หน.พรรคปชป. บัญญัติ บรรทัดฐาน ย้ำ รบ. อยู่ในช่วงเสื่อมถอย เหมือนลงลิฟต์ เตรียมจัดหีบห่อนำเสนอแผนการตลาดระลอกใหม่ ด้าน ไตรรงค์ เย้ย นายกฯ เหมือนลูกวัวไม่สู้คน โดนชนก็ล้มแล้ว
วานนี้ ( 9 ต.ค.47 )เวลา 13.30 น. ที่โรงแรมบีพี สมิหลาบีช แอนด์รีสอร์ท จ. สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ จัดสัมมนากรรมการสาขาและแกนนำพรรคภาคใต้ โดยมีนายบัญญัติ บรรทัดฐานหัวหน้าพรรค กล่าวเปิดการสัมมนา ในหัวข้อ “นโยบายประชาธิปัตย์ นโยบายประชาชน นโยบายเพื่อการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน” ว่า การสัมมนาของพรรคที่ผ่านมาถือว่าได้ผลมาก และคู่ต่อสู้กำลังระส่ำระสาย เสื่อมถอย ต้องยอมรับความจริงว่าวันนี้พรรคไทยรักไทยคือคู่แข่งของเรา และหากใครติดตามการเมืองมาตลอดจะเห็นความเสื่อมถอยของพรรคไทยรักไทย ถ้าเอานโยบายเป็นตัวตั้งแล้วเอาข้อเท็จจริงคือการดำเนินงานของรัฐบาลเป็นตัวจับ จะพบความจริงอย่างน้อยที่สุด 2 เรื่องที่นำไปสู่ความเสื่อมถอยของรัฐบาลชุดนี้ คือ 1. เรื่องนโยบายที่กำหนดไว้เฉพาะหน้า ฉับพลัน ทันที เป็นนโยบายที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะแก้ปัญหาได้ และต้องการเพียงเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบของชัยชนะในการเลือกตั้ง ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่า อำนาจจะแก้ปัญหาได้ ซึ่งตนเรียกว่า นโยบายอำนาจนิยม โดยมีอำนาจนำหน้าและสติปัญญาตามหลัง และ2. นโยบายของกลุ่มทุน โดยกลุ่มทุนและเพื่อประโยชน์ของกลุ่มทุนเท่านั้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทับซ้อนและคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย
หน.พรรคปชป. กล่าวว่า จากนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลที่ออกมา ทำให้ความเสื่อมถอยของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยมีความชัดมากขึ้น และไม่ใช่เสื่อมถอยธรรมดา เพราะมีคนพูดว่าภาวะขาลงของรัฐบาลทักษิณขณะนี้ไม่ใช่ภาวะขาลงธรรมดา คือไม่ได้ลงช้าๆ อย่างลงบันได แต่เป็นการลงลิฟท์ ซึ่งตนคิดว่ารัฐบาลก็รู้เพราะเสียงที่พ.ต.ท.ทักษิณ พูดด้วยความมั่นใจว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว 400 เสียงนั้นได้อ่อนลงแล้ว และบอกว่าเป็นการพูดเพื่อความฮึกเหิมไม่ใช่เป้าหมาย ตนจึงพูดกับประชาชนในภาคเหนือว่าหากไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงแล้ว ก็ไม่ต้องให้เขา ก็หันมาให้ประชาธิปัตย์เพราะเรายังเป็นความหมายที่แท้จริง ที่เราอยากได้
‘รัฐบาลชุดนี้ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่คนรวยจำนวนหนึ่งจะรวยมากขึ้นและคนจนจำนวนหนึ่งจะจนมากขึ้น เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ภาวะความเสื่อมถอยที่จะเกิดขึ้นภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะฉะนั้นโดยวิสัยของนักการตลาด เมื่อไหร่ก็ตามถ้าเขาเห็นว่า สินค้าเริ่มตกต่ำ ความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดทำหีบห่อ เปลี่ยนรูปโฉมใหม่ก็จะเกิดขึ้น ในทางการเมืองก็คือการยุบสภาฯ แต่วันนี้คิดว่าคงไม่ยุบแล้ว ผมมีความรู้สึกว่ารัฐบาลจำเป็นต้องซื้อเวลาเพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่น สร้างความหวังให้กับประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ตามยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลมีความถนัด ซึ่งตลอดช่วงระยะเวลา 1-2 เดือนที่ผ่านมาจะเห็นชัดเจนว่ารัฐบาลกำลังทำสิ่งนี้ หรือรัฐบาลจะกล้าเถียงว่าทัวร์นกขมิ้นที่นายกฯถือโอกาสตะลอนๆ นุ่งผ้าขาวม้าไปนอนที่วัด หรือแม้ไปนอนแค้มป์ที่สนามบินสุวรรณภูมินั้นไม่ใช่ความพยายามในการสร้างภาพเพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นจากประชาชน นายกฯจะกล้าปฏิเสธหรือไม่ว่าการแจกงบประมาณในพื้นที่ของส.ส.ตัวเองไม่ใช่ทำเพื่อสร้างความผูกพันกับประชาชน เพื่อเรียกคะแนนความนิยม ’ นายบัญญัติ กล่าว
หน.พรรคปชป. กล่าวว่า ตนอยากเรียกนโยบายพวกนี้ว่า “นโยบายของการตบหัวแล้วลูบหลัง” คือนโยบายเอาใจข้าราชการประกาศขึ้นเงินเดือนถึงสองครั้ง ขณะที่การเลือกตั้งกำลังใกล้เข้ามา โดยจะปรับในปี 2549 ครั้งหนึ่ง และ2551-2552 อีกครั้งหนึ่ง มีการปรับค่าจ้างค่าตอบแทนให้กับลูกจ้าง 20% และถึงขนาดจะปรับเงินเดือนให้กับผู้บริหารและข้าราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่ารัฐบาลนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับข้าราชการมากที่สุดตั้งแต่การปฏิรูประบบราชการล้มเหลว และตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่รัฐบาลนี้เข้ามา ไม่รังเกียจก็เหมือนรังเกียจข้าราชการส่วนท้องถิ่น เพราะนายกฯคนนี้มีความมั่นใจในระบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ การกระจายอำนาจส่วนท้องถิ่นจึงได้รับการเพิกเฉย
นายบัญญัติ กล่าวว่า ในขณะนี้ปัญหาใหญ่ที่หลายฝ่ายพูดกันมากคือปัญหาการทุจริต และเป็นเรื่องที่ทำให้รัฐบาลนี้เสื่อมถอยมากที่สุด จะเห็นได้ว่านโยบายของรัฐบาลชุดนี้มีส่วนในการส่งเสริมเอื้ออำนวยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น และรัฐบาลก็ไม่ได้ป้องกันปราบปรามอย่างจริงจัง แม้รัฐบาลจะประกาศดีเดย์ปราบทุจริตไปเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมาก็ไม่มีน้ำหนักอะไร ทั้งนี้ผลการจากการตรวจสอบรัฐบาลในเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นพบว่าในช่วง 3 ปีมีโครงการสำคัญอย่างน้อย 20 โครงการมูลค่าไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาทเข้าข่ายทุจริต ถ้าโครงการเหล่านี้ถูกรื้อขึ้นมาเพื่อตรวจสอบใหม่เอาคนผิดมาลงโทษส่งเข้าคุกยึดทรัพย์ที่ฉ้อฉลกลับมาเป็นของแผ่นดิน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์จึงประกาศนโยบายป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นพันธกิจสำคัญในขณะนี้
นายบัญญัติ กล่าวว่า อีกปัญหาที่กำลังรุมเร้ารัฐบาลคือการแก้ไขปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งสามารถพูดได้อย่างชัดเจนว่าเป็นความผิดพลาดของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย อย่างฉกาจฉกรรจ์ที่สุด ในเวลาที่รัฐบาลชุดนี้ตัดสินใจยุบโครงสร้างของเก่าโดยปราศจากโครงสร้างใหม่มารองรับ ส่วนโครงสร้างของศูนย์ที่รัฐบาลที่ตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อแก้ปัญหาภาคใต้ โดยตั้ง พล.อ.สิริชัย ธัญสิริ รองผบ.สส. เป็นประธานศูนย์ส่วนหน้าภายใต้ชื่อ กองอำนวยการส่งเสริมสันติสุขชายแดนภาคใต้นั้น หากเทียบกับศอ.บต.ในอดีตก็จะพบว่ามีความคล้ายคลึงกันในส่วนที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี สิ่งที่รัฐบาลนี้พูดมาตลอดว่าเดินมาถูกทางแล้ว มาวันนี้เปลี่ยนแล้ว แต่เปลี่ยนอย่างเงียบๆ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเพราะนายกฯหน้าใหญ่ ไม่ว่าจะสี่เหลี่ยมหรือห้าเหลี่ยม เพราะฉะนั้นนายกฯ คงจะไม่กล้าที่จะยอมรับความจริงว่ารัฐบาลเดินผิดทาง และกลับมาสู่เส้นทางเก่า ซึ่งเราก็เอาใจช่วยเพราะอยากเห็นสันติสุขเกิดขึ้น ในบ้านเมือง
‘การที่พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นป้ายว่าร่วมทวงคืนประเทศไทย พี่น้องชาวจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ควรจะทำหน้าที่ร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ในการทวงคืนสันติสุขมาสู่ภูมิภาคนั้นเหมือนกัน แต่จะได้หรือไม่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด’ นายบัญญัติ กล่าว
นายบัญญัติ กล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องปัญหาไข้หวัดนกที่ขณะนี้บานปลายจนติดไปถึงสุนัขแล้วนั้น ระหว่างการปราศรัยที่หน้าเมือง จ. นครศรีธรรมราช นายไตรรงค์ สุวรรณคีรีรองหัวหน้าพรรคบอกว่าวันก่อนไข้หวัดนกติดไก่ นายกฯ ก็กินไก่ให้คนดูแล้ววันนี้ไข้หวัดนกไปติดหมาไม่ลองกินหมาให้คนดูบ้างหรือ ทั้งนี้ต้องยอมรับความจริงว่าการแก้ปัญหาไข้หวัดนกของรัฐบาลชุดนี้ ต้องถือว่าเป็นนโยบายที่ฉับพลันทันด่วนและตั้งอยู่บนความประมาท ปกปิด กลัวว่าคนจะแตกตื่น และกลัวผู้ส่งออกไก่รายหนึ่งซึ่งเข้าใจว่าเป็นผู้อุปถัมป์ค้ำชูรัฐบาล จะได้รับผลกระทบในการส่งออกไก่ ส่วนกรณีการปรับครม.โดยคำพูดจากปากพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มั่นใจว่ารมต.คนใหม่ ที่ชื่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รมว.เกษตรและสหกรณ์ จะมีความสามารถตรวจสอบไข้หวัดนกได้นั้น ก็ถือเป็นความผิดพลาดอีกอย่างหนึ่ง
‘นับตั้งแต่วันนี้พรรคประชาธิปัตย์จะทยอยประกาศนโยบายสู่สาธารณะเพื่อส่งต่อไปยังประชาชน โดยขอให้ประชาชนสบายใจได้ว่าจุดอ่อนจุดด้อยของรัฐบาลทักษิณจะไม่มีวันเกิดขึ้นในนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ คือจะไม่ใช่นโยบายที่กำหนดขึ้นเพื่อการแก้ปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าโดยไม่คำนึงถึงปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง และไม่ใช่นโยบายที่กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในบ้านเมือง โดยเฉพาะกลุ่มทุนใหญ่ ๆ แต่จะเป็นนโยบายเพื่อประโยชน์คนส่วนใหญ่ของประเทศ รวมทั้งไม่ใช่นโยบายตบหัวแล้วลูบหลังอย่างที่รัฐบาลนี้ทำอย่างแน่นอน’ นายบัญญัติ กล่าว
ด้านนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณเอาประเทศไทยไปเป็นสมบัติส่วนตัว โดยกำหนดกฎเกณฑ์ระเบียบเอาเองทั้งสิ้น และในการแต่งตั้งโยกย้ายก็เอาแต่พรรคพวกและญาติพี่น้องตัวเอง รวมถึงองค์กรอิสระก็ยังเข้าไปแทรกแซง จนกลายเป็นรัฐตำรวจเหมือนสมัยพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ทั้งประธานกกต. ประธานป.ป.ช.และประธานปปง.เป็นตำรวจหมด เพราะฉะนั้นเราต้องทวงคืนประเทศไทยมาให้ประชาชนโดยต้องเอาคืนมาจากอุ้งมือของคนบาปจากรัฐบาลทุศีล ซึ่งผิดศีลเกือบทั้ง 5 ข้อ เช่น ศีลข้อที่หนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะเห็นได้ว่าไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนที่สั่งฆ่าคนและสัตว์จนตายโหงมากมายขนาดนี้ สำหรับศีลข้อสอง เรื่องลักทรัพย์ ก็มีการแอบเอาของประชาชนมาเป็นของตัวเอง ซึ่งเห็นได้ชัดจากกรณีการเซ็นสัญญาเอฟทีเอกับต่างประเทศ ที่เกษตรกรเสียผลประโยชน์ แต่ตัวเองกลับได้องศาดาวเทียม นอกจากนี้ยังผิดศีลข้อ 5 โดยส่งเสริมให้ประชาชนมีเสรีภาพทำเหล้า กลายเป็นสินค้าโอท็อป ทำให้คนเมาไปทั้งประเทศ
‘รัฐบาลนี้มอมเมาประชาชนด้วยหวยใต้ดินอบายมุข จนคนไม่รู้สึกอับอายที่จะทำบาป และวันนี้ก็มีแผนเปิดบ่อน 2-3 แห่งและมีการแบ่งกันแล้ว ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะกลับมาทำแน่ และไม่ได้ทำแค่นั้นแต่จะมีการจะโต๊ะบอลและซ่องเอื้ออาทรด้วย นี่คือประเทศที่ปกครองด้วยคนไม่มีศีลไม่มีธรรมะเป็นคนบาปคนผิดศีล ไม่สำนึกละอายในสิ่งที่ได้ทำเอาไว้ ตนก็ทำได้แค่เตือนสติไม่ให้ทำบาปไปมากกว่านี้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีเสียงไม่ถึง 200 เสียงอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯไม่ได้ นายกฯถึงเหิมเกริม เพราะฉะนั้นวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ขอ 201 เสียงเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯได้ เพื่อไม่ให้เหิมเกริม และจะควบคุมไม่ให้รัฐบาลทำความอุบาศก์ ไม่ให้โจรครองเมือง และจะทำให้ประเทศไทยกลับมาอยู่ในทำนองคลองธรรมศีลธรรม ซึ่งผมรับรองว่าถ้าได้ 201 เสียงเมื่อไหร่จะอภิปรายนายกฯ 1 ชั่วโมงรับรองลาออกแน่ เพราะนายกฯไม่ใช่คนสู้คน ไม่ใช่ลูกวัวชนแบบตน เพราะตนถึงจะชนกับใครจนหัวสั่น ล้มลงไปแล้ว ก็ยังลุกขึ้นมาชนใหม่ แต่วัวภาคเหนือ แค่โดนต่อยรัว ๆ ก็ล้มแล้ว’ นายไตรรงค์ กล่าว
นายไตรรงค์ กล่าวด้วยว่า ในฐานะที่ตนเป็นประธานคณะทำงานร่างนโยบายของพรรคจะเร่งทำนโยบายของพรรคให้แล้วเสร็จในวันพุธที่ 13 ตุลาคมนี้ และจะประกาศในเวลาที่เหมาะสม เพราะขณะนี้ที่ยังไม่ประกาศเนื่องจากกลัวว่านโยบายจะรั่วเดี๋ยวพ.ต.ท.ทักษิณจะขโมยไปใช้อีก
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-
วานนี้ ( 9 ต.ค.47 )เวลา 13.30 น. ที่โรงแรมบีพี สมิหลาบีช แอนด์รีสอร์ท จ. สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ จัดสัมมนากรรมการสาขาและแกนนำพรรคภาคใต้ โดยมีนายบัญญัติ บรรทัดฐานหัวหน้าพรรค กล่าวเปิดการสัมมนา ในหัวข้อ “นโยบายประชาธิปัตย์ นโยบายประชาชน นโยบายเพื่อการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน” ว่า การสัมมนาของพรรคที่ผ่านมาถือว่าได้ผลมาก และคู่ต่อสู้กำลังระส่ำระสาย เสื่อมถอย ต้องยอมรับความจริงว่าวันนี้พรรคไทยรักไทยคือคู่แข่งของเรา และหากใครติดตามการเมืองมาตลอดจะเห็นความเสื่อมถอยของพรรคไทยรักไทย ถ้าเอานโยบายเป็นตัวตั้งแล้วเอาข้อเท็จจริงคือการดำเนินงานของรัฐบาลเป็นตัวจับ จะพบความจริงอย่างน้อยที่สุด 2 เรื่องที่นำไปสู่ความเสื่อมถอยของรัฐบาลชุดนี้ คือ 1. เรื่องนโยบายที่กำหนดไว้เฉพาะหน้า ฉับพลัน ทันที เป็นนโยบายที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะแก้ปัญหาได้ และต้องการเพียงเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบของชัยชนะในการเลือกตั้ง ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่า อำนาจจะแก้ปัญหาได้ ซึ่งตนเรียกว่า นโยบายอำนาจนิยม โดยมีอำนาจนำหน้าและสติปัญญาตามหลัง และ2. นโยบายของกลุ่มทุน โดยกลุ่มทุนและเพื่อประโยชน์ของกลุ่มทุนเท่านั้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทับซ้อนและคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย
หน.พรรคปชป. กล่าวว่า จากนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลที่ออกมา ทำให้ความเสื่อมถอยของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยมีความชัดมากขึ้น และไม่ใช่เสื่อมถอยธรรมดา เพราะมีคนพูดว่าภาวะขาลงของรัฐบาลทักษิณขณะนี้ไม่ใช่ภาวะขาลงธรรมดา คือไม่ได้ลงช้าๆ อย่างลงบันได แต่เป็นการลงลิฟท์ ซึ่งตนคิดว่ารัฐบาลก็รู้เพราะเสียงที่พ.ต.ท.ทักษิณ พูดด้วยความมั่นใจว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว 400 เสียงนั้นได้อ่อนลงแล้ว และบอกว่าเป็นการพูดเพื่อความฮึกเหิมไม่ใช่เป้าหมาย ตนจึงพูดกับประชาชนในภาคเหนือว่าหากไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงแล้ว ก็ไม่ต้องให้เขา ก็หันมาให้ประชาธิปัตย์เพราะเรายังเป็นความหมายที่แท้จริง ที่เราอยากได้
‘รัฐบาลชุดนี้ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่คนรวยจำนวนหนึ่งจะรวยมากขึ้นและคนจนจำนวนหนึ่งจะจนมากขึ้น เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ภาวะความเสื่อมถอยที่จะเกิดขึ้นภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะฉะนั้นโดยวิสัยของนักการตลาด เมื่อไหร่ก็ตามถ้าเขาเห็นว่า สินค้าเริ่มตกต่ำ ความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดทำหีบห่อ เปลี่ยนรูปโฉมใหม่ก็จะเกิดขึ้น ในทางการเมืองก็คือการยุบสภาฯ แต่วันนี้คิดว่าคงไม่ยุบแล้ว ผมมีความรู้สึกว่ารัฐบาลจำเป็นต้องซื้อเวลาเพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่น สร้างความหวังให้กับประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ตามยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลมีความถนัด ซึ่งตลอดช่วงระยะเวลา 1-2 เดือนที่ผ่านมาจะเห็นชัดเจนว่ารัฐบาลกำลังทำสิ่งนี้ หรือรัฐบาลจะกล้าเถียงว่าทัวร์นกขมิ้นที่นายกฯถือโอกาสตะลอนๆ นุ่งผ้าขาวม้าไปนอนที่วัด หรือแม้ไปนอนแค้มป์ที่สนามบินสุวรรณภูมินั้นไม่ใช่ความพยายามในการสร้างภาพเพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นจากประชาชน นายกฯจะกล้าปฏิเสธหรือไม่ว่าการแจกงบประมาณในพื้นที่ของส.ส.ตัวเองไม่ใช่ทำเพื่อสร้างความผูกพันกับประชาชน เพื่อเรียกคะแนนความนิยม ’ นายบัญญัติ กล่าว
หน.พรรคปชป. กล่าวว่า ตนอยากเรียกนโยบายพวกนี้ว่า “นโยบายของการตบหัวแล้วลูบหลัง” คือนโยบายเอาใจข้าราชการประกาศขึ้นเงินเดือนถึงสองครั้ง ขณะที่การเลือกตั้งกำลังใกล้เข้ามา โดยจะปรับในปี 2549 ครั้งหนึ่ง และ2551-2552 อีกครั้งหนึ่ง มีการปรับค่าจ้างค่าตอบแทนให้กับลูกจ้าง 20% และถึงขนาดจะปรับเงินเดือนให้กับผู้บริหารและข้าราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่ารัฐบาลนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับข้าราชการมากที่สุดตั้งแต่การปฏิรูประบบราชการล้มเหลว และตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่รัฐบาลนี้เข้ามา ไม่รังเกียจก็เหมือนรังเกียจข้าราชการส่วนท้องถิ่น เพราะนายกฯคนนี้มีความมั่นใจในระบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ การกระจายอำนาจส่วนท้องถิ่นจึงได้รับการเพิกเฉย
นายบัญญัติ กล่าวว่า ในขณะนี้ปัญหาใหญ่ที่หลายฝ่ายพูดกันมากคือปัญหาการทุจริต และเป็นเรื่องที่ทำให้รัฐบาลนี้เสื่อมถอยมากที่สุด จะเห็นได้ว่านโยบายของรัฐบาลชุดนี้มีส่วนในการส่งเสริมเอื้ออำนวยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น และรัฐบาลก็ไม่ได้ป้องกันปราบปรามอย่างจริงจัง แม้รัฐบาลจะประกาศดีเดย์ปราบทุจริตไปเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมาก็ไม่มีน้ำหนักอะไร ทั้งนี้ผลการจากการตรวจสอบรัฐบาลในเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นพบว่าในช่วง 3 ปีมีโครงการสำคัญอย่างน้อย 20 โครงการมูลค่าไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาทเข้าข่ายทุจริต ถ้าโครงการเหล่านี้ถูกรื้อขึ้นมาเพื่อตรวจสอบใหม่เอาคนผิดมาลงโทษส่งเข้าคุกยึดทรัพย์ที่ฉ้อฉลกลับมาเป็นของแผ่นดิน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์จึงประกาศนโยบายป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นพันธกิจสำคัญในขณะนี้
นายบัญญัติ กล่าวว่า อีกปัญหาที่กำลังรุมเร้ารัฐบาลคือการแก้ไขปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งสามารถพูดได้อย่างชัดเจนว่าเป็นความผิดพลาดของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย อย่างฉกาจฉกรรจ์ที่สุด ในเวลาที่รัฐบาลชุดนี้ตัดสินใจยุบโครงสร้างของเก่าโดยปราศจากโครงสร้างใหม่มารองรับ ส่วนโครงสร้างของศูนย์ที่รัฐบาลที่ตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อแก้ปัญหาภาคใต้ โดยตั้ง พล.อ.สิริชัย ธัญสิริ รองผบ.สส. เป็นประธานศูนย์ส่วนหน้าภายใต้ชื่อ กองอำนวยการส่งเสริมสันติสุขชายแดนภาคใต้นั้น หากเทียบกับศอ.บต.ในอดีตก็จะพบว่ามีความคล้ายคลึงกันในส่วนที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี สิ่งที่รัฐบาลนี้พูดมาตลอดว่าเดินมาถูกทางแล้ว มาวันนี้เปลี่ยนแล้ว แต่เปลี่ยนอย่างเงียบๆ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเพราะนายกฯหน้าใหญ่ ไม่ว่าจะสี่เหลี่ยมหรือห้าเหลี่ยม เพราะฉะนั้นนายกฯ คงจะไม่กล้าที่จะยอมรับความจริงว่ารัฐบาลเดินผิดทาง และกลับมาสู่เส้นทางเก่า ซึ่งเราก็เอาใจช่วยเพราะอยากเห็นสันติสุขเกิดขึ้น ในบ้านเมือง
‘การที่พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นป้ายว่าร่วมทวงคืนประเทศไทย พี่น้องชาวจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ควรจะทำหน้าที่ร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ในการทวงคืนสันติสุขมาสู่ภูมิภาคนั้นเหมือนกัน แต่จะได้หรือไม่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด’ นายบัญญัติ กล่าว
นายบัญญัติ กล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องปัญหาไข้หวัดนกที่ขณะนี้บานปลายจนติดไปถึงสุนัขแล้วนั้น ระหว่างการปราศรัยที่หน้าเมือง จ. นครศรีธรรมราช นายไตรรงค์ สุวรรณคีรีรองหัวหน้าพรรคบอกว่าวันก่อนไข้หวัดนกติดไก่ นายกฯ ก็กินไก่ให้คนดูแล้ววันนี้ไข้หวัดนกไปติดหมาไม่ลองกินหมาให้คนดูบ้างหรือ ทั้งนี้ต้องยอมรับความจริงว่าการแก้ปัญหาไข้หวัดนกของรัฐบาลชุดนี้ ต้องถือว่าเป็นนโยบายที่ฉับพลันทันด่วนและตั้งอยู่บนความประมาท ปกปิด กลัวว่าคนจะแตกตื่น และกลัวผู้ส่งออกไก่รายหนึ่งซึ่งเข้าใจว่าเป็นผู้อุปถัมป์ค้ำชูรัฐบาล จะได้รับผลกระทบในการส่งออกไก่ ส่วนกรณีการปรับครม.โดยคำพูดจากปากพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มั่นใจว่ารมต.คนใหม่ ที่ชื่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รมว.เกษตรและสหกรณ์ จะมีความสามารถตรวจสอบไข้หวัดนกได้นั้น ก็ถือเป็นความผิดพลาดอีกอย่างหนึ่ง
‘นับตั้งแต่วันนี้พรรคประชาธิปัตย์จะทยอยประกาศนโยบายสู่สาธารณะเพื่อส่งต่อไปยังประชาชน โดยขอให้ประชาชนสบายใจได้ว่าจุดอ่อนจุดด้อยของรัฐบาลทักษิณจะไม่มีวันเกิดขึ้นในนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ คือจะไม่ใช่นโยบายที่กำหนดขึ้นเพื่อการแก้ปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าโดยไม่คำนึงถึงปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง และไม่ใช่นโยบายที่กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในบ้านเมือง โดยเฉพาะกลุ่มทุนใหญ่ ๆ แต่จะเป็นนโยบายเพื่อประโยชน์คนส่วนใหญ่ของประเทศ รวมทั้งไม่ใช่นโยบายตบหัวแล้วลูบหลังอย่างที่รัฐบาลนี้ทำอย่างแน่นอน’ นายบัญญัติ กล่าว
ด้านนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณเอาประเทศไทยไปเป็นสมบัติส่วนตัว โดยกำหนดกฎเกณฑ์ระเบียบเอาเองทั้งสิ้น และในการแต่งตั้งโยกย้ายก็เอาแต่พรรคพวกและญาติพี่น้องตัวเอง รวมถึงองค์กรอิสระก็ยังเข้าไปแทรกแซง จนกลายเป็นรัฐตำรวจเหมือนสมัยพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ทั้งประธานกกต. ประธานป.ป.ช.และประธานปปง.เป็นตำรวจหมด เพราะฉะนั้นเราต้องทวงคืนประเทศไทยมาให้ประชาชนโดยต้องเอาคืนมาจากอุ้งมือของคนบาปจากรัฐบาลทุศีล ซึ่งผิดศีลเกือบทั้ง 5 ข้อ เช่น ศีลข้อที่หนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะเห็นได้ว่าไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนที่สั่งฆ่าคนและสัตว์จนตายโหงมากมายขนาดนี้ สำหรับศีลข้อสอง เรื่องลักทรัพย์ ก็มีการแอบเอาของประชาชนมาเป็นของตัวเอง ซึ่งเห็นได้ชัดจากกรณีการเซ็นสัญญาเอฟทีเอกับต่างประเทศ ที่เกษตรกรเสียผลประโยชน์ แต่ตัวเองกลับได้องศาดาวเทียม นอกจากนี้ยังผิดศีลข้อ 5 โดยส่งเสริมให้ประชาชนมีเสรีภาพทำเหล้า กลายเป็นสินค้าโอท็อป ทำให้คนเมาไปทั้งประเทศ
‘รัฐบาลนี้มอมเมาประชาชนด้วยหวยใต้ดินอบายมุข จนคนไม่รู้สึกอับอายที่จะทำบาป และวันนี้ก็มีแผนเปิดบ่อน 2-3 แห่งและมีการแบ่งกันแล้ว ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะกลับมาทำแน่ และไม่ได้ทำแค่นั้นแต่จะมีการจะโต๊ะบอลและซ่องเอื้ออาทรด้วย นี่คือประเทศที่ปกครองด้วยคนไม่มีศีลไม่มีธรรมะเป็นคนบาปคนผิดศีล ไม่สำนึกละอายในสิ่งที่ได้ทำเอาไว้ ตนก็ทำได้แค่เตือนสติไม่ให้ทำบาปไปมากกว่านี้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีเสียงไม่ถึง 200 เสียงอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯไม่ได้ นายกฯถึงเหิมเกริม เพราะฉะนั้นวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ขอ 201 เสียงเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯได้ เพื่อไม่ให้เหิมเกริม และจะควบคุมไม่ให้รัฐบาลทำความอุบาศก์ ไม่ให้โจรครองเมือง และจะทำให้ประเทศไทยกลับมาอยู่ในทำนองคลองธรรมศีลธรรม ซึ่งผมรับรองว่าถ้าได้ 201 เสียงเมื่อไหร่จะอภิปรายนายกฯ 1 ชั่วโมงรับรองลาออกแน่ เพราะนายกฯไม่ใช่คนสู้คน ไม่ใช่ลูกวัวชนแบบตน เพราะตนถึงจะชนกับใครจนหัวสั่น ล้มลงไปแล้ว ก็ยังลุกขึ้นมาชนใหม่ แต่วัวภาคเหนือ แค่โดนต่อยรัว ๆ ก็ล้มแล้ว’ นายไตรรงค์ กล่าว
นายไตรรงค์ กล่าวด้วยว่า ในฐานะที่ตนเป็นประธานคณะทำงานร่างนโยบายของพรรคจะเร่งทำนโยบายของพรรคให้แล้วเสร็จในวันพุธที่ 13 ตุลาคมนี้ และจะประกาศในเวลาที่เหมาะสม เพราะขณะนี้ที่ยังไม่ประกาศเนื่องจากกลัวว่านโยบายจะรั่วเดี๋ยวพ.ต.ท.ทักษิณจะขโมยไปใช้อีก
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-