"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ชี้ 3 สถานการณ์ต้นเหตุสู่การปรับ “ครม.ทักษิณ 10” เหตุเพราะ “นายกรัฐมนตรี” ปรับแค่ตำแหน่ง -ไม่ทำตามที่ประกาศไว้ “แนะ”รัฐบาลหาวิธีเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหา พร้อมย้ำรัฐบาลมีเวลาอีก 3 เดือน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘ข่าวยามเช้า’ ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 เมกะเฮิร์ท ถึงการปรับคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 10 ในรัฐบาลชุดนี้ หรือ “ครม.ทักษิณ 10” ว่า เรื่องดังกล่าวมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก และการปรับครั้งนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับ 3 ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ คือ สถานการณ์ไข้หวัดนก ปัญหาชายแดนภาคใต้ และการทำสงครามกับการคอร์รัปชั่น ซึ่งปัญหาทั้งหมดยังเป็นเรื่องที่เรื้อรังมาจนถึงขณะนี้
นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวถึง กรณีของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า รัฐบาลได้มีการปรับเปลี่ยนบุคลากรอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหาในพื้นที่ โดยที่ไม่มองถึงนโยบาย และ แนวทางในการแก้ไขปัญหาซึ่งตนได้ย้ำมาตลอดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกับตัวบุคลากร ขณะนี้รัฐบาลเริ่มมองเห็นความสำคัญในเรื่องของการประสานงานที่ทำงานในด้านมวลชนสัมพันธ์มากขึ้น แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นใน 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องของการใช้อำนาจอันเป็นที่มาของความเสื่อมถอยของความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับรัฐบาล ดังนั้นการย้อนกับมาในทิศทางที่เน้นเรื่องของมวลชนสัมพันธ์ถือว่าถูกต้อง แต่รัฐบาลต้องคิดเพิ่มขึ้นโดยการดึงให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
รองหน.พรรคปชป. กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนตัวบุคคลกับนโยบายอาจจะไม่เพียงพอ รัฐบาลต้องหาวิธีเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า รัฐบาลมีเวลาอีก 3 เดือน หากต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของแนวโน้มของสถานการณ์ ต้องเร่งรัดในการทำงานและการปรับเปลี่ยนนโยบายให้มีความชัดเจน‘ต้องดูว่าบุคคลที่เป็นอุปสรรคในการทำงานยังอยู่หรือไม่ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า มันมีการเชื่อมโยงอยู่ในกลุ่มบุคคล รัฐบาลต้องทราบ เพราะรัฐบาลเองเคยมีการดำเนินการในทางกฎหมายกับคนในรัฐบาล ดังนั้นโจทย์ตรงนี้จึงเป็นการตั้งคำถามรัฐบาลว่าเรื่องดังกล่าวหมดไปหรือยัง’รองหน.พรรคปชป. กล่าว
สำหรับประเด็นในเรื่องของสถานการณ์ไข้หวัดนก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนบุคคลทั้งในกระทรวงเกษตรฯ และ กระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้เป็นประเด็นหลักของการแก้ไขปัญหา ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนโยบายในการดำเนินการต้องมีความชัดเจน เพราะความผิด่พลาดในเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากการปกปิดข้อมูล เพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก และรัฐบาลกลัวจะเกิดผลกระทบในเรื่องต่างๆ สุดท้ายการปกปิดก็ทำให้การควบคุมสถานการณ์ทำได้ยาก อีกทั้งวันนี้ยังไม่มีใครเชื่อถือข้อมูลที่ได้ประกาศออกมาทำให้เกิดความสับสนกันใหญ่
‘สิ่งที่จะต้องมีความชัดเจน คือต้องเปลี่ยนมาเป็นแนวทางที่มีความโปร่งใสที่สุด การยอมรับความจริงเป็นนโยบายที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้นบุคลากรที่เข้ามาบางส่วนของทีมใหม่ที่มาทดแทนนั้น ถ้ามีความชัดเจนตรงนี้ก็จะช่วยสถานการณ์ แต่ถ้ามีแต่ความอึ้มครึม เหมือนเดิม ตนคิดว่าการแก้ไขด้านตัวบุคคลอาจจะยังไม่ได้เป็นคำตอบ’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ในส่วนของประเด็นของการปรับครม.ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการทำสงครามคอร์รัปชั่นนั้น รองหน.พรรคปชป. กล่าวว่า ถ้าเกิดเป็นไปตามที่สื่อได้นำเสนอข่าว การปรับคณะรัฐมนตรี จะเป็นมาตรการที่นายกรัฐมนตรีใช้กับการทำสงครามกับการคอร์รัปชั่นของบุคคลในส่วนของรัฐบาล ซึ่งบางกระทรวงที่มีเรื่องอื้อฉาวก็ยังไม่มีการดำเนินการให้มีความชัดเจน แต่ถ้าไม่ใช่บุคคลในส่วนของรัฐบาล ทั้ง ป.ป.ช. และ ป.ป.ง. จะมีการดำเนินการที่รวดเร็ว ตรงนี้ตนจึงไม่แน่ใจว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะยอมรับหรือไม่ว่าการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชั่น ซึ่งบทสรุปทั้งหมดอยู่ที่ท่านนายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว ‘นายรัฐมนตรีประกาศจะนำเงินสะอาดมาปราบคอร์รัปชั่น การกระทำดังกล่าวไม่ใช่คำตอบ ปัญหาคอร์รัปชั่นเงินเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งตนเชื่อว่าในประเทศไทยคนจนจำนวนมากมายมหาศาลเป็นคนซื่อสัตย์ แต่คนรวยล้นฟ้า ยังโลภ ยังโกงกันอยู่ อีกทั้งยังต้องมาถกเถียงกันต่อว่าเงินสะอาดเป็นของใคร ได้มาอย่างไร ต้นเหตุจริงๆของการคอร์รัปชั่น คือ ทัศนคติ ถ้าเอาเงินเป็นตัวตั้งปัญหาการทุจริตไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ จึงอยากจะย้ำว่าสงครามกับคอร์รัปชั่น ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งนับรวมไปถึงเรื่องที่มีการปรับครม.ล่าสุด’รองหน.พรรคปชป.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงการปรับครม.ครั้งนี้ว่ารัฐบาลต้องการสร้างภาพพจน์ที่ดีขึ้นสวนกระแสขาลง และรองรับการเลือกตั้ง คิดว่าเวลาที่เหลือทางรัฐบาลจะทำได้สำเร็จหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นเรื่องของการทำงานมากกว่า อีกทั้งภาพลักษณ์ของรัฐบาลชุดนี้ส่วนใหญ่ผูกติดอยู่นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะไม่ค่อยเห็นรัฐมนตรีคนใดมีบทบาทโดดเด่นขึ้นมา โดยเฉพาะถ้าโดดเด่นและไม่อิงกับท่านนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่ารัฐมนตรีภาพไม่ดี ต้องถามกับท่านนายกรัฐมนตรีว่า เด็ดขาดกับคนเหล่านี้หรือยัง
ผู้สื่อข่าวยังถามต่อถึงกรณีกระแสะข่าวที่ระบุว่า นายกฯจะควบตำแหน่งรมว.กลาโหม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีคงต้องการที่จะแก้ไขปัญหา แต่ตนคิดว่าตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่ควบ เพราะว่าความผิดพลาดจะพุ่งไปที่นายกรัฐมนตรีมากเกินไปทำให้เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘ข่าวยามเช้า’ ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 เมกะเฮิร์ท ถึงการปรับคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 10 ในรัฐบาลชุดนี้ หรือ “ครม.ทักษิณ 10” ว่า เรื่องดังกล่าวมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก และการปรับครั้งนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับ 3 ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ คือ สถานการณ์ไข้หวัดนก ปัญหาชายแดนภาคใต้ และการทำสงครามกับการคอร์รัปชั่น ซึ่งปัญหาทั้งหมดยังเป็นเรื่องที่เรื้อรังมาจนถึงขณะนี้
นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวถึง กรณีของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า รัฐบาลได้มีการปรับเปลี่ยนบุคลากรอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหาในพื้นที่ โดยที่ไม่มองถึงนโยบาย และ แนวทางในการแก้ไขปัญหาซึ่งตนได้ย้ำมาตลอดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกับตัวบุคลากร ขณะนี้รัฐบาลเริ่มมองเห็นความสำคัญในเรื่องของการประสานงานที่ทำงานในด้านมวลชนสัมพันธ์มากขึ้น แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นใน 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องของการใช้อำนาจอันเป็นที่มาของความเสื่อมถอยของความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับรัฐบาล ดังนั้นการย้อนกับมาในทิศทางที่เน้นเรื่องของมวลชนสัมพันธ์ถือว่าถูกต้อง แต่รัฐบาลต้องคิดเพิ่มขึ้นโดยการดึงให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
รองหน.พรรคปชป. กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนตัวบุคคลกับนโยบายอาจจะไม่เพียงพอ รัฐบาลต้องหาวิธีเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า รัฐบาลมีเวลาอีก 3 เดือน หากต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของแนวโน้มของสถานการณ์ ต้องเร่งรัดในการทำงานและการปรับเปลี่ยนนโยบายให้มีความชัดเจน‘ต้องดูว่าบุคคลที่เป็นอุปสรรคในการทำงานยังอยู่หรือไม่ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า มันมีการเชื่อมโยงอยู่ในกลุ่มบุคคล รัฐบาลต้องทราบ เพราะรัฐบาลเองเคยมีการดำเนินการในทางกฎหมายกับคนในรัฐบาล ดังนั้นโจทย์ตรงนี้จึงเป็นการตั้งคำถามรัฐบาลว่าเรื่องดังกล่าวหมดไปหรือยัง’รองหน.พรรคปชป. กล่าว
สำหรับประเด็นในเรื่องของสถานการณ์ไข้หวัดนก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนบุคคลทั้งในกระทรวงเกษตรฯ และ กระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้เป็นประเด็นหลักของการแก้ไขปัญหา ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนโยบายในการดำเนินการต้องมีความชัดเจน เพราะความผิด่พลาดในเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากการปกปิดข้อมูล เพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก และรัฐบาลกลัวจะเกิดผลกระทบในเรื่องต่างๆ สุดท้ายการปกปิดก็ทำให้การควบคุมสถานการณ์ทำได้ยาก อีกทั้งวันนี้ยังไม่มีใครเชื่อถือข้อมูลที่ได้ประกาศออกมาทำให้เกิดความสับสนกันใหญ่
‘สิ่งที่จะต้องมีความชัดเจน คือต้องเปลี่ยนมาเป็นแนวทางที่มีความโปร่งใสที่สุด การยอมรับความจริงเป็นนโยบายที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้นบุคลากรที่เข้ามาบางส่วนของทีมใหม่ที่มาทดแทนนั้น ถ้ามีความชัดเจนตรงนี้ก็จะช่วยสถานการณ์ แต่ถ้ามีแต่ความอึ้มครึม เหมือนเดิม ตนคิดว่าการแก้ไขด้านตัวบุคคลอาจจะยังไม่ได้เป็นคำตอบ’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ในส่วนของประเด็นของการปรับครม.ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการทำสงครามคอร์รัปชั่นนั้น รองหน.พรรคปชป. กล่าวว่า ถ้าเกิดเป็นไปตามที่สื่อได้นำเสนอข่าว การปรับคณะรัฐมนตรี จะเป็นมาตรการที่นายกรัฐมนตรีใช้กับการทำสงครามกับการคอร์รัปชั่นของบุคคลในส่วนของรัฐบาล ซึ่งบางกระทรวงที่มีเรื่องอื้อฉาวก็ยังไม่มีการดำเนินการให้มีความชัดเจน แต่ถ้าไม่ใช่บุคคลในส่วนของรัฐบาล ทั้ง ป.ป.ช. และ ป.ป.ง. จะมีการดำเนินการที่รวดเร็ว ตรงนี้ตนจึงไม่แน่ใจว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะยอมรับหรือไม่ว่าการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชั่น ซึ่งบทสรุปทั้งหมดอยู่ที่ท่านนายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว ‘นายรัฐมนตรีประกาศจะนำเงินสะอาดมาปราบคอร์รัปชั่น การกระทำดังกล่าวไม่ใช่คำตอบ ปัญหาคอร์รัปชั่นเงินเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งตนเชื่อว่าในประเทศไทยคนจนจำนวนมากมายมหาศาลเป็นคนซื่อสัตย์ แต่คนรวยล้นฟ้า ยังโลภ ยังโกงกันอยู่ อีกทั้งยังต้องมาถกเถียงกันต่อว่าเงินสะอาดเป็นของใคร ได้มาอย่างไร ต้นเหตุจริงๆของการคอร์รัปชั่น คือ ทัศนคติ ถ้าเอาเงินเป็นตัวตั้งปัญหาการทุจริตไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ จึงอยากจะย้ำว่าสงครามกับคอร์รัปชั่น ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งนับรวมไปถึงเรื่องที่มีการปรับครม.ล่าสุด’รองหน.พรรคปชป.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงการปรับครม.ครั้งนี้ว่ารัฐบาลต้องการสร้างภาพพจน์ที่ดีขึ้นสวนกระแสขาลง และรองรับการเลือกตั้ง คิดว่าเวลาที่เหลือทางรัฐบาลจะทำได้สำเร็จหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นเรื่องของการทำงานมากกว่า อีกทั้งภาพลักษณ์ของรัฐบาลชุดนี้ส่วนใหญ่ผูกติดอยู่นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะไม่ค่อยเห็นรัฐมนตรีคนใดมีบทบาทโดดเด่นขึ้นมา โดยเฉพาะถ้าโดดเด่นและไม่อิงกับท่านนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่ารัฐมนตรีภาพไม่ดี ต้องถามกับท่านนายกรัฐมนตรีว่า เด็ดขาดกับคนเหล่านี้หรือยัง
ผู้สื่อข่าวยังถามต่อถึงกรณีกระแสะข่าวที่ระบุว่า นายกฯจะควบตำแหน่งรมว.กลาโหม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีคงต้องการที่จะแก้ไขปัญหา แต่ตนคิดว่าตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่ควบ เพราะว่าความผิดพลาดจะพุ่งไปที่นายกรัฐมนตรีมากเกินไปทำให้เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-