นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ว่า ที่ประชุมพิจารณาถึงการส่งตัวผู้สมัครลงรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งไม่เกินสิ้นเดือนตุลาคมจะพิจารณาครบทั้งหมด 400 เขต เพื่อที่จะเข้าสู่ช่วงของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และคงจะสอดคล้องกับในช่วงที่อาจจะมีการกำหนดจากกกต.ที่มีข้อห้ามตามกฎหมายต่างๆหลายข้อเช่น ข้อห้ามตามกฎหมาย 60 วัน ซึ่งสภาชุดนี้จะครบวาระในวันที่ 5 มกราคม ช่วงเวลานี้พรรคประชาธิปัตย์จะเริ่มรณรงค์หาเสียงเต็มรูปแบบมากขึ้น
ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้สะท้อนความเคลื่อนไหวในพื้นที่การเลือกตั้งของแต่ละภาค ว่า ขณะนี้ได้มีผู้สมัครส.ส.ของพรรคไทยรักไทย นำเอาชื่อของนายกรัฐมนตรีไปสั่งการให้ข้าราชการในหลายๆพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงกรุงเทพฯ ช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครของพรรครัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากแผนปฏิบัติงานของข้าราชการ
นายองอาจ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ตรวจสอบในหลายโครงการพบว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้สั่งการในเรื่องดังกล่าว โดยทำการตรวจสอบทั้งคำสั่งจากส่วนกลาง (ทำเนียบรัฐบาล ) และ จากข้าราชการที่ถูกผู้สมัครส.ส.จากพรรคไทยรักไทยมาแอบอ้าง ซึ่ง 2 ส่วนพบตรงกันว่า ได้รับคำพูดมาจากผู้สมัครส.ส.ของพรรคไทยรักไทย‘พรรคประชาธิปัตย์ต้องการฝากไปยังท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ช่วยกำชับส.ส.ในพรรคว่า ไม่ควรไปใช้วิธีการอ้างชื่อ และอำนาจของท่านนายกรัฐมนตรีไปบีบข้าราชการให้ทำตามที่ตัวเองต้องการ’ นายองอาจ กล่าว แล ะกล่าวอีกว่า อยากจะฝากข้าราชการขอให้ระมัดระวังในการวางตัวให้เป็นกลาง เพราะการวางตัวไม่เป็นกลาง และไปช่วยคนหนึ่งคนใดหาเสียงเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ผิดระเบียบของทางราชการ ควรตรวจคำสั่งให้ชัดเจนว่า เป็นคำสั่งของท่านนายกรัฐมนตรีจริงหรือไม่ และข้าราชการควรตระหนักอยู่เสมอว่า ต้องทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และประโยชน์ของประเทศชาติ
‘เราต้องการให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม เรียกว่า Free and Fair Play มากกว่า มีความคลุมเครือ และเป็นเรื่องในการใช้ดุลพินิจเป็นหลัก ซึ่งก่อให้เกิดการทุจริตเกิดขึ้น เป็นลักษณะพรรคพวก ระบบอุปถัมภ์ มากกว่าระบบคุณธรรม ซึ่งคิดว่าหัวใจของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาเพื่อให้กระบวนการเลือกตั้งบริสุทธิ์ ยุติธรรมมากที่สุด’ นายองอาจ กล่าว
โฆษกพรรคปชป. กล่าวต่ออีกว่า ที่ประชุมยังได้พิจารณาในเรื่องของนโยบายที่จะนำเสนอต่อพี่น้องประชาชน ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และนโยบายต่างๆที่พรรคเสนอออกมาก็สามารถที่จะเริ่มทำงานได้ทันที ซึ่งนโยบายหลักของพรรคประชาธิปัตย์ มีอยู่ 4 ข้อ คือ
1.เราคงไม่ใช่นโยบายที่เป็นประชานิยม ซึ่งนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เรื่องของประชานิยม ไม่ใช่เรื่องของการลด แลก แจก แถม ที่ไปสร้างค่านิยมผิดๆให้พี่น้องประชาชน พรรคจะให้ในสิ่งที่จำเป็น สิ่งที่เป็นพื้นฐาน และสิ่งที่รัฐธรรมนูญกำหนดกับพี่น้องประชาชน
2. พรรคจะไม่นำเสนอนโยบายในการบริหารประเทศที่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ เพียงเพื่อต้องการให้พี่น้องประชาชนเชื่อในการโฆษณา แต่ผลรับจะออกมาเป็นอย่างไรนั้นไม่คำนึงถึง
3.นโยบายของเราจะไม่ใช่นโยบายที่เพียงแต่หวังผลเฉพาะหน้าในการได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเท่านั้น
4.นโยบายของพรรคคงไม่ใช่นโยบายที่หวือหวาไปตามกระแส นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์เป็นนโยบายที่สามารถแก้ไข และพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน มั่นคงในระยะยาว
‘นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์คงไม่ออกมาเพื่อต้องการให้เร้าใจพี่น้องประชาชน ให้เป็นที่ถูกอกถูกใจเพียงอย่างเดียว และพรรคพรรคประชาธิปัตย์จะไม่สร้างนโยบายประชานิยมมาแข่งกับประชานิยม เพราะการทำลักษณะนี้เท่ากับเป็นการทำลายประเทศชาติ พรรคประชาธิปัตยไม่ทำเรื่องดังกล่าวอย่างเด็ดขาด’ โฆษกพรรคปชป. กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-
ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้สะท้อนความเคลื่อนไหวในพื้นที่การเลือกตั้งของแต่ละภาค ว่า ขณะนี้ได้มีผู้สมัครส.ส.ของพรรคไทยรักไทย นำเอาชื่อของนายกรัฐมนตรีไปสั่งการให้ข้าราชการในหลายๆพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงกรุงเทพฯ ช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครของพรรครัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากแผนปฏิบัติงานของข้าราชการ
นายองอาจ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ตรวจสอบในหลายโครงการพบว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้สั่งการในเรื่องดังกล่าว โดยทำการตรวจสอบทั้งคำสั่งจากส่วนกลาง (ทำเนียบรัฐบาล ) และ จากข้าราชการที่ถูกผู้สมัครส.ส.จากพรรคไทยรักไทยมาแอบอ้าง ซึ่ง 2 ส่วนพบตรงกันว่า ได้รับคำพูดมาจากผู้สมัครส.ส.ของพรรคไทยรักไทย‘พรรคประชาธิปัตย์ต้องการฝากไปยังท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ช่วยกำชับส.ส.ในพรรคว่า ไม่ควรไปใช้วิธีการอ้างชื่อ และอำนาจของท่านนายกรัฐมนตรีไปบีบข้าราชการให้ทำตามที่ตัวเองต้องการ’ นายองอาจ กล่าว แล ะกล่าวอีกว่า อยากจะฝากข้าราชการขอให้ระมัดระวังในการวางตัวให้เป็นกลาง เพราะการวางตัวไม่เป็นกลาง และไปช่วยคนหนึ่งคนใดหาเสียงเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ผิดระเบียบของทางราชการ ควรตรวจคำสั่งให้ชัดเจนว่า เป็นคำสั่งของท่านนายกรัฐมนตรีจริงหรือไม่ และข้าราชการควรตระหนักอยู่เสมอว่า ต้องทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และประโยชน์ของประเทศชาติ
‘เราต้องการให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม เรียกว่า Free and Fair Play มากกว่า มีความคลุมเครือ และเป็นเรื่องในการใช้ดุลพินิจเป็นหลัก ซึ่งก่อให้เกิดการทุจริตเกิดขึ้น เป็นลักษณะพรรคพวก ระบบอุปถัมภ์ มากกว่าระบบคุณธรรม ซึ่งคิดว่าหัวใจของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาเพื่อให้กระบวนการเลือกตั้งบริสุทธิ์ ยุติธรรมมากที่สุด’ นายองอาจ กล่าว
โฆษกพรรคปชป. กล่าวต่ออีกว่า ที่ประชุมยังได้พิจารณาในเรื่องของนโยบายที่จะนำเสนอต่อพี่น้องประชาชน ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และนโยบายต่างๆที่พรรคเสนอออกมาก็สามารถที่จะเริ่มทำงานได้ทันที ซึ่งนโยบายหลักของพรรคประชาธิปัตย์ มีอยู่ 4 ข้อ คือ
1.เราคงไม่ใช่นโยบายที่เป็นประชานิยม ซึ่งนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เรื่องของประชานิยม ไม่ใช่เรื่องของการลด แลก แจก แถม ที่ไปสร้างค่านิยมผิดๆให้พี่น้องประชาชน พรรคจะให้ในสิ่งที่จำเป็น สิ่งที่เป็นพื้นฐาน และสิ่งที่รัฐธรรมนูญกำหนดกับพี่น้องประชาชน
2. พรรคจะไม่นำเสนอนโยบายในการบริหารประเทศที่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ เพียงเพื่อต้องการให้พี่น้องประชาชนเชื่อในการโฆษณา แต่ผลรับจะออกมาเป็นอย่างไรนั้นไม่คำนึงถึง
3.นโยบายของเราจะไม่ใช่นโยบายที่เพียงแต่หวังผลเฉพาะหน้าในการได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเท่านั้น
4.นโยบายของพรรคคงไม่ใช่นโยบายที่หวือหวาไปตามกระแส นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์เป็นนโยบายที่สามารถแก้ไข และพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน มั่นคงในระยะยาว
‘นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์คงไม่ออกมาเพื่อต้องการให้เร้าใจพี่น้องประชาชน ให้เป็นที่ถูกอกถูกใจเพียงอย่างเดียว และพรรคพรรคประชาธิปัตย์จะไม่สร้างนโยบายประชานิยมมาแข่งกับประชานิยม เพราะการทำลักษณะนี้เท่ากับเป็นการทำลายประเทศชาติ พรรคประชาธิปัตยไม่ทำเรื่องดังกล่าวอย่างเด็ดขาด’ โฆษกพรรคปชป. กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-