‘รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์’ระบุ จุดยืน ‘ปชป.’ ไม่ร่วมฮั้ว ‘มหาชน’ ย้ำไม่เดือดร้อนหากต้องเป็นฝ่ายค้านอีก เย้ย ‘ทรท.’ กลับตรวจสอบผลงานตัวเองพร้อมเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ ? ‘อภิสิทธ์’ แจงรัฐมีอำนาจอยู่ในมือ ‘ประชาธิปัตย์’ ไม่สนับสนุนการเมืองนอกระบบ... เฝ้าระวังท่าที “นายกฯ กับ ภูมิธรรม”ใครพูดจริง ? ย้ำ ‘คิกออฟแคมเปญ’ เป็นเรื่องบรรยากาศทางการเมือง มิใช่ ‘ความนิยม’
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า ไม่ต้องการที่จะให้พรรคมหาชนร่วมรัฐบาล เพราะเป็นสาขาหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ทางพรรคฯเองได้แสดงจุดยืนชัดเจนแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคมหาชนเป็นอิสระจากกัน แม้ว่าผู้ที่ก่อตั้งพรรคมหาชนจะออกไปจากพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม นโยบายที่พรรคมหาชนประกาศออกมาทางพรรคก็ไม่ได้ขานรับแต่อย่างใด เช่น กรณี ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ หัวหน้าพรรคมหาชน ระบุว่า แม้พรรคไทยรักไทยได้เสียง 260 เสียง ก็จะพยายามดึงคนมาจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงความชัดเจนที่จะไม่ร่วมในขบวนการนี้ หากพรรคไทยรักไทยได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งก็ต้องเป็นรัฐบาล และหัวหน้าพรรคก็ต้องเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ใดได้เสียงข้างมากจากประชาชนก็ควรจะมีโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ยึดแนวทางนี้มาโดยตลอด
‘ผมข้องใจคนพูด มาจากพรรคไทยรักไทย มีความโปร่งใส ตรงไปตรงมา เหมือนกันหรือเปล่า ที่มีการกล่าวหาว่าเราจะไปฮั้วกับพรรคมหาชน โดยแบ่งเขตนั้นเขตนี้ ไม่มีหรอกครับ เราเดินหน้าส่งผู้สมัครครบทุกเขตเลือกตั้ง ถ้าอยากจะดูวิธีการที่ไม่โปร่งใสทำไมไม่ย้อนกลับไปดูช่วงการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจส่งผู้สมัครในภาวะที่ทุกคนไปสำรวจมาแล้ว ว่า ผู้ว่าฯสังกัดพรรคการเมืองเสียเปรียบ คนไม่ต้องการ แต่พรรคไทยรักไทยบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง แล้วกรณีคุณปวีณา ที่บอกว่าอิสระ แต่พอเลือกตั้งเสร็จก็มาสวมเสื้อพรรคไทยรักไทย ต้องถามว่าแนวทางการเมืองของใครตรงไปตรงมา แนวทางการเมืองของใครที่มีการปิดบัง ปกปิดมาตลอด’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
‘อภิสิทธ์’แจงรัฐมีอำนาจอยู่ในมือ ‘ปชป.’ไม่สนับสนุนการเมืองนอกระบบ
ส่วนที่พยายามพูดว่า พรรคมหาชน และ พรรคประชาธิปัตย์ จะล้มรัฐบาลด้วยวิธีการใต้ดิน ตนเห็นว่ารัฐบาลมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ เพราะฉะนั้นถ้าใครทำอะไรไม่ถูกกฎหมายท่านก็ต้องดำเนินการอยู่แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ไม่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนอกระบบ นอกรัฐธรรมนูญ และก็ไม่เดือดร้อนถ้าจะเป็นฝ่ายค้านต่อ ‘เราทำงานทางการเมืองถ้าเกิดประชาชนเลือกเราน้อยให้เป็นฝ่ายค้าน เราก็เป็น ไม่ได้มีความเดือดเนื้อร้อนใจอะไร แต่ไปดูประวัติของคนพรรคไทยรักไทยดีกว่า ว่าทำงานทางการเมืองพร้อมเป็นฝ่ายค้านตรวจสอบบ้างไหม หรือคิดแต่เรื่องของการมีอำนาจ และเรื่องของผลประโยชน์เข้าไปเกี่ยวข้อง’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
เฝ้าระวังท่าที “นายกฯ กับ ภูมิธรรม”ใครพูดจริง ?
ส่วนกรณีมีการส่งสัญญาณจากนายภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำพรรคไทยรักไทยว่า หลังตุลาคมนี้อาจจะมีการยุบสภา รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คงต้องรอดูว่าระหว่างนายกฯ กับนายภูมิธรรม ใครจะพูดจริงกว่ากัน ‘ที่ออกมาแสดงท่าทีปฏิเสธพรรคมหาชน คงจำกันได้ ว่าตอนที่พรรคมหาชนมีการจัดหาทุน ก็มีคนของพรรคไทยรักไทยไปซื้อโต๊ะ ไปร่วมงาน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอะไร เพราะฉะนั้นบอกตรงๆว่า สำหรับพรรคมหาชน และพรรคไทยรักไทย ผมเชื่อวันข้างหน้าก็อาจจะร่วมรัฐบาลกันได้’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว และว่า ที่มีกระแสข่าวออกมาว่าอาจจะมีทักษิณ 11 ตนไม่อยากให้มี เพราะถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ในเวลาที่เหลืออย่างจำกัด คงไม่ช่วยแก้ปัญหาได้ ‘ปัญหาภาคใต้ก็ดี ปัญหาไข้หวัดนกก็ดี การปรับครม.ไม่ได้แปลว่าจะเป็นคำตอบ ลำพังการเปลี่ยนแปลงบุคลากรมันไม่พอ รัฐบาลต้องแสดงท่าทีให้ชัดเจนว่ามีการปรับนโยบาย แนวคิด และท่าทีอย่างไร เพื่อที่จะหาคำตอบกับปัญหาเหล่านี้’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ย้ำ ‘คิกออฟแคมเปญ’ เป็นเรื่องบรรยากาศทางการเมือง มิใช่ ‘ความนิยม’
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเห็นว่าการที่พรรคไทยรักไทยจะมีคิกออฟแคมเปญ เป็นเรื่องบรรยากาศของการเมืองในช่วงการเลือกตั้ง แต่ในเรื่องของความนิยมก็ต้องประเมินตลอด เพราะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ที่ผ่านมาคิดว่าเราก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเรื่องที่ประชาชนต้องการคานอำนาจที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งอย่างน้อยที่สุดแสดงให้เห็นได้ชัดว่า คนเริ่มไม่สบายใจกับการรวบอำนาจของนายกฯและพรรคไทยรักไทย ทั้งนี้ตนอยากจะฝากย้ำว่าขอให้แข่งขันกันอยู่ในกรอบและกติกา ซึ่งตนได้ตำหนิไปรุนแรง 2 เรื่อง คือ 1 . การใช้งบประมาณและกลไกของระบบราชการเข้ามาทำงานทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่ไม่ดี ไม่สอดคล้องกับการปฏิรูปทางการเมือง และ 2. การที่นายกฯพูดจาอ้างอิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เหมาะสม ตนจึงไม่อยากให้เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก
กรณีมีการนำดารามาลงสมัคร ส.ส.กันเยอะ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผู้สมัครที่มาจากวงการบันเทิง ในส่วนของพรรคคงจะน้อยมาก เพียงแต่เมื่อเป็นคนมีชื่อเสียง สื่อก็เลยให้ความสนใจเป็นพิเศษ แต่สิ่งสำคัญคือ พรรคไม่ได้พิจารณาเฉพาะความมีชื่อเสียง แต่ต้องดูพื้นฐานความคิดด้วย ‘ ผมเรียนตรงๆว่าผมรับผิดชอบในการหาตัวผู้สมัครมาหลายสมัย บางทีผมคุยกับบางท่านแล้วก็อาจจะไม่เหมาะก็ได้ ไม่ใช่ว่ามีชื่อเสียงแล้วจะต้องเหมาะสมเสมอไป กรณีของคุณอธิป นานา ผมยังไม่ทราบว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ เพราะว่ายังอยู่ในช่วงที่มีการพูดคุยกันจริง แต่คุณอธิป เป็นหลานของคุณเล็ก นานา ซึ่งพื้นฐานของเขามีความสนใจทางการเมือง และเคยเป็นยุวประชาธิปัตย์มาก่อน’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า ไม่ต้องการที่จะให้พรรคมหาชนร่วมรัฐบาล เพราะเป็นสาขาหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ทางพรรคฯเองได้แสดงจุดยืนชัดเจนแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคมหาชนเป็นอิสระจากกัน แม้ว่าผู้ที่ก่อตั้งพรรคมหาชนจะออกไปจากพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม นโยบายที่พรรคมหาชนประกาศออกมาทางพรรคก็ไม่ได้ขานรับแต่อย่างใด เช่น กรณี ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ หัวหน้าพรรคมหาชน ระบุว่า แม้พรรคไทยรักไทยได้เสียง 260 เสียง ก็จะพยายามดึงคนมาจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงความชัดเจนที่จะไม่ร่วมในขบวนการนี้ หากพรรคไทยรักไทยได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งก็ต้องเป็นรัฐบาล และหัวหน้าพรรคก็ต้องเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ใดได้เสียงข้างมากจากประชาชนก็ควรจะมีโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ยึดแนวทางนี้มาโดยตลอด
‘ผมข้องใจคนพูด มาจากพรรคไทยรักไทย มีความโปร่งใส ตรงไปตรงมา เหมือนกันหรือเปล่า ที่มีการกล่าวหาว่าเราจะไปฮั้วกับพรรคมหาชน โดยแบ่งเขตนั้นเขตนี้ ไม่มีหรอกครับ เราเดินหน้าส่งผู้สมัครครบทุกเขตเลือกตั้ง ถ้าอยากจะดูวิธีการที่ไม่โปร่งใสทำไมไม่ย้อนกลับไปดูช่วงการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจส่งผู้สมัครในภาวะที่ทุกคนไปสำรวจมาแล้ว ว่า ผู้ว่าฯสังกัดพรรคการเมืองเสียเปรียบ คนไม่ต้องการ แต่พรรคไทยรักไทยบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง แล้วกรณีคุณปวีณา ที่บอกว่าอิสระ แต่พอเลือกตั้งเสร็จก็มาสวมเสื้อพรรคไทยรักไทย ต้องถามว่าแนวทางการเมืองของใครตรงไปตรงมา แนวทางการเมืองของใครที่มีการปิดบัง ปกปิดมาตลอด’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
‘อภิสิทธ์’แจงรัฐมีอำนาจอยู่ในมือ ‘ปชป.’ไม่สนับสนุนการเมืองนอกระบบ
ส่วนที่พยายามพูดว่า พรรคมหาชน และ พรรคประชาธิปัตย์ จะล้มรัฐบาลด้วยวิธีการใต้ดิน ตนเห็นว่ารัฐบาลมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ เพราะฉะนั้นถ้าใครทำอะไรไม่ถูกกฎหมายท่านก็ต้องดำเนินการอยู่แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ไม่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนอกระบบ นอกรัฐธรรมนูญ และก็ไม่เดือดร้อนถ้าจะเป็นฝ่ายค้านต่อ ‘เราทำงานทางการเมืองถ้าเกิดประชาชนเลือกเราน้อยให้เป็นฝ่ายค้าน เราก็เป็น ไม่ได้มีความเดือดเนื้อร้อนใจอะไร แต่ไปดูประวัติของคนพรรคไทยรักไทยดีกว่า ว่าทำงานทางการเมืองพร้อมเป็นฝ่ายค้านตรวจสอบบ้างไหม หรือคิดแต่เรื่องของการมีอำนาจ และเรื่องของผลประโยชน์เข้าไปเกี่ยวข้อง’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
เฝ้าระวังท่าที “นายกฯ กับ ภูมิธรรม”ใครพูดจริง ?
ส่วนกรณีมีการส่งสัญญาณจากนายภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำพรรคไทยรักไทยว่า หลังตุลาคมนี้อาจจะมีการยุบสภา รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คงต้องรอดูว่าระหว่างนายกฯ กับนายภูมิธรรม ใครจะพูดจริงกว่ากัน ‘ที่ออกมาแสดงท่าทีปฏิเสธพรรคมหาชน คงจำกันได้ ว่าตอนที่พรรคมหาชนมีการจัดหาทุน ก็มีคนของพรรคไทยรักไทยไปซื้อโต๊ะ ไปร่วมงาน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอะไร เพราะฉะนั้นบอกตรงๆว่า สำหรับพรรคมหาชน และพรรคไทยรักไทย ผมเชื่อวันข้างหน้าก็อาจจะร่วมรัฐบาลกันได้’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว และว่า ที่มีกระแสข่าวออกมาว่าอาจจะมีทักษิณ 11 ตนไม่อยากให้มี เพราะถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ในเวลาที่เหลืออย่างจำกัด คงไม่ช่วยแก้ปัญหาได้ ‘ปัญหาภาคใต้ก็ดี ปัญหาไข้หวัดนกก็ดี การปรับครม.ไม่ได้แปลว่าจะเป็นคำตอบ ลำพังการเปลี่ยนแปลงบุคลากรมันไม่พอ รัฐบาลต้องแสดงท่าทีให้ชัดเจนว่ามีการปรับนโยบาย แนวคิด และท่าทีอย่างไร เพื่อที่จะหาคำตอบกับปัญหาเหล่านี้’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ย้ำ ‘คิกออฟแคมเปญ’ เป็นเรื่องบรรยากาศทางการเมือง มิใช่ ‘ความนิยม’
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเห็นว่าการที่พรรคไทยรักไทยจะมีคิกออฟแคมเปญ เป็นเรื่องบรรยากาศของการเมืองในช่วงการเลือกตั้ง แต่ในเรื่องของความนิยมก็ต้องประเมินตลอด เพราะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ที่ผ่านมาคิดว่าเราก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเรื่องที่ประชาชนต้องการคานอำนาจที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งอย่างน้อยที่สุดแสดงให้เห็นได้ชัดว่า คนเริ่มไม่สบายใจกับการรวบอำนาจของนายกฯและพรรคไทยรักไทย ทั้งนี้ตนอยากจะฝากย้ำว่าขอให้แข่งขันกันอยู่ในกรอบและกติกา ซึ่งตนได้ตำหนิไปรุนแรง 2 เรื่อง คือ 1 . การใช้งบประมาณและกลไกของระบบราชการเข้ามาทำงานทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่ไม่ดี ไม่สอดคล้องกับการปฏิรูปทางการเมือง และ 2. การที่นายกฯพูดจาอ้างอิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เหมาะสม ตนจึงไม่อยากให้เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก
กรณีมีการนำดารามาลงสมัคร ส.ส.กันเยอะ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผู้สมัครที่มาจากวงการบันเทิง ในส่วนของพรรคคงจะน้อยมาก เพียงแต่เมื่อเป็นคนมีชื่อเสียง สื่อก็เลยให้ความสนใจเป็นพิเศษ แต่สิ่งสำคัญคือ พรรคไม่ได้พิจารณาเฉพาะความมีชื่อเสียง แต่ต้องดูพื้นฐานความคิดด้วย ‘ ผมเรียนตรงๆว่าผมรับผิดชอบในการหาตัวผู้สมัครมาหลายสมัย บางทีผมคุยกับบางท่านแล้วก็อาจจะไม่เหมาะก็ได้ ไม่ใช่ว่ามีชื่อเสียงแล้วจะต้องเหมาะสมเสมอไป กรณีของคุณอธิป นานา ผมยังไม่ทราบว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ เพราะว่ายังอยู่ในช่วงที่มีการพูดคุยกันจริง แต่คุณอธิป เป็นหลานของคุณเล็ก นานา ซึ่งพื้นฐานของเขามีความสนใจทางการเมือง และเคยเป็นยุวประชาธิปัตย์มาก่อน’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-