แท็ก
ครม.
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ก.คลังปฏิเสธข่าวการปรับลดวงเงินลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ รมว.คลัง กล่าวปฏิเสธ
กระแสข่าวเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ให้เหลือเพียง 1.56 ล้านล้านบาทว่า ขอยืนยัน
ว่าแผนการลงทุนทั้งหมดจะยึดตามกรอบเดิมที่ 1.7 ล้านล้านบาท ตามที่ ครม.อนุมัติก่อนหน้านี้ โดยที่ผ่านมา ก.คลังไม่
เคยมีการปรับลดตัวเลขวงเงินลงทุนลง มีเพียงสั่งการให้จำแนกโครงการเป็น โครงการเดิมและโครงการใหม่ หรือ
เป็นโครงการที่ใช้เงิน งปม.ปกติ หรือใช้งบลงทุนพิเศษ อย่างไรก็ตาม จะมีการเชิญนักวิชาการมาหารือว่า มีการ
ศึกษาที่มีสมมติฐานต่างจาก ก.คลังอย่างไร และจะชี้แจงถึงสมมติฐานของภาครัฐ ซึ่งคำนึงถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
เป็นอันดับแรก โดยกำหนดเป้าหมายว่า หากการลงทุนทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากกว่า 2.5% ของจีดีพี จะ
ทบทวนแผนการลงทุนทันที (ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, ไทยโพสต์)
2. ภาวะการแข่งขันด้านสินเชื่อในระบบ ธพ.มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผู้สื่อข่าวรายงานจากงานสัมมนา
วิชาการประจำปี 2548 ของ ธปท. ในหัวข้อ “ความท้าทายของ ธพ.ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทาง
เศรษฐกิจและการเงิน” โดยเศรษฐกร ของ ธปท. ว่า ในอนาคตการแข่งขันในระบบสินเชื่อโดยรวมจะมากขึ้น แต่จะ
ทำให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยเข้าถึงเงินทุนได้มากขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงที่เศรษฐกิจการเงินโลกมีความไม่สมดุล ถือเป็น
ความท้าทายของ ธพ.ในช่วงต่อไป และประเด็นที่จะสร้างความเสี่ยงในการทำงานของ ธพ.คือ อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่ม
ขึ้น และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)ที่อาจสูงขึ้น สำหรับฐานะการดำเนินงานของ ธพ.ในช่วง 4-5 ปีข้าง
หน้า จะดีขึ้นต่อเนื่อง แต่จะต้องปรับตัวมากพอควรเพื่อความอยู่รอด นอกจากนี้ ธพ.ยังมีโอกาสในการปล่อยสินเชื่อให้
กับโครงการลงทุนในสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ และการลงทุนให้บริการและการเป็นที่ปรึกษา รวมถึงสินเชื่อเพื่อที่
อยู่อาศัยน่าจะเป็นสินเชื่อที่ขยายตัวดีในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า เนื่องจากความต้องการบ้านมีมากขึ้น (โลกวันนี้)
3. ผลการดำเนินงานของ บจ.ในช่วงครึ่งแรกปี 48 มีกำไรสุทธิรวม 2.5 แสน ล.บาท นายสุทธิ
ชัย จิตรวาณิช รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนประจำงวด 6 เดือน
สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย.48 ว่า บริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (MAI) ได้นำ
ส่งงบการเงินแล้วจำนวน 458 บริษัท หรือคิดเป็น 95% จากบริษัทจดทะเบียนทั้งสิ้น 480 บริษัท โดยในส่วนของบริษัท
จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่นำส่งงบแล้ว 432 บริษัทจากทั้งหมด 454 บริษัท มียอดขายรวม 2,198,733 ล.
บาท เพิ่มขึ้น 23% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวม 248,333 ล.บาท เพิ่มขึ้น 22% จากงวดเดียวกัน
ของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 203,951 ล.บาท สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ที่ส่งงบการเงินครบ
ทั้ง 26 บริษัท มียอดขายรวม 8.678 ล.บาท เพิ่มขึ้น 28% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวม 551 ล.
บาท เพิ่มขึ้น 18% จากงวดปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 467 ล.บาท สำหรับบริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ
ปตท., ปูนซิเมนต์ไทย, ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.), แอดวานซ์อินโฟร์เซอร์วิส และ
ไทยออยล์ (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
4. ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 48 มีแนวโน้มที่ดี กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์
จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 48 ตลาดหุ้นไทยยังคง
แกว่งตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่ปัจจัยบวกที่จะเข้ามาสนับ
สนุนตลาดยังไม่ชัดเจน ซึ่งนักลงทุนสถาบันยังคงจับตาการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2 ที่ ธปท.เตรียม
ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่าทิศทางจะเป็นอย่างไร เพราะส่วนใหญ่นักลงทุนยังคงมีความกังวลกับแนวโน้ม
เศรษฐกิจในไตรมาสสอง และปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งหากตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 2 เริ่มฟื้นตัวขึ้น
เชื่อว่าจะเป็นการส่งสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมการลงทุน ทั้งนี้ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะยังดีเพราะพื้น
ฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง เห็นได้จากการที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนยังสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
แม้ต้องประสบปัญหาหลายประการ เช่น ปัญหาราคาน้ำมัน และภัยแล้ง เป็นต้น (ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีราคาผู้ผลิตของ สรอ. ในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เทียบต่อเดือน รายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อ 17 ส.ค.48 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งทะยานสูงขึ้นในขณะนี้ส่งผลให้ ดัชนีราคาผู้
ผลิตของ สรอ.ในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของที่นักเศรษฐศาสตร์วอลล์สตรีทคาดคะเนไว้ก่อนหน้านี้ โดย
เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับร้อยละ 1.0 เทียบต่อเดือน เนื่องจากราคาพลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุด
ตั้งแต่ ต.ค. 47 ในขณะที่ราคาอาหารสำเร็จรูปลดลงร้อยละ 0.3 แต่หากไม่นับรวมราคาอาหารและพลังงาน (ดัชนี
ราคาผู้ผลิตพื้นฐาน) จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ส่งผลให้เกิดความกังวลด้านภาวะเงินเฟ้อในอนาคตอย่างฉับพลัน ก่อนหน้า
นี้นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตโดยรวมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 และดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐานจะ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ทั้งนี้ สาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐานเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคารถยนต์ และ SUVs
(Sport Utility Verhicles) ในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 และ 1.4 ตามลำดับ และหากไม่นับราคา
รถยนต์ดังกล่าว ดัชนีผู้ผลิตพื้นฐานเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 (รอยเตอร์)
2. ความต้องการน้ำมันดิบของ สรอ.ในเดือน ก.ค.48 ลดลงมากที่สุดในรอบมากกว่า 3 ปี รายงาน
จากวอชิงตัน เมื่อ 17 ส.ค.48 The American Petroleum Institute (API) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบโดย
รวม และ ความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันในเดือน ก.ค.48 ลดลงร้อยละ 3.0 จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุด
ในรอบมากกว่า 3 ปี โดยการส่งมอบผลิตภัณฑ์น้ำมันโดยเฉลี่ยในเดือน ก.ค.48 มีจำนวน 20.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ลดลงจำนวน 625,000 บาร์เรลต่อวัน และหากเทียบทั้งปีจนถึงปัจจุบันปริมาณความต้องการน้ำมันโดยรวมลดลงร้อย
ละ 0.8 อนึ่ง ตัวเลขการส่งมอบผลิตภัณฑ์น้ำมัน (ซึ่งชี้วัดถึงความต้องการน้ำมัน) ที่คำนวณโดย API สะท้อนให้เห็นถึง
ผลผลิตน้ำมันที่เคลื่อนย้ายจากโรงกลั่นและคลังน้ำมันขนาดใหญ่ไปยังผู้ค้าปลีกและค้าส่ง ทั้งนี้ ความต้องการ
residual fuel ในเดือน ก.ค.48 ลดลงร้อยละ 27.1 ขณะที่ความต้องการ jet fuel เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 เมื่อ
เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การเพิ่มขึ้นของราคาขายปลีกส่งผลให้ความต้องการใช้แก๊สโซลีนในเดือน ก.ค.48
ลดลงร้อยละ 0.8 หรือเกือบ 9.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ 7 เดือนแรกของปี 48 ความต้องการแก๊สโซลีนเพิ่มขึ้น
เกือบร้อยละ 0.2 สำหรับด้านอุปทานน้ำมันนั้น ในเดือน ก.ค.48 มีการนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ที่จำนวน
10.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปลดลงร้อยละ 7.0 ที่จำนวน 3.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็
ตาม ผลผลิตน้ำมันดิบของ สรอ.ในเดือน ก.ค.48 ลดลงประมาณ 5.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือร้อยละ 5.1 (รอยเตอร์)
3. อัตราคนว่างงานของอังกฤษเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 6 รายงานจากกรุงลอนดอน
ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 17 ส.ค.48 สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษ เปิดเผยว่า จำนวนคนอังกฤษที่ว่างงานและขอ
รับความช่วยเหลือจากรัฐในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้น 2,800 คน เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 7,100 คน ในเดือน มิ.ย.48
และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 7,300 คน อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือน
ที่ 6 และเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2535 ทั้งนี้ อัตราการว่างงาน
ของอังกฤษคงที่อยู่ที่ระดับร้อยละ 2.8 ในขณะที่ปัจจุบันยังมีคนว่างงานมากกว่า 52,200 คน ที่กำลังขอรับความช่วย
เหลือจากรัฐนับตั้งแต่เดือน ม.ค.48 ทำให้มียอดรวมคนว่างงานทั้งสิ้น 866,000 คน ด้าน ผู้ว่าการ ธ.กลาง
อังกฤษ กล่าวว่า ตลาดแรงงานชะลอตัวเนื่องจากมีคนว่างงานเพิ่มขึ้นและจำนวนชั่วโมงทำงานลดต่ำลง ส่วนนัก
เศรษฐศาสตร์กล่าวว่าอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีความเชื่อมโยงกับยอดการค้าปลีกที่ซบเซา
และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินอาจจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ลงอีกครั้ง (รอยเตอร์)
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ราย
งานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 48 รัฐบาลมาเลเซียเปิดเผยว่า ในเดือนก.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภค
(Consumer Price Index CPI )เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.0 ชะลอลงจากเดือนมิ.ย. ที่เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 3.2 สูงสุดในรอบ 6 ปีครึ่งนับตั้งแต่เดือนก.พ. 42 ที่ CPI เคยเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 3.8 อย่างไรก็
ตามนักวิเคราะห์เชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของ CPI ดังกล่าวเป็นการสูงขึ้นชั่วคราวเนื่องจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นส่งผลให้
ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ราคาเครื่องดื่มและยาสูบเพิ่มขึ้นสูงสุดในจำนวนส่วนประกอบที่ใช้คำนวณ CPI
โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6 เนื่องจากรัฐบาลขึ้นภาษีสรรพสามิตจากสินค้าดังกล่าวเมื่อเดือนก.ย. ปีที่แล้ว ขณะที่ราคา
อาหารและค่าขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 และร้อยละ 3.0 จากช่วงเดียวกันปีก่อนตามลำดับ(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 18 ส.ค. 48 17 ส.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.27 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.0489/41.3396 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.82194 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 667.49/ 12.21 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,550/8,650 8,600/8,700 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 55.08 57.75 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 26.14*/22.99* 26.14*/22.99* 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 11 ส.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ก.คลังปฏิเสธข่าวการปรับลดวงเงินลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ รมว.คลัง กล่าวปฏิเสธ
กระแสข่าวเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ให้เหลือเพียง 1.56 ล้านล้านบาทว่า ขอยืนยัน
ว่าแผนการลงทุนทั้งหมดจะยึดตามกรอบเดิมที่ 1.7 ล้านล้านบาท ตามที่ ครม.อนุมัติก่อนหน้านี้ โดยที่ผ่านมา ก.คลังไม่
เคยมีการปรับลดตัวเลขวงเงินลงทุนลง มีเพียงสั่งการให้จำแนกโครงการเป็น โครงการเดิมและโครงการใหม่ หรือ
เป็นโครงการที่ใช้เงิน งปม.ปกติ หรือใช้งบลงทุนพิเศษ อย่างไรก็ตาม จะมีการเชิญนักวิชาการมาหารือว่า มีการ
ศึกษาที่มีสมมติฐานต่างจาก ก.คลังอย่างไร และจะชี้แจงถึงสมมติฐานของภาครัฐ ซึ่งคำนึงถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
เป็นอันดับแรก โดยกำหนดเป้าหมายว่า หากการลงทุนทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากกว่า 2.5% ของจีดีพี จะ
ทบทวนแผนการลงทุนทันที (ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, ไทยโพสต์)
2. ภาวะการแข่งขันด้านสินเชื่อในระบบ ธพ.มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผู้สื่อข่าวรายงานจากงานสัมมนา
วิชาการประจำปี 2548 ของ ธปท. ในหัวข้อ “ความท้าทายของ ธพ.ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทาง
เศรษฐกิจและการเงิน” โดยเศรษฐกร ของ ธปท. ว่า ในอนาคตการแข่งขันในระบบสินเชื่อโดยรวมจะมากขึ้น แต่จะ
ทำให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยเข้าถึงเงินทุนได้มากขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงที่เศรษฐกิจการเงินโลกมีความไม่สมดุล ถือเป็น
ความท้าทายของ ธพ.ในช่วงต่อไป และประเด็นที่จะสร้างความเสี่ยงในการทำงานของ ธพ.คือ อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่ม
ขึ้น และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)ที่อาจสูงขึ้น สำหรับฐานะการดำเนินงานของ ธพ.ในช่วง 4-5 ปีข้าง
หน้า จะดีขึ้นต่อเนื่อง แต่จะต้องปรับตัวมากพอควรเพื่อความอยู่รอด นอกจากนี้ ธพ.ยังมีโอกาสในการปล่อยสินเชื่อให้
กับโครงการลงทุนในสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ และการลงทุนให้บริการและการเป็นที่ปรึกษา รวมถึงสินเชื่อเพื่อที่
อยู่อาศัยน่าจะเป็นสินเชื่อที่ขยายตัวดีในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า เนื่องจากความต้องการบ้านมีมากขึ้น (โลกวันนี้)
3. ผลการดำเนินงานของ บจ.ในช่วงครึ่งแรกปี 48 มีกำไรสุทธิรวม 2.5 แสน ล.บาท นายสุทธิ
ชัย จิตรวาณิช รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนประจำงวด 6 เดือน
สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย.48 ว่า บริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (MAI) ได้นำ
ส่งงบการเงินแล้วจำนวน 458 บริษัท หรือคิดเป็น 95% จากบริษัทจดทะเบียนทั้งสิ้น 480 บริษัท โดยในส่วนของบริษัท
จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่นำส่งงบแล้ว 432 บริษัทจากทั้งหมด 454 บริษัท มียอดขายรวม 2,198,733 ล.
บาท เพิ่มขึ้น 23% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวม 248,333 ล.บาท เพิ่มขึ้น 22% จากงวดเดียวกัน
ของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 203,951 ล.บาท สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ที่ส่งงบการเงินครบ
ทั้ง 26 บริษัท มียอดขายรวม 8.678 ล.บาท เพิ่มขึ้น 28% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวม 551 ล.
บาท เพิ่มขึ้น 18% จากงวดปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 467 ล.บาท สำหรับบริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ
ปตท., ปูนซิเมนต์ไทย, ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.), แอดวานซ์อินโฟร์เซอร์วิส และ
ไทยออยล์ (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
4. ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 48 มีแนวโน้มที่ดี กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์
จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 48 ตลาดหุ้นไทยยังคง
แกว่งตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่ปัจจัยบวกที่จะเข้ามาสนับ
สนุนตลาดยังไม่ชัดเจน ซึ่งนักลงทุนสถาบันยังคงจับตาการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2 ที่ ธปท.เตรียม
ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่าทิศทางจะเป็นอย่างไร เพราะส่วนใหญ่นักลงทุนยังคงมีความกังวลกับแนวโน้ม
เศรษฐกิจในไตรมาสสอง และปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งหากตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 2 เริ่มฟื้นตัวขึ้น
เชื่อว่าจะเป็นการส่งสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมการลงทุน ทั้งนี้ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะยังดีเพราะพื้น
ฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง เห็นได้จากการที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนยังสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
แม้ต้องประสบปัญหาหลายประการ เช่น ปัญหาราคาน้ำมัน และภัยแล้ง เป็นต้น (ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีราคาผู้ผลิตของ สรอ. ในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เทียบต่อเดือน รายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อ 17 ส.ค.48 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งทะยานสูงขึ้นในขณะนี้ส่งผลให้ ดัชนีราคาผู้
ผลิตของ สรอ.ในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของที่นักเศรษฐศาสตร์วอลล์สตรีทคาดคะเนไว้ก่อนหน้านี้ โดย
เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับร้อยละ 1.0 เทียบต่อเดือน เนื่องจากราคาพลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุด
ตั้งแต่ ต.ค. 47 ในขณะที่ราคาอาหารสำเร็จรูปลดลงร้อยละ 0.3 แต่หากไม่นับรวมราคาอาหารและพลังงาน (ดัชนี
ราคาผู้ผลิตพื้นฐาน) จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ส่งผลให้เกิดความกังวลด้านภาวะเงินเฟ้อในอนาคตอย่างฉับพลัน ก่อนหน้า
นี้นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตโดยรวมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 และดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐานจะ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ทั้งนี้ สาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐานเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคารถยนต์ และ SUVs
(Sport Utility Verhicles) ในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 และ 1.4 ตามลำดับ และหากไม่นับราคา
รถยนต์ดังกล่าว ดัชนีผู้ผลิตพื้นฐานเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 (รอยเตอร์)
2. ความต้องการน้ำมันดิบของ สรอ.ในเดือน ก.ค.48 ลดลงมากที่สุดในรอบมากกว่า 3 ปี รายงาน
จากวอชิงตัน เมื่อ 17 ส.ค.48 The American Petroleum Institute (API) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบโดย
รวม และ ความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันในเดือน ก.ค.48 ลดลงร้อยละ 3.0 จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุด
ในรอบมากกว่า 3 ปี โดยการส่งมอบผลิตภัณฑ์น้ำมันโดยเฉลี่ยในเดือน ก.ค.48 มีจำนวน 20.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ลดลงจำนวน 625,000 บาร์เรลต่อวัน และหากเทียบทั้งปีจนถึงปัจจุบันปริมาณความต้องการน้ำมันโดยรวมลดลงร้อย
ละ 0.8 อนึ่ง ตัวเลขการส่งมอบผลิตภัณฑ์น้ำมัน (ซึ่งชี้วัดถึงความต้องการน้ำมัน) ที่คำนวณโดย API สะท้อนให้เห็นถึง
ผลผลิตน้ำมันที่เคลื่อนย้ายจากโรงกลั่นและคลังน้ำมันขนาดใหญ่ไปยังผู้ค้าปลีกและค้าส่ง ทั้งนี้ ความต้องการ
residual fuel ในเดือน ก.ค.48 ลดลงร้อยละ 27.1 ขณะที่ความต้องการ jet fuel เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 เมื่อ
เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การเพิ่มขึ้นของราคาขายปลีกส่งผลให้ความต้องการใช้แก๊สโซลีนในเดือน ก.ค.48
ลดลงร้อยละ 0.8 หรือเกือบ 9.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ 7 เดือนแรกของปี 48 ความต้องการแก๊สโซลีนเพิ่มขึ้น
เกือบร้อยละ 0.2 สำหรับด้านอุปทานน้ำมันนั้น ในเดือน ก.ค.48 มีการนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ที่จำนวน
10.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปลดลงร้อยละ 7.0 ที่จำนวน 3.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็
ตาม ผลผลิตน้ำมันดิบของ สรอ.ในเดือน ก.ค.48 ลดลงประมาณ 5.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือร้อยละ 5.1 (รอยเตอร์)
3. อัตราคนว่างงานของอังกฤษเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 6 รายงานจากกรุงลอนดอน
ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 17 ส.ค.48 สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษ เปิดเผยว่า จำนวนคนอังกฤษที่ว่างงานและขอ
รับความช่วยเหลือจากรัฐในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้น 2,800 คน เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 7,100 คน ในเดือน มิ.ย.48
และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 7,300 คน อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือน
ที่ 6 และเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2535 ทั้งนี้ อัตราการว่างงาน
ของอังกฤษคงที่อยู่ที่ระดับร้อยละ 2.8 ในขณะที่ปัจจุบันยังมีคนว่างงานมากกว่า 52,200 คน ที่กำลังขอรับความช่วย
เหลือจากรัฐนับตั้งแต่เดือน ม.ค.48 ทำให้มียอดรวมคนว่างงานทั้งสิ้น 866,000 คน ด้าน ผู้ว่าการ ธ.กลาง
อังกฤษ กล่าวว่า ตลาดแรงงานชะลอตัวเนื่องจากมีคนว่างงานเพิ่มขึ้นและจำนวนชั่วโมงทำงานลดต่ำลง ส่วนนัก
เศรษฐศาสตร์กล่าวว่าอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีความเชื่อมโยงกับยอดการค้าปลีกที่ซบเซา
และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินอาจจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ลงอีกครั้ง (รอยเตอร์)
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ราย
งานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 48 รัฐบาลมาเลเซียเปิดเผยว่า ในเดือนก.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภค
(Consumer Price Index CPI )เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.0 ชะลอลงจากเดือนมิ.ย. ที่เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 3.2 สูงสุดในรอบ 6 ปีครึ่งนับตั้งแต่เดือนก.พ. 42 ที่ CPI เคยเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 3.8 อย่างไรก็
ตามนักวิเคราะห์เชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของ CPI ดังกล่าวเป็นการสูงขึ้นชั่วคราวเนื่องจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นส่งผลให้
ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ราคาเครื่องดื่มและยาสูบเพิ่มขึ้นสูงสุดในจำนวนส่วนประกอบที่ใช้คำนวณ CPI
โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6 เนื่องจากรัฐบาลขึ้นภาษีสรรพสามิตจากสินค้าดังกล่าวเมื่อเดือนก.ย. ปีที่แล้ว ขณะที่ราคา
อาหารและค่าขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 และร้อยละ 3.0 จากช่วงเดียวกันปีก่อนตามลำดับ(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 18 ส.ค. 48 17 ส.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.27 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.0489/41.3396 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.82194 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 667.49/ 12.21 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,550/8,650 8,600/8,700 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 55.08 57.75 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 26.14*/22.99* 26.14*/22.99* 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 11 ส.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--