหมาก่อสร้าง จนมีการเรียกขานรัฐมนตรีบางคนว่า “มิสเตอร์ 20 เปอร์เซ็นต์”
ทรัพย์สมบัติของชาติที่คนรุ่นก่อนๆได้สั่งสมเอาไว้ให้ลูกหลานได้ถูกนำมาเล่นแร่แปรธาตุเปลี่ยนเป็นเงินเข้ากระเป๋าของผู้มีอำนาจและเครือข่ายเพียงไม่กี่คน ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับกรณีนำเอา ปตท.เข้าไปจดทะเบียนเพื่อซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แล้วปรากฏว่า มีเศรษฐีเพียงไม่กี่คนที่เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกับคนในรัฐบาลได้สิทธิพิเศษซื้อหุ้นจองในราคาถูกเป็นจำนวนมากนับได้รวมกันถึง 16 ล้านหุ้น ซึ่งในขณะจองซื้อมีมูลค่าเพียง 385 ล้านบาท แต่ในเวลาขายในเวลาต่อมามีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1,763 ล้านบาท ก็เท่ากับได้ผลกำไรอย่างสบายๆถึง1,377 ล้านบาท
เพราะฉะนั้นที่นายกทักษิณได้เคยพูดเอาไว้ว่า ถ้าเป็นรัฐบาลไปแล้ว 6 เดือน เมื่อพี่น้องเอามือล้วงกระเป๋าจะพบว่า มีเงินมากขึ้นกว่าเดิมก็จริงของท่านเพียงแต่ว่า คำว่าพี่น้องที่พูดกันนั้น ไม่ได้หมายถึงพี่น้องประชาชนโดยทั่วไป หากหมายถึงพี่น้องของพวกเขากันเองเท่านั้น
พี่น้องทั้งหลายครับ
ที่น่าห่วงใยและน่าตกใจที่สุดจริงๆก็คือว่า ประเทศไทยของเรากำลังอยู่ในยุคของธุรกิจการเมืองโดยแท้ เพราะกลุ่มทุนต่างๆซึ่งเมื่อก่อนนี้เพียงแต่อยู่หลังกลุ่มการเมืองในฐานะผู้สนับสนุนได้ก้าวเข้ามาสู่การเมืองอย่างเต็มตัวในฐานะของผู้มีบทบาทกุมกลไกอำนาจรัฐโดยตรงสามารถผลักดันและกำหนดนโยบายได้เอง ความโน้มเอียงในการกำหนดนโยบายและใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือผลประโยชน์อันเป็นธุรกิจของครอบครัวและของกลุ่มพวกพ้องที่เรียกกันว่า ผลประโยชน์ทับซ้อนและคอรัปชั่นเชิงนโยบายก็เกิดขึ้นอย่างมากมายและสามารถทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายเสียอีกด้วย
ผมไม่ได้ประสงค์ที่จะมาชักชวนพี่น้องให้ร่วมกันต่อต้านคนมีทุนมากหรือทุนแต่ประการใด เพราะระบอบประชาธิปไตยต้องเปิดโอกาสให้แก่ทุกคนทุกกลุ่มอย่างเสมอภาค คนมีทุนมีความพร้อมก็เป็นเรื่องดีมีประโยชน์เพียงแต่ว่าเมื่อเข้ามามีบทบาทกุมกลไกอำนาจรัฐแล้วจะต้องเข้าใจว่าตนเองเป็นตัวแทนของกลุ่มคนและกลุ่มทุนทุกกลุ่มในประเทศ การผลักดันและกำหนดนโยบายจึงต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของกลุ่มคนส่วนใหญ่ในประเทศไม่ใช่เพียงเพื่อกลุ่มทุนของตนเท่านั้น ถ้าคิดอย่างนี้ก็จะไม่มีกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน และคอรัปชั่นเชิงนโยบายให้เห็นอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
พฤติกรรมของการทุจริตคอรัปชั่นดังกล่าวนี้ ทำให้บรรดานักวิชาการและบุคคลสำคัญในหลายวงการที่รักและหวังดีต่อประเทศชาติต่างก็มีความห่วงใยในปัญหาที่เกิดขึ้นและมีความเห็นตรงกันว่าหากไม่รีบเร่งจัดการกับปัญหาเหล่านี้โดยเร็วเชื่อว่าในอนาคตอีกไม่นานประเทศชาติจะประสบความหายนะอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลาหนึ่งคือ ภายหลังจากวันที่ 4 ธันวาคม 2545 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งว่า “หากทุจริตมากบ้านเมืองจะไปไม่รอด” และก็ทรงรับสั่งอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ว่า “หากใครสุจริตก็ขอให้มีอายุยืนเป็นร้อยๆปี แต่ถ้าใครทุจริตก็ขอให้มีอันเป็นไป”
ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างก็รับใส่เกล้าฯใส่กระหม่อมกันอย่างทั่วหน้า ต่างก็แสดงอาการให้เห็นว่าเอาจริงเอาจังกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นอย่างแน่นอน
บรรดาผู้คนที่ห่วงใยในเรื่องนี้ก็รู้สึกคลายความห่วงใยไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และชั่วระยะหนึ่งจริงๆครับ เพราะหลังจากนั้นไม่นานนักทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพเดิม เพราะมีคนเล่าให้ฟังว่า “มิสเตอร์ 20 เปอร์เซ็นต์ก็ยังคงเดินหน้าอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”
การทุจริตคอรัปชั่นก็ยังเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน และหนักข้อยิ่งกว่าเดิมไปเสียอีก ทำให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินต้องพลอยหนักใจไปด้วย เพราะต้องทักท้วงกันบ่อยๆในการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องจนกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากันไปแล้ว
มีการพูดถึง การทุจริตเชิงนโยบายหลายเรื่องว่า เกิดขึ้นอีกในช่วงนี้ทั้งเรื่อง ไอทีวี โทรทัศน์ช่อง 5 และช่อง 11 และรวมถึงเรื่องกรฉ้อฉลในสนามบินสุวรรณภูมิ
รวมไปถึงการทำสัญญาข้อตกลงเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆที่เรียกว่า FTA ว่าต่างก็เป็นเรื่องคอรัปชั่นเชิงนโยบายที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนของคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย และทำให้กลุ่มคนส่วนใหญ่ในประเทศต้องพลอยสูญเสียประโยชน์ไปด้วยในที่สุด
ที่รัฐบาลอ้างว่าเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุกด้านการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสร้างพันธมิตรทางการค้า เพิ่มโอกาสในการขยายการค้าและการลงทุน นั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่สวยหรู แต่เบื้องหลังที่แท้จริงแล้วการทำเอฟทีเอ ดังกล่าวได้กระทำไปเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ทางธุรกิจส่วนตัวของคนในรัฐบาลนี้ทั้งนั้น ขณะที่เกษตรกรคนส่วนใหญ่ ผู้ประกอบการรายย่อยทั้งประเทศต้องประสบกับภาวะล้มละลาย มีหนี้สินรกรุงรัง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือกรณีการทำ เอฟทีเอ กับจีน ที่เริ่มมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคมปีที่แล้ว เวลานี้เกษตรกรในภาคเหนือที่ปลูกหอม กระเทียม ลิ้นจี่ หรือพืชเมืองหนาวต่างก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ไม่เว้นแม้แต่โครงการหลวง เพราะถูกสินค้าประเภทผักผลไม้จากจีนเข้ามาตีตลาดจนสินค้าขายไม่ออก
ขณะที่กลุ่มที่ได้ประโยชน์จะมีเพียงกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เช่นเดิม โดยเฉพาะธุรกิจดาวเทียม ที่ก่อนหน้านี้ดาวเทียมไทยคมเคยมีปัญหาองศาทับซ้อนกับดาวเทียมของจีนก็มีการเจรจาตกลงเป็นผลสำเร็จด้วยดี
หรือกรณีการทำเอฟทีเอ กับออสเตรเลียก็เช่นเดียวกัน ที่รัฐบาลเพิ่งลงนามกันไปเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมปีนี้ เริ่มมีผลทำให้มีการลดภาษีสินค้านำเข้าจากออสเตรเลียเหลือ 0 % ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปีหน้าเป็นต้นไป
หากพิจารณาให้ดีแล้วผลประโยชน์ก็จะตกอยู่กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ใกล้ชิดรัฐบาล เช่นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม ธุรกิจรถยนต์ เป็นต้น ขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่ เช่นกลุ่มโคนม โคเนื้อ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันได้
เรื่องธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของไทยปล่อยเงินกู้ให้แก่โครงการลงทุนด้านการสื่อสารโทรคมนาคมในพม่าก็เช่นเดียวกัน เพราะในที่สุดความจริงก็ปรากฏออกมาแล้วว่าผู้ที่ได้รับประโยชน์เต็มๆก็คือบริษัทชินแซทฯ เพราะเป็นบริษัทที่ได้รับว่าจ้าง หรืออาจจะเรียกได้ว่าได้รับสัมปทานก็อาจจะเป็นได้ ให้เป็นบริษัทที่จัดวางเครือข่ายพัฒนาโครงการระบบโทรคมนาคมทั้งหมดในพม่า และก็คงทราบกันแล้วว่าบริษัทชินแซทฯนั้นเป็นบริษัทเครือข่ายของใครที่ไหน อย่างไร
พี่น้องที่รักทั้งหลายครับ
นี่คือภาวการณ์ที่เป็นอยู่ในประเทศไทยของเราในปัจจุบัน ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศที่จัดทำรายงานชี้วัดความโปร่งใสของแต่ละประเทศในโลก ได้จัดอันดับการทุจริตให้ประเทศไทย อยู่ในลำดับที่ 70 จากจำนวนทั้งหมด 133 ประเทศ โดยได้คะแนน 3.3 คะแนน ขณะที่คะแนนเต็ม 10 คะแนน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลนายกทักษิณและคณะ เริ่มแสดงอาการรับรู้ขึ้นมาบ้างแล้วเพราะกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อประกาศทำสงครามกับการทุจริตคอรัปชั่นในวันที่ 30 กันยายน นี้
ก็ไม่ทราบว่าจะมาประกาศอะไรกันตอนนี้ในขณะที่อีกไม่กี่เดือนรัฐบาลนี้ก็จะครบเทอม ครบวาระอยู่แล้ว จึงเป็นได้แต่เพียงสร้างเรื่อง สร้างข่าวเพื่อกลบเกลื่อนความจริงสำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามและไม่รู้ทันเท่านั้นเอง
พี่น้องที่รักทั้งหลาย
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ของเรานั้น กล่าวได้ว่า ได้เล็งเห็นภยันตรายและมุ่งต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นมาโดยตลอด ในการประกาศอุดมการณ์ของพรรคในวันก่อตั้งพรรค เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2489 พรรคได้ยืนยันถึงความซื่อสัตย์โปร่งใส ที่จะต้องรักษาไว้อย่างมั่นคงตลอดไปว่า
พรรคจะดำเนินการทางการเมืองโดยวิถีทางอันบริสุทธิ์ และพรรคจะดำเนินการเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อประชาชน ซึ่งก็ได้สืบสานอุดมการณ์ดังกล่าวนี้ตลอดมา
ในช่วงระยะเวลาเกือบ 4 ปี ที่รัฐบาลคณะนี้เข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีพฤติกรรมของการทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มแข็งด้วยการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ถึง 3 ครั้ง ดังนี้
ครั้งแรก เมื่อระหว่างวันที่ 22-25 พฤษภาคม 2545 ได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 15 ราย โดยได้ชี้ให้เห็นว่ามีการทุจริต และมีการหาประโยชน์ในโครงการต่างๆของรัฐ มูลค่าไม่น้อยกว่า 12,206 ล้านบาท (หนึ่งหมื่นสองพันสองร้อยหกล้านบาท)
ครั้งที่ 2 เมื่อระหว่างวันที่ 28-29 พฤษภาคม 2546 อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 5 ราย ได้ชี้ให้เห็นว่า มีการทุจริตและมีการหาประโยชน์ในโครงการ มูลค่าไม่น้อยกว่า 14,921 ล้านบาท (หนึ่งหมื่นสี่พันเก้าร้อยยี่เอ็ดล้านบาท)
และครั้งที่ 3 อันเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อระหว่างวันที่ 19-21 พฤษภาคม 2547 อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 8 ราย ครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า มีการทุจริต มีการหาประโยชน์ครั้งมโหฬารในโครงการ มูลค่าไม่น้อยกว่า 146,392 ล้านบาท (หนึ่งแสนสี่หมื่นหกพันสามร้อยเก้าสิบสองล้านบาท)
เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงทั้ง 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือพฤติกรรมแห่งการทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดมีขึ้นในรัฐบาลนี้ และอีกด้านก็คือ การทำหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์
และเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมแห่งการทุจริตส่วนหนึ่ง ในรัฐบาลนี้ที่ ฝ่ายค้าน“จับได้ไล่ทัน”แต่ก็ไม่เคยได้เห็นท่านนายกฯทักษิณดำเนินการเอาจริงเอาจังเพื่อหยุดยั้งรัฐมนตรีขี้โกงอย่างที่เคยพูดไว้แต่ประการใดทั้งสิ้น แถมยังแสดงอาการเยาะเย้ย ถากถางฝ่ายตรวจสอบด้วยความทนงในเสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จของตนเองและคณะเสียอีกด้วย
เราจะปล่อยให้พฤติกรรมการโกงเหล่านี้ ผ่านเลยไป และปล่อยให้คนโกงเสวยสุขบนความทุกข์ของประชาชนต่อไปกระนั้นหรือ? เราต้องไม่ยอม
ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ผมจึงขอประกาศว่า พรรคประชาธิปัตย์จะยืนหยัดมุ่งมั่นที่จะป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นทุกรูปแบบอย่างจริงจังด้วยนโยบายและมาตรการรื้อ-แก้ไข-ลงโทษ-ทวงคืน ดังนี้
1.ขึ้นบัญชีดำโครงการที่ไม่โปร่งใสเพื่อติดตามตรวจสอบ ยึดทรัพย์ เอาคนผิดเข้าคุก
พรรคประชาธิปัตย์จะใช้กลไกแห่งรัฐทุกกลไกเพื่อจัดการกับโครงการอันอื้อฉาวที่ได้ขึ้นบัญชีดำเอาไว้แล้วกว่า 20 โครงการ มูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท โดยจะรื้อเพื่อตรวจสอบใหม่ติดตามยึดทรัพย์สินจากพวกร่ำรวยโดยมิชอบมาพัฒนาชาติและนำเอาคนโกงมาลงโทษ
2.สนับสนุน ปปช.ภาคประชาชน
พรรคประชาธิปัตย์จะสนับสนุนองค์กรอิสระภาคประชาชนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น เช่น มูลนิธิหรือสมาคมต่างๆที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อจะช่วยให้องค์กรเหล่านี้ ได้มีความพร้อมทางด้านเงินอุดหนุนช่วยเหลือและมีความคล่องตัวในการทำงานคู่ขนานกันไปกับหน่วยงานของรัฐ
3.เร่งปฏิรูปและฟื้นฟูระบบสื่อเสรี
พรรคประชาธิปัตย์เล็งเห็นว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้นอย่างมากมายในทุกวันนี้ ก็เพราะการครอบงำสื่อ ทั้งโดยทางตรงและโดยอ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสื่อของรัฐ
การเปิดโอกาสให้สื่อสารมวลชนมีเสรีภาพในการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา โดยปราศจากการแทรกแซง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆจะมีผลต่อการช่วยป้องกันละปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นอีกด้วย ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ จึงไม่มีการครอบงำ คุกคาม หรือแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อสารมวลชนแต่ประการใด
4.แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น
พรรคประชาธิปัตย์จะผลักดันให้มีกฏหมายว่าด้วยการทำสัญญาของหน่วยงานภาครัฐขึ้นมาใหม่ โดยจะเสนอมาตรการป้องกันและมีบทลงโทษที่รุนแรงกับผู้กระทำความผิดไม่ว่าในฐานะตัวการหรือผู้สนับสนุน ทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายข้าราชการประจำ และเอกชน เพื่อให้เกิดความเกรงกลัว เข็ดหลาบ ไม่กล้าสมคบกันเบียดบังผลประโยชน์ของชาติเป็นของตน
จะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการเสียใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดกรณีสมคบกันเสียค่าโง่อย่างที่เป็นอยู่
จะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองหุ้นของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และคู่สมรส รวมทั้งบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเพื่อป้องกันการตีความและเพื่อทำให้การใช้กฎหมายได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
5.แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันการครอบงำองค์กรอิสระ
ปัจจุบันกระบวนการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระแทบ
ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.)มักจะถูกครอบงำจากฝ่ายบริหารที่มีเสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เนื่องจากมีการกำหนดให้มีสัดส่วนตัวแทนของพรรคการเมืองร่วมอยู่ในกระบวนการสรรหาด้วย ทำให้ผลของการสรรหาขาดความสมดุล และนำไปสู่การแต่งตั้งบุคคลที่มีความโน้มเอียงไปในทางการเมือง ขาดความเป็นอิสระในการใช้ดุลยพินิจ วินิจฉัยในการทำหน้าที่ ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติและประชาชน
พรรคประชาธิปัตย์จึงเสนอให้ยกเลิกตัวแทนพรรคการเมืองในกระบวนสรรหาเพื่อให้การสรรหาได้ดำเนินการไปเพื่อประโยชน์ของการตรวจสอบอย่างแท้จริงไม่มีความโน้มเอียงไปในทางการเมือง
6.เพิ่มอำนาจหน้าที่และเพิ่มความพร้อมให้องค์กรอิสระเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ
องค์กรอิสระที่ทำหน้าที่เป็นองค์กรตรวจสอบ เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น จะทำหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพ นอกเหนือจากความมีอิสระอย่างแท้จริงแล้ว อำนาจหน้าที่ที่ครบถ้วนและความพร้อมของบุคลากรและทรัพยากรอื่นที่เกี่ยวข้องก็นับว่าเป็นสิ่งจำเป็น
การสนับสนุนส่งเสริมให้มีความพร้อมทุกด้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ให้ทันต่อการเพิ่มขึ้นของการทุจริตคอรัปชั่น จึงเป็นเรื่องที่จะต้องกระทำอย่างจริงจังและเร่งด่วน ไม่ใช่การคิดจะตั้งหน่วยงานในสังกัดรัฐบาลขึ้นมาใหม่ โดยอ้างว่า เพื่อแบ่งเบาภาระของ ปปช.อย่างที่รัฐบาลคิดจะทำ
เพราะเท่ากับ ดึงอำนาจส่วนหนึ่งของการตรวจสอบที่มีบทสรุปแล้ว ว่า ควรจะมีความเป็นอิสระจึงจะมีประสิทธิภาพ กลับคืนไปสู่ความไม่มีอิสระอีกครั้งหนึ่ง อันเป็นความคิดเก่าย้อนยุค และแฝงเร้นไว้ด้วยความมุ่งหมายที่จะเสริมสร้างอำนาจเบ็ดเสร็จให้แก่ฝ่ายบริหารอีกนั่นเอง ซึ่งไม่ใช่ระบบที่ถูกต้องอย่างแน่นอน
พี่น้องทั้งหลายครับ
เมื่อเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า การทุจริตคอรัปชั่นกำลังแพร่ระบาดขนาดหนัก
ผลประโยชน์ชาติ และประโยชน์ประชาชนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต กำลังถูกฉกฉวยเอาไปเป็นของคนบางคนและบางกลุ่ม ด้วยพฤติกรรมของการทุจริตคอรัปชั่นทั้งที่ผิดกฎหมายและทั้งที่ทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายภายใต้รูปแบบการทำใหม่ที่สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน ซ่อนปม เป็นเครือข่ายใหญ่โตกว้างขวางมากยิ่งขึ้นทุกที และมีปริมาณเงินจำนวนมหาศาล ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ก็จะกลายพันธุ์เป็นมะเร็งร้ายที่จะนำประเทศชาติของเราไปสู่ความหายนะ จึงมีแต่การชิงตัดเนื้อร้ายทิ้งอย่างทันทีทันควันเท่านั้นที่จะหลีกเลี่ยงความหายนะนี้ได้
พรรคประชาธิปัตย์จึงขอเสนอนโยบายและมาตรการรื้อ-แก้ไข-ลงโทษ-ทวงคืน เพื่อร่วมกันตัดเนื้อร้ายทิ้ง
พี่น้องทั้งหลายครับ
ถึงเวลาแล้วที่จะต้องร่วมทวงผลประโยชน์ชาติและผลประโยชน์ของประชาชนที่ถูกฉกฉวยไปคืนมา
ถึงเวลาแล้ว พี่น้องครับ ที่จะต้องร่วมทวงคืนประเทศไทย
พบกันใหม่ครับ สวัสดี
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 ก.ย. 2547--จบ--
-ดท-