ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบสินเชื่อที่มีปัญหา 11 รายของ ธ.กรุงไทย นางธาริ
ษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ธ.กรุงไทยได้ส่ง
หนังสือรายงานผลการตรวจสอบสินเชื่อที่มีปัญหา 11 ราย กลับมายัง ธปท.แล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นการตรวจสอบ
ของเจ้าหน้าที่ โดยจะพิจารณาว่าผลการตรวจสอบของ ธ.กรุงไทยนั้นมีความครบถ้วนหรือไม่ สำหรับรายละเอียด
สินเชื่อ 1 โครงการที่ ธ.กรุงไทยส่งมาให้ ธปท.พิจารณาก่อนหน้านี้ และ ธ.กรุงไทยสรุปออกมาแล้วว่าปล่อยสิน
เชื่อหละหลวมนั้น ธปท.กำลังตรวจสอบอยู่ หากตรวจสอบแล้วเสร็จก็จะแจ้งกลับที่ ธ.กรุงไทยโดยไม่เปิดเผยต่อ
สาธารณชน เนื่องจากอาจกระทบต่อลูกหนี้ได้ ทั้งนี้ การพิจารณาสินเชื่อทั้ง 11 รายได้ จะต้องมีการพิจารณาสิน
เชื่อแต่ละรายซึ่งมีความแตกต่างกัน โดยจะต้องมีการพิจารณาในหลายด้านด้วยกัน ทั้งเรื่องของระยะเวลาการ
ค้างชำระหนี้ วัตถุประสงค์ของการปล่อยกู้ รวมถึงด้านคุณภาพอื่น ๆ ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน,
โลกวันนี้, ไทยรัฐ)
2. ธปท.ประกาศขณะนี้ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การควบคุมสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล
นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีการปรับเปลี่ยน
เกณฑ์การควบคุมสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคลแต่อย่างใด โดยเกณฑ์การควบคุมสินเชื่อบัตรเครดิตที่ ธพ.
บางแห่งต้องการให้มีการขยายวงเงินสินเชื่อจากเดิมที่มีการกำหนดวงเงินให้สินเชื่อไม่เกินรายละ 5 เท่าของ
รายได้เฉลี่ยต่อเดือนนั้น ธปท.จะพิจารณาปรับเปลี่ยนเกณฑ์ก็ต่อเมื่อมีข้อมูลใหม่ ๆ หรือมีเหตุผลจำเป็น แต่สำหรับ
ในขณะนี้ยังไม่มีข้อเสนออะไร ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ธปท.ได้ปรับเปลี่ยนเกณฑ์เกี่ยวกับอัตราการผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำจาก
เดิมที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของยอดคงค้าง เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของยอดคงค้างมาแล้ว (กรุงเทพธุรกิจ)
3. หนี้สาธารณะของไทยในเดือน ก.ค.47 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 45.58 ของจีดีพี ผอ.สำนัก
งานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินการบริหารจัดการหนี้ของภาครัฐประจำเดือน
ก.ย.47 ว่า รัฐบาลปรับโครงสร้างหนี้ในด้านต่างประเทศโดยชำระคืนเงินกู้ ธ.เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ
แห่งญี่ปุ่น (เจบิก) ก่อนครบกำหนด 14,694 ล้านเยน (5,442 ล้านบาท) ทำให้สามารถลดภาระดอกเบี้ยใน
อนาคตได้ 1,071 ล้านบาท ด้านในประเทศรัฐบาลได้ปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรเพื่อชดใช้ความเสียหายให้กอง
ทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 90,000 ล้านบาท สำหรับหนี้สาธารณะ ณ 31 ก.ค.47 มี
จำนวน 2,942,301 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 45.58 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้
โดยตรง 1,664,846 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,367 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน
860,432 ล้านบาท ลดลง 6,531 ล้านบาท และหนี้สินของกองทุนฟื้นฟูฯ 417,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,237
ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนเพิ่มขึ้น 10,073 ล้านบาท โดยแยกเป็นหนี้ต่างประเทศ 657,768 ล้าน
บาท หรือร้อยละ 22.36 และหนี้ในประเทศ 2,284,534 ล้านบาท หรือร้อยละ 77.64 และเป็นหนี้ระยะยาว
2,388,224 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 81.17 และหนี้ระยะสั้น 554,077 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.83
ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง (ผู้จัดการรายวัน, บ้านเมือง)
4. ธ.กสิกรไทยได้รับการจัดอันดับเป็น ธ.แห่งปี 47 ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 วารสารการเงิน
ธนาคาร ฉบับเดือน ต.ค.47 ประกาศผลการจัดอันดับธนาคารแห่งปี ประจำปี 47 หรือ Bank of The Year
2004 ปรากฏว่า ธ.กสิกรไทย ได้รับการจัดอันดับเป็นธนาคารแห่งปี 47 ซึ่งเป็นการครองตำแหน่งติดต่อกันเป็นปี
ที่ 3 ด้วยผลงานโดดเด่นรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างผลตอบแทนในด้านต่าง ๆ ที่มีอัตราสูง ทั้งอัตราผลกำไร
สุทธิต่อรายได้รวมร้อยละ 29.18 อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ร้อยละ 1.44 และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้
ถือหุ้นร้อยละ 22.62 โดยเฉพาะประสิทธิภาพในการหารายได้ของพนักงานเป็นอันดับ 1 ถึง 3.9 ล้านบาทต่อ
คน ขณะที่ ธ.ไทยพาณิชย์ และ ธ.สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดนครธน สร้างผลงานโดดเด่นมาในอันดับ 2 ส่วน
ธ.กรุงเทพ และ ธ.นครหลวงไทยอยู่ในอันดับ 4 (ผู้จัดการรายวัน, ไทยรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. รัฐสภาสรอ.ผ่านกฎหมายภาษีธุรกิจเพื่อยุติความขัดแย้งทางการค้ากับสภาพยุโรป รายงาน
จากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 47 รัฐสภาสรอ.ได้อนุมัติร่างกฎหมายภาษีธุรกิจอันจะทำให้สรอ.ต้องยกเลิก
การสนับสนุนการส่งออกที่เป็นการฝ่าฝืนกฎการค้าโลก ทั้งนี้เพื่อยุติความขัดแย้งกับสหภาพยุโรป และกฎหมายดัง
กล่าวได้ผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนแล้วและกำลังเสนอปธน.บุช ซึ่งคาดว่าจะลงนามในกฎหมายดังกล่าว โดยนัก
กฎหมายหวังว่ากฎหมายดังกล่าวจะยุติการตอบโต้ทางการค้าของสหภาพยุโรปที่มีต่อสินค้าบางรายการจากสรอ.
นับตั้งแต่เดือนมี.ค. โดยใช้วิธีการจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูง โดยเริ่มต้นจัดเก็บที่ร้อยละ 5 และปรับเพิ่มขึ้น
ทุกเดือนจนปัจจุบันถูกจัดเก็บสูงถึงร้อยละ 12 ทั้งนี้นักกฎหมายได้ลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่ถึง 69 ต่อ 17 เสียงที่
ให้ยกเลิกการสนับสนุนการส่งออกที่ผิดกฎหมายรวมทั้งการลดอัตราภาษีสำหรับสินค้าอุตสาหกรรมในประเทศลง
เหลือร้อยละ 32 จากที่ควรจะเสียในอัตราร้อยละ 35 ซึ่งการกระทำดังกล่าวได้ช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม
ของสรอ. ที่สูญเสียการจ้างงานไปหลายล้านตำแหน่งเมื่อช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้กฎหมายดัง
กล่าวรวมถึงต้องยกเลิกการสนับสนุนทางการเงินจำนวนประมาณ 10 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. แก่เกษตรกรฟาร์ม
ยาสูบด้วย แต่ยังมีความพยายามจากสมาชิกรัฐสภาบางคนในการที่จะไม่รวมถึงผลิตภัณฑ์ยาสูบไว้ในกฎหมายฉบับนี้
(รอยเตอร์)
2. อียูยังไม่ยกเลิกการห้ามขายอาวุธให้กับจีน รายงานจากประเทศลักเซมเบอร์ก เมื่อวันที่
11 ต.ค.47 แหล่งข่าวทางการทูตคาดว่าที่ประชุม รมต.ต่างประเทศของสหภาพยุโรปที่กำหนดประชุมกันใน
วันจันทร์ที่ 18 ต.ค.47 จะไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับประเด็นที่จะให้ยกเลิกการห้ามขายอาวุธให้กับจีนที่ได้
ดำเนินมาเป็นเวลานานหลังจากที่จีนใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามนักศึกษาและประชาชนที่รวมตัวกันเรียกร้อง
ประชาธิปไตย ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อปี 2532 ทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะได้รับแรงกดดัน
จากฝรั่งเศส โดยนาย Jacques Chirac ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส ที่ได้เดินทางไปเยือนจีนเมื่อวันที่
9 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน ได้กล่าวว่า เป็นการไม่ยุติธรรมกับจีน
และควรยกเลิกการห้ามขายอาวุธดังกล่าว ส่วนนาย Jack Straw รมต.ต่างประเทศของอังกฤษปฏิเสธว่าไม่
ได้คัดค้าน แต่เห็นว่าควรมีการทบทวนเรื่องดังกล่าวอย่างถูกต้องและมีเหตุผล ในขณะที่ สรอ. ได้ดำเนินการ
ชักชวนทั้งอย่างเป็นทางการและเป็นการส่วนตัวให้สมาชิกอียูคัดค้านการยกเลิกห้ามขายอาวุธให้กับจีน โดยให้
เหตุผลว่าจะเป็นการคุกคามต่อไต้หวันที่มีข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับจีน ซึ่งจีนอ้างว่าไต้หวันไม่ใช่ประเทศแต่เป็น
เพียงจังหวัดหนึ่งของจีนเท่านั้น ทั้งนี้ รัฐมนตรีของสหภาพยุโรปหลายคนให้ความเห็นว่า การขายอาวุธให้จีนโดย
ใช้วิธีกำหนดหลักเกณฑ์และควบคุมอย่างเข้มงวด อาจจะเป็นหนทางหนึ่งที่นำไปสู่การยกเลิกห้ามขายอาวุธให้กับจีน
ได้ แต่จีนก็ควรดำเนินการปรับปรุงสถานการณ์ให้ดีขึ้นด้วย อนึ่ง มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะยกเลิกการห้ามขาย
อาวุธให้กับจีนก่อนสิ้นปีนี้ แม้ว่าจะมีความพยายามดำเนินการดังกล่าวให้ทันก่อนการประชุมขั้นสุดยอดระหว่าง
สหภาพยุโรปกับจีนที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 ธ.ค.47 (รอยเตอร์)
3. ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของชาวเกาหลีใต้ในเดือน ก.ย.47 อยู่ที่ระดับ 88.9 ดีขึ้นเล็กน้อยจาก
เดือนก่อน รายงานจากโซล เมื่อ 12 ต.ค.47 สนง.สถิติแห่งชาติของเกาหลีใต้รายงานดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่น
เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและการวางแผนใช้จ่ายในอีก 6 เดือนข้างหน้าของชาวเกาหลีใต้ในเดือน ก.ย.47 อยู่ที่
ระดับ 88.9 ดีขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 87.0 ในเดือน ส.ค.47 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.43 ซึ่งอยู่
ที่ระดับ 82.2 และนับเป็นเดือนที่ 24 ติดต่อกันแล้วที่ดัชนีดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ซึ่งมีความหมายว่า
จำนวนชาวเกาหลีใต้ที่คาดว่าภาวะเศรษฐกิจและมาตรฐานการครองชีพของตนในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะเลวลงมี
มากกว่าผู้ที่คาดว่าจะดีขึ้น โดยการบริโภคในประเทศอยู่ในภาวะซบเซามาเป็นเวลาเกือบ 2 ปีนับตั้งแต่ภาวะฟอง
สบู่จากสินเชื่อส่วนบุคคลแตก ทำให้ชาวเกาหลีใต้ต้องผ่อนชำระหนี้และลดการใช้จ่ายลง การส่งออกซึ่งเป็นตัวหลัก
ในการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตในช่วงปีที่ผ่านมาก็ชะลอตัวโดยขยายตัวในอัตราต่ำสุดในรอบ 10 เดือนใน
เดือน ก.ย.47 นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นยังส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและการใช้จ่ายของผู้บริโภค ทำให้
เกรงกันว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวไม่ถึงร้อยละ 5.0 ตามที่รัฐบาลคาดไว้ หลังจากปีที่ผ่านมาขยายตัวร้อยละ
3.1 (รอยเตอร์)
4. คาดว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้จะเติบโตไม่เพียงพอรองรับการขยายตัวของตลาดแรงงาน
รายงานจากโซลเมื่อ 11 ต.ค.47 รมว.คลังเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ในระยะปานกลางแล้วเศรษฐกิจเกาหลีใต้
ไม่น่าจะเติบโตในอัตราที่รวดเร็วเพียงพอที่จะรองรับการขยายตัวของตลาดแรงงานได้ โดยกล่าวว่ามีสัญญาณ
เพียงเล็กน้อยที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งสะท้อนว่าภาวะเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ยังไม่
ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ รมว.คลังได้เปิดเผยในรายงานที่เสนอต่อรัฐสภาว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้จำเป็นต้องเติบ
โตถึงร้อยละ 6 ต่อปี จึงจะสามารถรองรับแรงงานที่พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานจำนวน 400,000-500,000 คน
ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจมีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวจนถึงปี 51 เฉลี่ยเพียงร้อยละ 5-5.9 เท่านั้น
ซึ่งเป็นตัวเลขที่ประมาณการโดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ คือ การบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
มาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ประกอบกับการส่งออกซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็หดตัวลงตั้งแต่ปีก่อน
ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ส่งผลกระทบต่อเกาหลีใต้อย่างมาก เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด
ของเกาหลีใต้ โดยสินค้าส่งออกจำนวน 1 ใน 5 ของเกาหลีใต้จะส่งไปยังประเทศจีน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 12 ต.ค. 47 11 ต.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.284 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.0896/41.3836 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.6250-1.6875 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 677.93/22.40 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,150/8,250 8,150/8,250 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 38.59 38.69 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.79*/14.59 21.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 24 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ธปท.เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบสินเชื่อที่มีปัญหา 11 รายของ ธ.กรุงไทย นางธาริ
ษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ธ.กรุงไทยได้ส่ง
หนังสือรายงานผลการตรวจสอบสินเชื่อที่มีปัญหา 11 ราย กลับมายัง ธปท.แล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นการตรวจสอบ
ของเจ้าหน้าที่ โดยจะพิจารณาว่าผลการตรวจสอบของ ธ.กรุงไทยนั้นมีความครบถ้วนหรือไม่ สำหรับรายละเอียด
สินเชื่อ 1 โครงการที่ ธ.กรุงไทยส่งมาให้ ธปท.พิจารณาก่อนหน้านี้ และ ธ.กรุงไทยสรุปออกมาแล้วว่าปล่อยสิน
เชื่อหละหลวมนั้น ธปท.กำลังตรวจสอบอยู่ หากตรวจสอบแล้วเสร็จก็จะแจ้งกลับที่ ธ.กรุงไทยโดยไม่เปิดเผยต่อ
สาธารณชน เนื่องจากอาจกระทบต่อลูกหนี้ได้ ทั้งนี้ การพิจารณาสินเชื่อทั้ง 11 รายได้ จะต้องมีการพิจารณาสิน
เชื่อแต่ละรายซึ่งมีความแตกต่างกัน โดยจะต้องมีการพิจารณาในหลายด้านด้วยกัน ทั้งเรื่องของระยะเวลาการ
ค้างชำระหนี้ วัตถุประสงค์ของการปล่อยกู้ รวมถึงด้านคุณภาพอื่น ๆ ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน,
โลกวันนี้, ไทยรัฐ)
2. ธปท.ประกาศขณะนี้ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การควบคุมสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล
นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีการปรับเปลี่ยน
เกณฑ์การควบคุมสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคลแต่อย่างใด โดยเกณฑ์การควบคุมสินเชื่อบัตรเครดิตที่ ธพ.
บางแห่งต้องการให้มีการขยายวงเงินสินเชื่อจากเดิมที่มีการกำหนดวงเงินให้สินเชื่อไม่เกินรายละ 5 เท่าของ
รายได้เฉลี่ยต่อเดือนนั้น ธปท.จะพิจารณาปรับเปลี่ยนเกณฑ์ก็ต่อเมื่อมีข้อมูลใหม่ ๆ หรือมีเหตุผลจำเป็น แต่สำหรับ
ในขณะนี้ยังไม่มีข้อเสนออะไร ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ธปท.ได้ปรับเปลี่ยนเกณฑ์เกี่ยวกับอัตราการผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำจาก
เดิมที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของยอดคงค้าง เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของยอดคงค้างมาแล้ว (กรุงเทพธุรกิจ)
3. หนี้สาธารณะของไทยในเดือน ก.ค.47 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 45.58 ของจีดีพี ผอ.สำนัก
งานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินการบริหารจัดการหนี้ของภาครัฐประจำเดือน
ก.ย.47 ว่า รัฐบาลปรับโครงสร้างหนี้ในด้านต่างประเทศโดยชำระคืนเงินกู้ ธ.เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ
แห่งญี่ปุ่น (เจบิก) ก่อนครบกำหนด 14,694 ล้านเยน (5,442 ล้านบาท) ทำให้สามารถลดภาระดอกเบี้ยใน
อนาคตได้ 1,071 ล้านบาท ด้านในประเทศรัฐบาลได้ปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรเพื่อชดใช้ความเสียหายให้กอง
ทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 90,000 ล้านบาท สำหรับหนี้สาธารณะ ณ 31 ก.ค.47 มี
จำนวน 2,942,301 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 45.58 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้
โดยตรง 1,664,846 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,367 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน
860,432 ล้านบาท ลดลง 6,531 ล้านบาท และหนี้สินของกองทุนฟื้นฟูฯ 417,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,237
ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนเพิ่มขึ้น 10,073 ล้านบาท โดยแยกเป็นหนี้ต่างประเทศ 657,768 ล้าน
บาท หรือร้อยละ 22.36 และหนี้ในประเทศ 2,284,534 ล้านบาท หรือร้อยละ 77.64 และเป็นหนี้ระยะยาว
2,388,224 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 81.17 และหนี้ระยะสั้น 554,077 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.83
ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง (ผู้จัดการรายวัน, บ้านเมือง)
4. ธ.กสิกรไทยได้รับการจัดอันดับเป็น ธ.แห่งปี 47 ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 วารสารการเงิน
ธนาคาร ฉบับเดือน ต.ค.47 ประกาศผลการจัดอันดับธนาคารแห่งปี ประจำปี 47 หรือ Bank of The Year
2004 ปรากฏว่า ธ.กสิกรไทย ได้รับการจัดอันดับเป็นธนาคารแห่งปี 47 ซึ่งเป็นการครองตำแหน่งติดต่อกันเป็นปี
ที่ 3 ด้วยผลงานโดดเด่นรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างผลตอบแทนในด้านต่าง ๆ ที่มีอัตราสูง ทั้งอัตราผลกำไร
สุทธิต่อรายได้รวมร้อยละ 29.18 อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ร้อยละ 1.44 และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้
ถือหุ้นร้อยละ 22.62 โดยเฉพาะประสิทธิภาพในการหารายได้ของพนักงานเป็นอันดับ 1 ถึง 3.9 ล้านบาทต่อ
คน ขณะที่ ธ.ไทยพาณิชย์ และ ธ.สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดนครธน สร้างผลงานโดดเด่นมาในอันดับ 2 ส่วน
ธ.กรุงเทพ และ ธ.นครหลวงไทยอยู่ในอันดับ 4 (ผู้จัดการรายวัน, ไทยรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. รัฐสภาสรอ.ผ่านกฎหมายภาษีธุรกิจเพื่อยุติความขัดแย้งทางการค้ากับสภาพยุโรป รายงาน
จากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 47 รัฐสภาสรอ.ได้อนุมัติร่างกฎหมายภาษีธุรกิจอันจะทำให้สรอ.ต้องยกเลิก
การสนับสนุนการส่งออกที่เป็นการฝ่าฝืนกฎการค้าโลก ทั้งนี้เพื่อยุติความขัดแย้งกับสหภาพยุโรป และกฎหมายดัง
กล่าวได้ผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนแล้วและกำลังเสนอปธน.บุช ซึ่งคาดว่าจะลงนามในกฎหมายดังกล่าว โดยนัก
กฎหมายหวังว่ากฎหมายดังกล่าวจะยุติการตอบโต้ทางการค้าของสหภาพยุโรปที่มีต่อสินค้าบางรายการจากสรอ.
นับตั้งแต่เดือนมี.ค. โดยใช้วิธีการจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูง โดยเริ่มต้นจัดเก็บที่ร้อยละ 5 และปรับเพิ่มขึ้น
ทุกเดือนจนปัจจุบันถูกจัดเก็บสูงถึงร้อยละ 12 ทั้งนี้นักกฎหมายได้ลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่ถึง 69 ต่อ 17 เสียงที่
ให้ยกเลิกการสนับสนุนการส่งออกที่ผิดกฎหมายรวมทั้งการลดอัตราภาษีสำหรับสินค้าอุตสาหกรรมในประเทศลง
เหลือร้อยละ 32 จากที่ควรจะเสียในอัตราร้อยละ 35 ซึ่งการกระทำดังกล่าวได้ช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม
ของสรอ. ที่สูญเสียการจ้างงานไปหลายล้านตำแหน่งเมื่อช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้กฎหมายดัง
กล่าวรวมถึงต้องยกเลิกการสนับสนุนทางการเงินจำนวนประมาณ 10 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. แก่เกษตรกรฟาร์ม
ยาสูบด้วย แต่ยังมีความพยายามจากสมาชิกรัฐสภาบางคนในการที่จะไม่รวมถึงผลิตภัณฑ์ยาสูบไว้ในกฎหมายฉบับนี้
(รอยเตอร์)
2. อียูยังไม่ยกเลิกการห้ามขายอาวุธให้กับจีน รายงานจากประเทศลักเซมเบอร์ก เมื่อวันที่
11 ต.ค.47 แหล่งข่าวทางการทูตคาดว่าที่ประชุม รมต.ต่างประเทศของสหภาพยุโรปที่กำหนดประชุมกันใน
วันจันทร์ที่ 18 ต.ค.47 จะไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับประเด็นที่จะให้ยกเลิกการห้ามขายอาวุธให้กับจีนที่ได้
ดำเนินมาเป็นเวลานานหลังจากที่จีนใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามนักศึกษาและประชาชนที่รวมตัวกันเรียกร้อง
ประชาธิปไตย ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อปี 2532 ทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะได้รับแรงกดดัน
จากฝรั่งเศส โดยนาย Jacques Chirac ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส ที่ได้เดินทางไปเยือนจีนเมื่อวันที่
9 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน ได้กล่าวว่า เป็นการไม่ยุติธรรมกับจีน
และควรยกเลิกการห้ามขายอาวุธดังกล่าว ส่วนนาย Jack Straw รมต.ต่างประเทศของอังกฤษปฏิเสธว่าไม่
ได้คัดค้าน แต่เห็นว่าควรมีการทบทวนเรื่องดังกล่าวอย่างถูกต้องและมีเหตุผล ในขณะที่ สรอ. ได้ดำเนินการ
ชักชวนทั้งอย่างเป็นทางการและเป็นการส่วนตัวให้สมาชิกอียูคัดค้านการยกเลิกห้ามขายอาวุธให้กับจีน โดยให้
เหตุผลว่าจะเป็นการคุกคามต่อไต้หวันที่มีข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับจีน ซึ่งจีนอ้างว่าไต้หวันไม่ใช่ประเทศแต่เป็น
เพียงจังหวัดหนึ่งของจีนเท่านั้น ทั้งนี้ รัฐมนตรีของสหภาพยุโรปหลายคนให้ความเห็นว่า การขายอาวุธให้จีนโดย
ใช้วิธีกำหนดหลักเกณฑ์และควบคุมอย่างเข้มงวด อาจจะเป็นหนทางหนึ่งที่นำไปสู่การยกเลิกห้ามขายอาวุธให้กับจีน
ได้ แต่จีนก็ควรดำเนินการปรับปรุงสถานการณ์ให้ดีขึ้นด้วย อนึ่ง มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะยกเลิกการห้ามขาย
อาวุธให้กับจีนก่อนสิ้นปีนี้ แม้ว่าจะมีความพยายามดำเนินการดังกล่าวให้ทันก่อนการประชุมขั้นสุดยอดระหว่าง
สหภาพยุโรปกับจีนที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 ธ.ค.47 (รอยเตอร์)
3. ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของชาวเกาหลีใต้ในเดือน ก.ย.47 อยู่ที่ระดับ 88.9 ดีขึ้นเล็กน้อยจาก
เดือนก่อน รายงานจากโซล เมื่อ 12 ต.ค.47 สนง.สถิติแห่งชาติของเกาหลีใต้รายงานดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่น
เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและการวางแผนใช้จ่ายในอีก 6 เดือนข้างหน้าของชาวเกาหลีใต้ในเดือน ก.ย.47 อยู่ที่
ระดับ 88.9 ดีขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 87.0 ในเดือน ส.ค.47 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.43 ซึ่งอยู่
ที่ระดับ 82.2 และนับเป็นเดือนที่ 24 ติดต่อกันแล้วที่ดัชนีดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ซึ่งมีความหมายว่า
จำนวนชาวเกาหลีใต้ที่คาดว่าภาวะเศรษฐกิจและมาตรฐานการครองชีพของตนในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะเลวลงมี
มากกว่าผู้ที่คาดว่าจะดีขึ้น โดยการบริโภคในประเทศอยู่ในภาวะซบเซามาเป็นเวลาเกือบ 2 ปีนับตั้งแต่ภาวะฟอง
สบู่จากสินเชื่อส่วนบุคคลแตก ทำให้ชาวเกาหลีใต้ต้องผ่อนชำระหนี้และลดการใช้จ่ายลง การส่งออกซึ่งเป็นตัวหลัก
ในการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตในช่วงปีที่ผ่านมาก็ชะลอตัวโดยขยายตัวในอัตราต่ำสุดในรอบ 10 เดือนใน
เดือน ก.ย.47 นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นยังส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและการใช้จ่ายของผู้บริโภค ทำให้
เกรงกันว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวไม่ถึงร้อยละ 5.0 ตามที่รัฐบาลคาดไว้ หลังจากปีที่ผ่านมาขยายตัวร้อยละ
3.1 (รอยเตอร์)
4. คาดว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้จะเติบโตไม่เพียงพอรองรับการขยายตัวของตลาดแรงงาน
รายงานจากโซลเมื่อ 11 ต.ค.47 รมว.คลังเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ในระยะปานกลางแล้วเศรษฐกิจเกาหลีใต้
ไม่น่าจะเติบโตในอัตราที่รวดเร็วเพียงพอที่จะรองรับการขยายตัวของตลาดแรงงานได้ โดยกล่าวว่ามีสัญญาณ
เพียงเล็กน้อยที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งสะท้อนว่าภาวะเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ยังไม่
ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ รมว.คลังได้เปิดเผยในรายงานที่เสนอต่อรัฐสภาว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้จำเป็นต้องเติบ
โตถึงร้อยละ 6 ต่อปี จึงจะสามารถรองรับแรงงานที่พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานจำนวน 400,000-500,000 คน
ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจมีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวจนถึงปี 51 เฉลี่ยเพียงร้อยละ 5-5.9 เท่านั้น
ซึ่งเป็นตัวเลขที่ประมาณการโดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ คือ การบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
มาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ประกอบกับการส่งออกซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็หดตัวลงตั้งแต่ปีก่อน
ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ส่งผลกระทบต่อเกาหลีใต้อย่างมาก เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด
ของเกาหลีใต้ โดยสินค้าส่งออกจำนวน 1 ใน 5 ของเกาหลีใต้จะส่งไปยังประเทศจีน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 12 ต.ค. 47 11 ต.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.284 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.0896/41.3836 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.6250-1.6875 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 677.93/22.40 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,150/8,250 8,150/8,250 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 38.59 38.69 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.79*/14.59 21.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 24 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-