แท็ก
ปชป.
‘ปชป.’ จวก ‘คิกออฟแคมเปญ’ไม่สมราคาคุยอย่างที่คิด ‘ย้ำ’เหมือนนิยายน้ำเน่า โฆษณาชวนเชื่อเหมือนเคย พร้อมตั้งข้อสังเกตุ พบความล้มเหลวของรัฐบาลหลายประการ ส่วน 4 ปีที่จะสร้างต่อไป น่าจะเป็น 4 ปี แห่งการสร้างเมนู เพื่อที่จะมีโอกาส ‘สวาปาม’
วันนี้ (18 ต.ค. 47) เวลาประมาณ 14.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการจัดงานคิกออฟแคมเปญของพรรคไทยรักไทยเมื่อวานนี้ว่า ภาพรวมของการจัดกิจกรรมทั้งหมด ไม่สมราคาคุยที่ได้คุยไว้ล่วงหน้า และไม่มีอะไรเซอร์ไพส์ไปจากที่คาดคิดเอาไว้ การนำเสนอของพรรคไทยรักไทยส่วนหนึ่งเป็นการเอานิยายเรื่องเก่ามาเล่าใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยพยายามชี้ให้เห็นความสำเร็จของนิยายเรื่องเก่า ขณะเดียวกันก็ได้เพิ่มตัวแสดงใหม่ๆขึ้นมา และสร้างเรื่องให้น่าสนใจขึ้น แต่เนื้อหาก็ยังเป็นลักษณะของนิยายน้ำเน่า คือเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ลด แลก แจก แถม เช่นเดิม แม้นายกฯจะพยายามเสนอมุขใหม่ๆให้น่าสนใจ แต่เมื่อดูในรายละเอียดแล้วน่าจะเป็นมุขด้านมากกว่า โดยเฉพาะการนำเสนอเรื่องที่จะทำในอีก 4 ปีข้างหน้าเหมือนกับพยายามที่จะยัดเยียดหลายสิ่งให้เข้ามาสู่การดำเนินงาน รัฐบาลจึงเปรียบเหมือนคนไข้ที่พยายามใช้ยาเกือบทุกประเภทเพื่อเยียวยาแก้ไขรักษาอาการในปัจจุบัน
นายองอาจ กล่าวว่า นายกฯอาจจะลืมตัวว่าตัวเองไม่ได้เป็นแค่เพียงหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเท่านั้น แต่ยังมีสถานะเป็นนายกฯของประเทศไทย ซึ่งไม่ว่าจะไปทำอะไรที่ไหนก็ตาม ความเป็นนายกฯก็ยังติดตัวอยู่ แต่จากการปราศรัยเมื่อวานพบว่านายกฯใช้วาจาและแสดงกิริยาอาการที่ไม่เหมาะสมหลายหน มีลักษณะก้าวร้าว ระราน กระแนะกระแหน ด่าแขวะหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นเกือบทั้งหมด ซึ่งคนที่เป็นนายกฯไม่ควรใช้ลักษณะเช่นนี้ในการปราศรัยที่มีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศ ทำให้ลดภาพของการเป็นนายกฯที่มีการศึกษาดี ลดภาพของการเป็นผู้นำอินเตอร์ที่นายกฯพยายามนำเสนอลงไปมาก
จากการดูการนำเสนอในหัวข้อ 4 ปีซ่อม 4 ปีสร้าง จะเห็นได้ว่า นายกฯกล่าวพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นผู้สร้างวิกฤติจนนายกฯต้องเข้ามาซ่อมประเทศนี้ ตนขอเรียนว่าปัญหาวิกฤตของประเทศไทยที่นายกฯกล่าวอ้างนั้น ที่จริงแล้วไม่ได้เกิดขึ้นจากรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เกิดขึ้นจากการกระทำของรัฐบาลก่อนหน้านั้น ที่มีรองนายกฯชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในทางกลับกันรัฐบาลของนายชวน หลีกภัยเป็นผู้ที่เข้ามากอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจ จนทำให้รัฐบาลนี้สามารถดำเนินนโยบายโดยการใช้เงินมากมายได้ ‘ในช่วงที่ท่านเข้ามานั้น หากประเทศเกิดวิกฤตจริง ผมเชื่อว่ารัฐบาลของท่านทักษิณคงไม่สามารถที่จะทุ่มเทเงินทองมากมายในการเรียกร้องความนิยมจากพี่น้องประชาชนในช่วงที่เข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะฉะนั้นการดำเนินการที่ท่านกล่าวอ้างว่ามาแก้วิกฤตเศรษฐกิจของชาติในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด นอกเหนือจากไม่เป็นความจริงแล้ว เราพบว่า 4 ปีที่ผ่านมาไม่ทราบว่าท่านซ่อมกันยังไง พี่น้องคนไทยโดยทั่วไปได้รับผลกระทบ โดยมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้นกว่ารายได้ ราคาสินค้าก็ขึ้นสูงกว่าในอดีตที่ผ่านมาอย่างมาก’ นายองอาจ กล่าวและว่า ที่บอกว่าจะเข้ามาซ่อมเศรษฐกิจนั้น ปรากฏว่าคนในแวดล้อมรัฐบาลชุดนี้กลับได้ชื่อว่าเป็นคณะรัฐบาลที่เข้าไปมีส่วนพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างต่อเนื่องตลอดมา และเป็นเรื่องที่นายกฯไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ ‘ที่บอกว่าจะเข้ามาซ่อมนั้น ท่านคงซ่อมกันจนเพลิน จนแทบจะเรียกได้ว่าประเทศไทยอาจจะอยู่ในช่วง 4 ปีที่เหลือซาก ใครก็ตามที่เข้ามาเป็นรัฐบาลชุดต่อไป ก็คงต้องมาช่วยกันซ่อมแซมซากที่ท่านทิ้งเอาไว้มากกว่าที่จะสามารถสร้างอะไรต่อไปได้’ นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวว่า จะสังเกตพบความล้มเหลวของรัฐบาลหลายประการ เช่น กรณีการพักชำระหนี้ จากที่พรรคไทยรักไทย อ้างว่าเกษตรกรที่พักชำระหนี้ 3 ล้านคนใช้หนี้คืนหมดแล้ว แต่ปรากฏว่าเกือบ 4 ปีที่ผ่านมาโครงการพักหนี้ได้เพิ่มหนี้ให้เกษตรกร 48.9% และรัฐบาลไม่ได้ทุ่มงบประมาณลงไปส่งเสริมการลงทุนสร้างมูลค่าทำให้ประชาชนนำเงินไปบริโภค ทั้งนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธ.ก.ส. มีลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2544 จำนวนทั้งสิ้น 2,309,966 ราย คิดเป็นมูลค่าหนี้ 94,329 ล้านบาท แบ่งเป็นเกษตรกรที่พักชำระหนี้จำนวน 1,171.817 ราย มูลหนี้ 53,039 ล้านบาท และเกษตรกรที่ลดภาระหนี้จำนวน 1,138,149 ราย มูลหนี้ 41,290 ล้านบาท ที่ผ่านมากี่ดำเนินการของธนาคารมีปัญหาจนต้องมีการเสนอขอเพิ่มทุนจากกระทรวงการคลังอีก 10,000 ล้าน จาก 30,000 ล้านบาท เป็น 40,000 ล้านบาท เพื่อเสริมฐานะของ ธ.ก.ส. ให้มีความแข็งแกร่งพอที่จะดำเนินงานต่อไป โดยผลดำเนินงานของแบงก์ที่ผ่านมา มีสินเชื่อคงค้าง ณ เดือน มี.ค.47 ทั้งสิ้น 3.21 แสนล้านบาท
กรณีกองทุนหมู่บ้าน ที่นายกฯทักษิณ อ้างว่า ประสบความสำเร็จเกษตรกรกู้เงินไปลงทุนแล้วจ่ายหนี้คืน มีหนี้เสียเพียง 4 % หรือมีการชักดาบน้อยมากนั้น พบว่า จากผลการวิจัยของสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)พบว่าผลกระทบจากกองทุนหมู่บ้านทำให้มีการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนการลงทุนในภาคเกษตรกรนั้นเพิ่มขึ้นเพียง 5 % แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมากคือการกู้เงินในกองทุนฯไปจ่ายเงิรกู้นอกระบบแบบหมมุนเวียนหนี้ ซึ่งถึงแม้จะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการเงินได้ก็จริงแต่ไม่สามารถสรุประยะสั้นได้ เนื่องจากปัญหามีความซับซ้อน ผลการวิจัยยังพบอีกว่าคนที่หาเช้ากินค่ำเข้าไม่ถึงกองทุนฯนี้ เพราะไม่รู้จะกู้เงินไปทำไม ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า การที่รัฐบาลจะสร้างความเท่าเทียม ในชุมชนนั้นเป็นจริงหรือไม่ และจะสร้างความเข็มแข็งให้กับชุมชนได้จริงหรือ
กรณีธนาคารประชาชน ที่นายกฯอ้างว่าเกษตรกรกู้เงินไปลงทุนและนำมาใช่คืนเกือบหมดแล้วมีหนี้เสียเพิ่มจาก 3%เป็น 4% เท่านั้น ความจริงที่พบคือ โครงการธนาคารประชาชนที่ออกมาในรูปแบบโครงการเอื้ออาทรต่างๆเริ่มประสบปัญหามากขึ้นเรื่อยๆปัจจุบันนี้จากการแถลงของธนาคารออมสินที่ปล่อยสินเชื่อธนาคารประชาชนแบบรวมกลุ่มมียอดสินเชื่อทั้งสิ้น 1.86 หมื่นล้านบาท และหนี้ค้างชำระเกิน 6 เดือน (หนี้เสีย) 8.40% หรือ 1,568 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ธ.ก.ส.เตรียสลดเป้าหนี้เสียดังกล่าวให้เหลือเพียง 4% ในสิ้นปีนี้
โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค มีการกล่าวอ้างว่าทุกวันนี้ ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาล คนไทยเป็นมะเร็ง รักษาโรคนี้ได้จากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เกือบ 2 แสนคน รักษาโรคหัวใจ 9 พันคน โรคสมอง 2 หมื่นคน หากทุกคนไม่มีบัตรทองจะต้องใช้เงินเป็นแสนบาทต่อคน จนล้มละลายแน่นอนไม่อย่างนั้นก็ต้องยอมตาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคนั้น มีปัญหาเรื่องงบประมาณ รายรับ-รายจ่ายที่ไม่สมดุลกัน ประกอบกับการจัดสรรงบประมาณที่ทำไม่โปร่งใส มีการเปลี่ยนระบบการจัดสรรงบฯด้วยการนำงบเงินเดือนมาอยู่ในกลาง เพราะต้องการลดบทบาทอำนาจพื้นที่ ส่งผลให้บุคลากรดด้านสาธารณสุขไม่ยอมอยู่ในชนบท มีแพทย์ลาออกจำนวนมากถึง 900 คน
‘ที่ท่านบอกว่า 4 ปีซ่อมนั้น น่าจะเป็น 4 ปีที่ท่านถือส้อมกับช้อน แล้วก็สวาปามประเทศนี้ อย่างเมามันตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ส่วน 4 ปีที่ท่านจะสร้างต่อไปนั้น น่าจะเป็น 4 ปี แห่งการสร้างเมนูใหม่ขึ้นมา เพื่อที่จะมีโอกาสสวาปามให้เพิ่มมากขึ้นกว่า 4 ปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากนั้น ในส่วนของ 4 ปีสร้าง พรรคประชาธิปัตย์มองว่าท่านพยายามที่จะยัดเยียดหลายสิ่งให้เข้ามาอยู่ในโครงการอยู่ในนโยบายของท่าน แต่ไม่สามารถที่จะมองเห็นในเชิงยุทธศาสตร์ได้ชัดเจนว่าท่านจะแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศไทยในเชิงยุทธศาสตร์อย่างไร เหมือนกับพยายามที่จะหยิบทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดว่าเป็นความต้องการของพี่น้องประชาชนเข้ามานำเสนอให้พี่น้องประชาชนพึงพอใจ เพื่อที่จะลงคะแนนเลือกท่านในการเลือกตั้ง มากกว่าที่จะพิจารณาถึงรายละเอียดต่างๆว่ามีความเป้นไปได้มากน้อยแค่ไหน’ นายองอาจ กล่าว
ดร.สรรเสริญ สมะลาภา กล่าวว่า ตนรู้สึกผิดหวังกับคำปราศรัยของนายกฯในเรื่องเศรษฐกิจ เพราะว่าส่วนใหญ่เป้นเรื่องเก่าที่นายกฯนำมาเล่าใหม่ และเป้นการเล่าอย่างบิดเบือน เล่าความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ทั้งเรื่องราคายางพาราและปาล์มที่นายกฯบอกว่ารัฐบาลทำให้ราคาสูงขึ้น ที่จริงแล้วเป็นเพราะราคาในตลาดโลกสูงขึ้น เพราะฉะนั้นรัฐบาลอย่านำเรื่องนี้มาแอบอ้างว่าเป็นผลงานของรัฐบาล ทำไมรัฐบาลไม่พูดถึงราคาพืชผลอื่น เช่น ลำไย ลิ้นจี่ หัวหอม เงาะ หรือ มังคุดบ้าง ที่ราคาตกต่ำ
สำหรับการที่รัฐบาลชำระหนี้กองทุนระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ก่อนกำหนด จำนวน 47,000 ล้านบาท เทียบกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ชำระเพียงแค่ 33,000 ล้านบาท แม้จะน้อยกว่าแต่เป็นการชำระตามกรอบที่ไอเอ็มเอ็ฟกำหนด และการที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กู้เงินมาไม่เต็มจำนวนที่ไอเอ็มเอ็ฟกำหนด จึงทำให้รัฐบาลชุดนี้สามารถชำระหนี้ได้ก่อนกำหนด
นอกจากนี้ การที่นายกฯระบุว่าจีดีพีขยายตัวสูงขึ้นประชาชนมีรายได้สูงขึ้น แต่รัฐบาลไม่ได้กล่าวถึงหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอีก 640,000 ล้านบาท และการกระจายรายได้ก็อยู่เพียงแค่กลุ่มอุตสาหกรรมไม่ใช่กลุ่มเกษตร รวมถึงมูลค่าหุ้นของบริษัทในเครือของครอบครัวนายกรัฐมนตรีเพิ่มขึ้น 34,727 ล้านบาท ในระยะเวลา 4 ปี ยังไม่รวมบริษัทที่ไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 18 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-
วันนี้ (18 ต.ค. 47) เวลาประมาณ 14.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการจัดงานคิกออฟแคมเปญของพรรคไทยรักไทยเมื่อวานนี้ว่า ภาพรวมของการจัดกิจกรรมทั้งหมด ไม่สมราคาคุยที่ได้คุยไว้ล่วงหน้า และไม่มีอะไรเซอร์ไพส์ไปจากที่คาดคิดเอาไว้ การนำเสนอของพรรคไทยรักไทยส่วนหนึ่งเป็นการเอานิยายเรื่องเก่ามาเล่าใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยพยายามชี้ให้เห็นความสำเร็จของนิยายเรื่องเก่า ขณะเดียวกันก็ได้เพิ่มตัวแสดงใหม่ๆขึ้นมา และสร้างเรื่องให้น่าสนใจขึ้น แต่เนื้อหาก็ยังเป็นลักษณะของนิยายน้ำเน่า คือเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ลด แลก แจก แถม เช่นเดิม แม้นายกฯจะพยายามเสนอมุขใหม่ๆให้น่าสนใจ แต่เมื่อดูในรายละเอียดแล้วน่าจะเป็นมุขด้านมากกว่า โดยเฉพาะการนำเสนอเรื่องที่จะทำในอีก 4 ปีข้างหน้าเหมือนกับพยายามที่จะยัดเยียดหลายสิ่งให้เข้ามาสู่การดำเนินงาน รัฐบาลจึงเปรียบเหมือนคนไข้ที่พยายามใช้ยาเกือบทุกประเภทเพื่อเยียวยาแก้ไขรักษาอาการในปัจจุบัน
นายองอาจ กล่าวว่า นายกฯอาจจะลืมตัวว่าตัวเองไม่ได้เป็นแค่เพียงหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเท่านั้น แต่ยังมีสถานะเป็นนายกฯของประเทศไทย ซึ่งไม่ว่าจะไปทำอะไรที่ไหนก็ตาม ความเป็นนายกฯก็ยังติดตัวอยู่ แต่จากการปราศรัยเมื่อวานพบว่านายกฯใช้วาจาและแสดงกิริยาอาการที่ไม่เหมาะสมหลายหน มีลักษณะก้าวร้าว ระราน กระแนะกระแหน ด่าแขวะหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นเกือบทั้งหมด ซึ่งคนที่เป็นนายกฯไม่ควรใช้ลักษณะเช่นนี้ในการปราศรัยที่มีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศ ทำให้ลดภาพของการเป็นนายกฯที่มีการศึกษาดี ลดภาพของการเป็นผู้นำอินเตอร์ที่นายกฯพยายามนำเสนอลงไปมาก
จากการดูการนำเสนอในหัวข้อ 4 ปีซ่อม 4 ปีสร้าง จะเห็นได้ว่า นายกฯกล่าวพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นผู้สร้างวิกฤติจนนายกฯต้องเข้ามาซ่อมประเทศนี้ ตนขอเรียนว่าปัญหาวิกฤตของประเทศไทยที่นายกฯกล่าวอ้างนั้น ที่จริงแล้วไม่ได้เกิดขึ้นจากรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เกิดขึ้นจากการกระทำของรัฐบาลก่อนหน้านั้น ที่มีรองนายกฯชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในทางกลับกันรัฐบาลของนายชวน หลีกภัยเป็นผู้ที่เข้ามากอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจ จนทำให้รัฐบาลนี้สามารถดำเนินนโยบายโดยการใช้เงินมากมายได้ ‘ในช่วงที่ท่านเข้ามานั้น หากประเทศเกิดวิกฤตจริง ผมเชื่อว่ารัฐบาลของท่านทักษิณคงไม่สามารถที่จะทุ่มเทเงินทองมากมายในการเรียกร้องความนิยมจากพี่น้องประชาชนในช่วงที่เข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะฉะนั้นการดำเนินการที่ท่านกล่าวอ้างว่ามาแก้วิกฤตเศรษฐกิจของชาติในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด นอกเหนือจากไม่เป็นความจริงแล้ว เราพบว่า 4 ปีที่ผ่านมาไม่ทราบว่าท่านซ่อมกันยังไง พี่น้องคนไทยโดยทั่วไปได้รับผลกระทบ โดยมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้นกว่ารายได้ ราคาสินค้าก็ขึ้นสูงกว่าในอดีตที่ผ่านมาอย่างมาก’ นายองอาจ กล่าวและว่า ที่บอกว่าจะเข้ามาซ่อมเศรษฐกิจนั้น ปรากฏว่าคนในแวดล้อมรัฐบาลชุดนี้กลับได้ชื่อว่าเป็นคณะรัฐบาลที่เข้าไปมีส่วนพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างต่อเนื่องตลอดมา และเป็นเรื่องที่นายกฯไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ ‘ที่บอกว่าจะเข้ามาซ่อมนั้น ท่านคงซ่อมกันจนเพลิน จนแทบจะเรียกได้ว่าประเทศไทยอาจจะอยู่ในช่วง 4 ปีที่เหลือซาก ใครก็ตามที่เข้ามาเป็นรัฐบาลชุดต่อไป ก็คงต้องมาช่วยกันซ่อมแซมซากที่ท่านทิ้งเอาไว้มากกว่าที่จะสามารถสร้างอะไรต่อไปได้’ นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวว่า จะสังเกตพบความล้มเหลวของรัฐบาลหลายประการ เช่น กรณีการพักชำระหนี้ จากที่พรรคไทยรักไทย อ้างว่าเกษตรกรที่พักชำระหนี้ 3 ล้านคนใช้หนี้คืนหมดแล้ว แต่ปรากฏว่าเกือบ 4 ปีที่ผ่านมาโครงการพักหนี้ได้เพิ่มหนี้ให้เกษตรกร 48.9% และรัฐบาลไม่ได้ทุ่มงบประมาณลงไปส่งเสริมการลงทุนสร้างมูลค่าทำให้ประชาชนนำเงินไปบริโภค ทั้งนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธ.ก.ส. มีลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2544 จำนวนทั้งสิ้น 2,309,966 ราย คิดเป็นมูลค่าหนี้ 94,329 ล้านบาท แบ่งเป็นเกษตรกรที่พักชำระหนี้จำนวน 1,171.817 ราย มูลหนี้ 53,039 ล้านบาท และเกษตรกรที่ลดภาระหนี้จำนวน 1,138,149 ราย มูลหนี้ 41,290 ล้านบาท ที่ผ่านมากี่ดำเนินการของธนาคารมีปัญหาจนต้องมีการเสนอขอเพิ่มทุนจากกระทรวงการคลังอีก 10,000 ล้าน จาก 30,000 ล้านบาท เป็น 40,000 ล้านบาท เพื่อเสริมฐานะของ ธ.ก.ส. ให้มีความแข็งแกร่งพอที่จะดำเนินงานต่อไป โดยผลดำเนินงานของแบงก์ที่ผ่านมา มีสินเชื่อคงค้าง ณ เดือน มี.ค.47 ทั้งสิ้น 3.21 แสนล้านบาท
กรณีกองทุนหมู่บ้าน ที่นายกฯทักษิณ อ้างว่า ประสบความสำเร็จเกษตรกรกู้เงินไปลงทุนแล้วจ่ายหนี้คืน มีหนี้เสียเพียง 4 % หรือมีการชักดาบน้อยมากนั้น พบว่า จากผลการวิจัยของสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)พบว่าผลกระทบจากกองทุนหมู่บ้านทำให้มีการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนการลงทุนในภาคเกษตรกรนั้นเพิ่มขึ้นเพียง 5 % แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมากคือการกู้เงินในกองทุนฯไปจ่ายเงิรกู้นอกระบบแบบหมมุนเวียนหนี้ ซึ่งถึงแม้จะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการเงินได้ก็จริงแต่ไม่สามารถสรุประยะสั้นได้ เนื่องจากปัญหามีความซับซ้อน ผลการวิจัยยังพบอีกว่าคนที่หาเช้ากินค่ำเข้าไม่ถึงกองทุนฯนี้ เพราะไม่รู้จะกู้เงินไปทำไม ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า การที่รัฐบาลจะสร้างความเท่าเทียม ในชุมชนนั้นเป็นจริงหรือไม่ และจะสร้างความเข็มแข็งให้กับชุมชนได้จริงหรือ
กรณีธนาคารประชาชน ที่นายกฯอ้างว่าเกษตรกรกู้เงินไปลงทุนและนำมาใช่คืนเกือบหมดแล้วมีหนี้เสียเพิ่มจาก 3%เป็น 4% เท่านั้น ความจริงที่พบคือ โครงการธนาคารประชาชนที่ออกมาในรูปแบบโครงการเอื้ออาทรต่างๆเริ่มประสบปัญหามากขึ้นเรื่อยๆปัจจุบันนี้จากการแถลงของธนาคารออมสินที่ปล่อยสินเชื่อธนาคารประชาชนแบบรวมกลุ่มมียอดสินเชื่อทั้งสิ้น 1.86 หมื่นล้านบาท และหนี้ค้างชำระเกิน 6 เดือน (หนี้เสีย) 8.40% หรือ 1,568 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ธ.ก.ส.เตรียสลดเป้าหนี้เสียดังกล่าวให้เหลือเพียง 4% ในสิ้นปีนี้
โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค มีการกล่าวอ้างว่าทุกวันนี้ ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาล คนไทยเป็นมะเร็ง รักษาโรคนี้ได้จากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เกือบ 2 แสนคน รักษาโรคหัวใจ 9 พันคน โรคสมอง 2 หมื่นคน หากทุกคนไม่มีบัตรทองจะต้องใช้เงินเป็นแสนบาทต่อคน จนล้มละลายแน่นอนไม่อย่างนั้นก็ต้องยอมตาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคนั้น มีปัญหาเรื่องงบประมาณ รายรับ-รายจ่ายที่ไม่สมดุลกัน ประกอบกับการจัดสรรงบประมาณที่ทำไม่โปร่งใส มีการเปลี่ยนระบบการจัดสรรงบฯด้วยการนำงบเงินเดือนมาอยู่ในกลาง เพราะต้องการลดบทบาทอำนาจพื้นที่ ส่งผลให้บุคลากรดด้านสาธารณสุขไม่ยอมอยู่ในชนบท มีแพทย์ลาออกจำนวนมากถึง 900 คน
‘ที่ท่านบอกว่า 4 ปีซ่อมนั้น น่าจะเป็น 4 ปีที่ท่านถือส้อมกับช้อน แล้วก็สวาปามประเทศนี้ อย่างเมามันตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ส่วน 4 ปีที่ท่านจะสร้างต่อไปนั้น น่าจะเป็น 4 ปี แห่งการสร้างเมนูใหม่ขึ้นมา เพื่อที่จะมีโอกาสสวาปามให้เพิ่มมากขึ้นกว่า 4 ปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากนั้น ในส่วนของ 4 ปีสร้าง พรรคประชาธิปัตย์มองว่าท่านพยายามที่จะยัดเยียดหลายสิ่งให้เข้ามาอยู่ในโครงการอยู่ในนโยบายของท่าน แต่ไม่สามารถที่จะมองเห็นในเชิงยุทธศาสตร์ได้ชัดเจนว่าท่านจะแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศไทยในเชิงยุทธศาสตร์อย่างไร เหมือนกับพยายามที่จะหยิบทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดว่าเป็นความต้องการของพี่น้องประชาชนเข้ามานำเสนอให้พี่น้องประชาชนพึงพอใจ เพื่อที่จะลงคะแนนเลือกท่านในการเลือกตั้ง มากกว่าที่จะพิจารณาถึงรายละเอียดต่างๆว่ามีความเป้นไปได้มากน้อยแค่ไหน’ นายองอาจ กล่าว
ดร.สรรเสริญ สมะลาภา กล่าวว่า ตนรู้สึกผิดหวังกับคำปราศรัยของนายกฯในเรื่องเศรษฐกิจ เพราะว่าส่วนใหญ่เป้นเรื่องเก่าที่นายกฯนำมาเล่าใหม่ และเป้นการเล่าอย่างบิดเบือน เล่าความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ทั้งเรื่องราคายางพาราและปาล์มที่นายกฯบอกว่ารัฐบาลทำให้ราคาสูงขึ้น ที่จริงแล้วเป็นเพราะราคาในตลาดโลกสูงขึ้น เพราะฉะนั้นรัฐบาลอย่านำเรื่องนี้มาแอบอ้างว่าเป็นผลงานของรัฐบาล ทำไมรัฐบาลไม่พูดถึงราคาพืชผลอื่น เช่น ลำไย ลิ้นจี่ หัวหอม เงาะ หรือ มังคุดบ้าง ที่ราคาตกต่ำ
สำหรับการที่รัฐบาลชำระหนี้กองทุนระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ก่อนกำหนด จำนวน 47,000 ล้านบาท เทียบกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ชำระเพียงแค่ 33,000 ล้านบาท แม้จะน้อยกว่าแต่เป็นการชำระตามกรอบที่ไอเอ็มเอ็ฟกำหนด และการที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กู้เงินมาไม่เต็มจำนวนที่ไอเอ็มเอ็ฟกำหนด จึงทำให้รัฐบาลชุดนี้สามารถชำระหนี้ได้ก่อนกำหนด
นอกจากนี้ การที่นายกฯระบุว่าจีดีพีขยายตัวสูงขึ้นประชาชนมีรายได้สูงขึ้น แต่รัฐบาลไม่ได้กล่าวถึงหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอีก 640,000 ล้านบาท และการกระจายรายได้ก็อยู่เพียงแค่กลุ่มอุตสาหกรรมไม่ใช่กลุ่มเกษตร รวมถึงมูลค่าหุ้นของบริษัทในเครือของครอบครัวนายกรัฐมนตรีเพิ่มขึ้น 34,727 ล้านบาท ในระยะเวลา 4 ปี ยังไม่รวมบริษัทที่ไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 18 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-