คุญหญิงกัลยา โสภณพานิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวถึงกรณีที่รัฐบาลไทยเตรียมเปิดการเจรจาข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศกับสหรัฐอเมริกา ( FTA ) รอบที่ 2 ซึ่งจะมีการเจรจาในวันที่ 11 — 15 ตุลาคม 2547 ที่ฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า ตนต้องการให้รัฐบาลยกเลิกการเจรจาเกี่ยวกับเรื่อง ทรัพย์สินทางปัญญา การเปิดการค้าเสรี และ มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ที่จะมีการเสนอประเด็นเหล่านี้ในการเจรจากับคณะผู้แทนเจรจาการค้าสหรัฐอเมริกา ก่อนที่การเจรจาดังกล่าวจะนำประเทศเข้าสู่ความยุ่งยาก เสียหาย และเกิดผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจไทยอย่างยาวนาน
ทั้งนี้การเจรจาดังกล่าว ประชาชนชาวไทย ยังไม่ทราบว่าผลของการเจราจาในครั้งนี้ ประเทศและคนไทยจะต้องรับภาระมีความผูกพันธ์ต่อสหรัฐอเมริกาอย่างไรบ้าง ซึ่งยังรวมไปถึงผู้แทนประชาชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ก็ยังไม่ทราบถึงแผนการดำเนินการเจรจาในครั้งนี้ว่าจะส่งผลอย่างไร เพราะรัฐบาลดำเนินการเรื่องดังกล่าวแบบเงียบๆ และเร่งรัดในข้อตกลง โดยที่ไม่มีการศึกษาวิจัยผลดี ผลเสีย และไม่มีการชี้แจงให้ประชาชนทราบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับของรัฐธรรมนูญ และรัฐสภา ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการกระทำดังกล่าวมีวาระซ่อนเร้น และ ผลประโยชน์ทับซ้อน
‘เป็นเรื่องที่สะท้อนถึงความไม่รอบคอบและบกพร่อง ลุกลี้ลุกลนในการตัดสินใจของรัฐบาลและคณะผู้เจรจาฝ่ายไทยในเรื่องนี้ กระแสสังคมไม่อาจให้ความไว้วางใจให้ดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปได้ อีกทั้งการนำเอาประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาไปเจรจา ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สุดของประเทศไทยจะส่งผลกระทบที่รุนแรงอย่างยาวนานต่อประเทศไทยและคนไทย เพราะไม่ได้ศึกษาวิจัยถึงผลดีผลเสีย และผลกระทบต่างๆอย่างเป็นระบบ และข้อเรียกร้องในประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ทางสหรัฐต้องการการนั้น หากปฏิบัติจริงจะเป็นการการตัดเส้นเลือดใหญ่ของประเทศไทยเลยทีเดียว เพราะสิ่งที่ตามมาคือ การเข้ามาผูกขาดกับปัจจัย 4 ที่จำเป็นของคนไทย ในที่สุดประเทศไทยก็ต้องตกเป็นทาส ในด้านการผลิตอาหาร ตกเป็นทาสที่ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์พืชจากต่างประเทศ’รองหน.พรรคปชป. กล่าว
รองหน.พรรคปชป. ยังกล่าวต่ออีกว่า รัฐบาลควรคืนประชาธิปไตย คืนสิทธิเสรีภาพ ให้ประชาชน ก่อนที่คนไทยทั้งประเทศ จะไม่ยอมรับในสิ่งที่รัฐบาลได้ทำ ถึงเวลาร่วมทวงคืนประเทศไทย เพราะว่าการดำเนินการครั้งนี้เป็นการทำลายประชาธิปไตย ทำลายเจตจำนงในการกำหนดชะตากรรม ของประชาชนคนไทย และสิทธิพลเมือง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-
ทั้งนี้การเจรจาดังกล่าว ประชาชนชาวไทย ยังไม่ทราบว่าผลของการเจราจาในครั้งนี้ ประเทศและคนไทยจะต้องรับภาระมีความผูกพันธ์ต่อสหรัฐอเมริกาอย่างไรบ้าง ซึ่งยังรวมไปถึงผู้แทนประชาชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ก็ยังไม่ทราบถึงแผนการดำเนินการเจรจาในครั้งนี้ว่าจะส่งผลอย่างไร เพราะรัฐบาลดำเนินการเรื่องดังกล่าวแบบเงียบๆ และเร่งรัดในข้อตกลง โดยที่ไม่มีการศึกษาวิจัยผลดี ผลเสีย และไม่มีการชี้แจงให้ประชาชนทราบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับของรัฐธรรมนูญ และรัฐสภา ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการกระทำดังกล่าวมีวาระซ่อนเร้น และ ผลประโยชน์ทับซ้อน
‘เป็นเรื่องที่สะท้อนถึงความไม่รอบคอบและบกพร่อง ลุกลี้ลุกลนในการตัดสินใจของรัฐบาลและคณะผู้เจรจาฝ่ายไทยในเรื่องนี้ กระแสสังคมไม่อาจให้ความไว้วางใจให้ดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปได้ อีกทั้งการนำเอาประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาไปเจรจา ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สุดของประเทศไทยจะส่งผลกระทบที่รุนแรงอย่างยาวนานต่อประเทศไทยและคนไทย เพราะไม่ได้ศึกษาวิจัยถึงผลดีผลเสีย และผลกระทบต่างๆอย่างเป็นระบบ และข้อเรียกร้องในประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ทางสหรัฐต้องการการนั้น หากปฏิบัติจริงจะเป็นการการตัดเส้นเลือดใหญ่ของประเทศไทยเลยทีเดียว เพราะสิ่งที่ตามมาคือ การเข้ามาผูกขาดกับปัจจัย 4 ที่จำเป็นของคนไทย ในที่สุดประเทศไทยก็ต้องตกเป็นทาส ในด้านการผลิตอาหาร ตกเป็นทาสที่ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์พืชจากต่างประเทศ’รองหน.พรรคปชป. กล่าว
รองหน.พรรคปชป. ยังกล่าวต่ออีกว่า รัฐบาลควรคืนประชาธิปไตย คืนสิทธิเสรีภาพ ให้ประชาชน ก่อนที่คนไทยทั้งประเทศ จะไม่ยอมรับในสิ่งที่รัฐบาลได้ทำ ถึงเวลาร่วมทวงคืนประเทศไทย เพราะว่าการดำเนินการครั้งนี้เป็นการทำลายประชาธิปไตย ทำลายเจตจำนงในการกำหนดชะตากรรม ของประชาชนคนไทย และสิทธิพลเมือง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-