นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีศาลฏีกาแผนกคดีอาญา รับพิจารณาคดี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช.ออกระเบียบขึ้นเงินเดือนตัวเอง หรือว่าค่าตอบแทนของตัวเอง ทำให้ทาง ปปช. ออกมาบอกว่า จากกรณีนี้ทำให้มีงานคั่งค้างอยู่ใน ปปช. จำนวนมาก เพราะ ปปช.ไม่สามารถที่จะทำงานต่อไปได้ ขณะเดียวกันก็เป็นแผนการที่จะทำลาย องค์กรอิสระ เป็นแผนการที่จะทำให้องค์กรอิสระ เช่น ปปช.ที่มีหน้าที่ตรวจสอบทุจริต ไม่สามารถทำงานได้นั้น
นายองอาจ กล่าวว่า ในส่วนของพรรค ประชาธิปัตย์ มีความเห็นว่าการดำเนินการทั้งหมดในขณะนี้เรื่องของการตรวจสอบ การขึ้นเงินเดือน ของปปช.นั้น ไม่ใช่แผนการทำลาย ปปช.หรือองค์การอิสระใดๆทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ถ้าพิจารณาเรื่องนี้ตั้งแต่ตั้งจะเห็นว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากการกระทำของปปช. เป็นการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย เป็นการกระทำที่อาจจะขัดต่อกฎหมาย เพราะฉะนั้น ส.ส. หรือ ส.ว. จำนวนหนึ่ง จึงได้ยื่นเรื่อง ไปตามกระบวนการ ของรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด เพื่อที่จะตรวจสอบถึงความไม่ถูกต้อง ในการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ คือปปช. ถือได้ว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจาก ปปช.เอง ไม่ใช่การกระทำของฝ่ายอื่น ส.ส.หรือ ส.ว. เพียงแต่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ตามกฏหมาย เพื่อให้เรื่องนี้มีความถูกต้อง โปร่งใส และชัดเจนขึ้น
นายองอาจ ยังกล่าวอีกว่า การทำหน้าที่ตรวจสอบ ของส.ส. และส.ว.ครั้งนี้เป็นการตรวจสอบเพื่อผดุง ความหมาย ความมีศักดิ์ศรีของ องค์กรอิสระ โดยเฉพาะ ปปช.ให้สูงเด่น ยิ่งขึ้น เพราะตั้งแต่มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการชุดหลังขึ้นมา พบปัญหามากขึ้น สาเหตุของปัญหาที่ต้องยอมรับคือ ส่วนหนึ่งเกิดจากกระบวนการสรรหา ที่มีการเข้าไปแทรกแซง การพิจารณาตัวบุคคล ที่เข้าไปทำงานในองค์กรอิสระ ต่างโดยฝ่ายการเมือง ที่สำคัญคือฝ่ายรัฐบาล อย่างมาก จนเกิดความไม่มีอิสระในการทำงาน ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
จากกรณีนี้ โฆษกพรรคประชิปัตย์ กล่าวว่าทางพรรคประชาธิปัตย์ อยากจะเรียกร้อง ว่าเมื่อกระบวนการทางกฎหมายกำลังเริ่มต้น อย่างถูกต้องในขณะนี้ ในกรณีของ ปปช.นั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์จึงอยากให้คณะกรรมการ ปปช. ยุติบทบาทในการเคลื่อนไหวใดๆ รวมทั้งการออกมาแสดงความคิดเห็น เพราะอาจจะทำให้ความศรัทธา ต่อ ปปช.ลดลง
'อยากให้ ปปช.คำนึงว่า ปปช. ต้องไม่พยายามหาช่องว่างของกฎหมายเพื่อเอาตัวรอด เท่านั้น แต่ ปปช.ควรคำนึงถึง กฎของสามัญสำนึกในการทำหน้าที่ ในฐานะที่เป็นองค์กรอิสระด้วย เพื่อให้องค์กรอิสระเป็นที่พึ่งของประชาชน เพราะหาก ปปช.หาทางเอาตัวรอดขณะนี้ โดยไม่คำนึงความรู้สึกของสังคม ของประชาชน ก็เท่ากับว่า ปปช.กำลังทำลาย องค์กรอิสระด้วยตัวเอง ซึ่งไม่เป็นผลดี ต่อ ระบอบประชาธิปไตยแน่นอน' นายองอาจกล่าว
นอกจากนี้ จากประเด็น ที่นายชุมพล ศิลปอาชา ส.ว. กรุงเทพฯ กล่าวว่า ฝ่าย ส.ส.น่าจะเข้าชื่อกัน 1 ใน 4 ของ จำนวน ส.ส.ทั้งหมด เพื่อยื่นเรื่องพิจารณา ปปช.โดยตรง ดังที่เป็นข่าว
นายองอาจ กล่าวว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ได้พิจารณาข้อกฎหมาย แล้วมีความคิดเห็นต่างออกไปหลายส่วน บางส่วนเห็นด้วย แต่บางส่วนมีความแตกต่างออกไป ดังนั้นการดำเนินการอย่างที่ท่านส.ว.เสนอนั้น ต้องมีการพิจารณาต่อไป ว่าจะดำเนินการได้หรือไม่อย่างไร
อย่างไรก็ตาม นายองอาจ ยืนยันว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ดำเนินการเพื่อผล ทางการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่การดำเนินเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ บรรทัดฐาน ของการทำหน้าที่อย่างถูกต้องขององค์กรอิสระ และการดำเนินการไม่ใช่ภาระหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านเท่านั้น เป็นหน้าที่ของ ส.ส.ทุกท่านที่สามารถดำเนินการได้ หากส.ส.ฝ่ายรัฐบาลประสงค์จะดำเนินการก็สามารถทำได้ เช่นเดียวกัน
นายองอาจ กล่าวถึงนโยบายชวนเชื่อที่ทางรัฐบาลนำเสนอทุกวันเป็นนโยบายที่รัฐบาลเปรียบเสมือนเป็น ผู้บริจาค ส่วนประชาชนทั่วไป กลายสภาพเป็นเสมือนผู้รับบริจาค รอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาล ถือว่าเป็นการสร้างวัฒนธรรมระบบอุปถัมท์ให้เกิดขึ้นในสังคมมากขึ้น เป็นการสร้างปัญหาในระยะยาวให้กับประเทศ
นอกจากนี้จากการที่นายกฯทักษิณ ประกาศนโนยบายในวันคิกออฟแคมเปญ ของพรรคไทยรักไทย ว่า อีก 4 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะไม่มีคนจนอีก นั้น นายองอาจ กล่าวว่า ที่ไม่มีคนจนอีกเป็นเพราะคนจนได้ตายหมดแล้ว คือคนจนตายทั้งเป็นเนื่องจากปัญหาต่างๆเข้ามารุ่มเร้ามากขึ้น และยืนยันว่าการสร้างนโยบายของท่านนายกฯ เป็นการสร้างความพึงพอใจเฉพาะหน้า ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวว่า นโยบายของพรรคไทยรักไทยที่ประกาศออกมาในวันคิกออฟแคมเปญนั้น เป็นนโยบายที่ไม่ใช่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นปัญหาความแตกต่างระหว่างชนชั้นคนรวยกับคนจนเห็นจากบุคคลที่แวดล้อมท่านนายกฯรวยที่ยิ่งรวยขึ้น ขณะที่คนจน จนมากขึ้น หนี้สินเพิ่มมากขึ้น สินค้าแพงขึ้น
'จาก4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่เคยมองปัญหาเชิงโครงสร้างเลย แต่กลับสนุกกับการแจกแจกเงิน จากนโยบาย ลดแลกแจกแถม เพื่อเป้าหมายทางการเมืองนั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์ อยากเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนวิธีการเอาชนะทางการเมืองด้วยการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง หยุดยั้งการมอมเมาประชาชน ให้เป็นทาสของเงินตรา ที่ซึ่งจะเป็นการทำลายประเทศในอนาคต' นายองอาจกล่าว
นายองอาจกล่าวถึงกรณีที่ประธานส.ส.พรรคไทยรักไทย ออกมากล่าวว่า จะได้ส.ส. กทม. 28 ที่นั่ง และเพิ่มอีก 5 ที่นั่ง เป็นสิทธิ์ที่สามารถประกาศได้ แต่ อยากจะให้พรรคไทยรักไทย ยอมรับว่า ขณะนี้คนกรุงเทพฯ รู้ทัน ท่านนายกฯทักษิณ รู้ทันรัฐบาลนี้มากขึ้น ทั้งเรื่องรัฐบาลนี้ปล่อยให้ผู้เกี่ยวข้องใช้อำนาจรัฐ กระทำการ หรือปล่อยให้ บริวารผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่น หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทุจริต เชิงนโยบาย หรือผลประโยชน์ทับซ้อน
'จากการรับรู้ของพี่น้องชาวกรุงเทพฯที่มากขึ้น เรื่องของการพยายามใช้เผด็จการอำนาจ มากขึ้นของท่านนายกฯ เป็นเหตุผลหนึ่งที่พี่น้อง ชาวกรุงเทพฯ ไม่สามารถยอมรับได้ที่จะมีการรวบอำนาจอย่างเผด็จการมากขึ้นโดยไม่ฟังความคิดเห็นของใคร' นายองอาจกล่าว
นอกจากนี้ นางองอาจ ยังกล่าวว่า ส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนี้ทางพรรคได้มีการ สรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งใน กรุงเทพฯ ที่เหมาะสม ซึ่งใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และคาดว่าจะสามารถประกาศได้ประมาณหลังเดือน พฤษจิกายน ไปแล้วเพราะหลายท่าน ยังติดภาระกิจส่วนตัวอยู่ และทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็คาดว่าจะสามารถรักษา 9 ที่นั่งเดิมเอาไว้ได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นายองอาจ กล่าวว่า ในส่วนของพรรค ประชาธิปัตย์ มีความเห็นว่าการดำเนินการทั้งหมดในขณะนี้เรื่องของการตรวจสอบ การขึ้นเงินเดือน ของปปช.นั้น ไม่ใช่แผนการทำลาย ปปช.หรือองค์การอิสระใดๆทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ถ้าพิจารณาเรื่องนี้ตั้งแต่ตั้งจะเห็นว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากการกระทำของปปช. เป็นการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย เป็นการกระทำที่อาจจะขัดต่อกฎหมาย เพราะฉะนั้น ส.ส. หรือ ส.ว. จำนวนหนึ่ง จึงได้ยื่นเรื่อง ไปตามกระบวนการ ของรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด เพื่อที่จะตรวจสอบถึงความไม่ถูกต้อง ในการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ คือปปช. ถือได้ว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจาก ปปช.เอง ไม่ใช่การกระทำของฝ่ายอื่น ส.ส.หรือ ส.ว. เพียงแต่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ตามกฏหมาย เพื่อให้เรื่องนี้มีความถูกต้อง โปร่งใส และชัดเจนขึ้น
นายองอาจ ยังกล่าวอีกว่า การทำหน้าที่ตรวจสอบ ของส.ส. และส.ว.ครั้งนี้เป็นการตรวจสอบเพื่อผดุง ความหมาย ความมีศักดิ์ศรีของ องค์กรอิสระ โดยเฉพาะ ปปช.ให้สูงเด่น ยิ่งขึ้น เพราะตั้งแต่มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการชุดหลังขึ้นมา พบปัญหามากขึ้น สาเหตุของปัญหาที่ต้องยอมรับคือ ส่วนหนึ่งเกิดจากกระบวนการสรรหา ที่มีการเข้าไปแทรกแซง การพิจารณาตัวบุคคล ที่เข้าไปทำงานในองค์กรอิสระ ต่างโดยฝ่ายการเมือง ที่สำคัญคือฝ่ายรัฐบาล อย่างมาก จนเกิดความไม่มีอิสระในการทำงาน ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
จากกรณีนี้ โฆษกพรรคประชิปัตย์ กล่าวว่าทางพรรคประชาธิปัตย์ อยากจะเรียกร้อง ว่าเมื่อกระบวนการทางกฎหมายกำลังเริ่มต้น อย่างถูกต้องในขณะนี้ ในกรณีของ ปปช.นั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์จึงอยากให้คณะกรรมการ ปปช. ยุติบทบาทในการเคลื่อนไหวใดๆ รวมทั้งการออกมาแสดงความคิดเห็น เพราะอาจจะทำให้ความศรัทธา ต่อ ปปช.ลดลง
'อยากให้ ปปช.คำนึงว่า ปปช. ต้องไม่พยายามหาช่องว่างของกฎหมายเพื่อเอาตัวรอด เท่านั้น แต่ ปปช.ควรคำนึงถึง กฎของสามัญสำนึกในการทำหน้าที่ ในฐานะที่เป็นองค์กรอิสระด้วย เพื่อให้องค์กรอิสระเป็นที่พึ่งของประชาชน เพราะหาก ปปช.หาทางเอาตัวรอดขณะนี้ โดยไม่คำนึงความรู้สึกของสังคม ของประชาชน ก็เท่ากับว่า ปปช.กำลังทำลาย องค์กรอิสระด้วยตัวเอง ซึ่งไม่เป็นผลดี ต่อ ระบอบประชาธิปไตยแน่นอน' นายองอาจกล่าว
นอกจากนี้ จากประเด็น ที่นายชุมพล ศิลปอาชา ส.ว. กรุงเทพฯ กล่าวว่า ฝ่าย ส.ส.น่าจะเข้าชื่อกัน 1 ใน 4 ของ จำนวน ส.ส.ทั้งหมด เพื่อยื่นเรื่องพิจารณา ปปช.โดยตรง ดังที่เป็นข่าว
นายองอาจ กล่าวว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ได้พิจารณาข้อกฎหมาย แล้วมีความคิดเห็นต่างออกไปหลายส่วน บางส่วนเห็นด้วย แต่บางส่วนมีความแตกต่างออกไป ดังนั้นการดำเนินการอย่างที่ท่านส.ว.เสนอนั้น ต้องมีการพิจารณาต่อไป ว่าจะดำเนินการได้หรือไม่อย่างไร
อย่างไรก็ตาม นายองอาจ ยืนยันว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ดำเนินการเพื่อผล ทางการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่การดำเนินเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ บรรทัดฐาน ของการทำหน้าที่อย่างถูกต้องขององค์กรอิสระ และการดำเนินการไม่ใช่ภาระหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านเท่านั้น เป็นหน้าที่ของ ส.ส.ทุกท่านที่สามารถดำเนินการได้ หากส.ส.ฝ่ายรัฐบาลประสงค์จะดำเนินการก็สามารถทำได้ เช่นเดียวกัน
นายองอาจ กล่าวถึงนโยบายชวนเชื่อที่ทางรัฐบาลนำเสนอทุกวันเป็นนโยบายที่รัฐบาลเปรียบเสมือนเป็น ผู้บริจาค ส่วนประชาชนทั่วไป กลายสภาพเป็นเสมือนผู้รับบริจาค รอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาล ถือว่าเป็นการสร้างวัฒนธรรมระบบอุปถัมท์ให้เกิดขึ้นในสังคมมากขึ้น เป็นการสร้างปัญหาในระยะยาวให้กับประเทศ
นอกจากนี้จากการที่นายกฯทักษิณ ประกาศนโนยบายในวันคิกออฟแคมเปญ ของพรรคไทยรักไทย ว่า อีก 4 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะไม่มีคนจนอีก นั้น นายองอาจ กล่าวว่า ที่ไม่มีคนจนอีกเป็นเพราะคนจนได้ตายหมดแล้ว คือคนจนตายทั้งเป็นเนื่องจากปัญหาต่างๆเข้ามารุ่มเร้ามากขึ้น และยืนยันว่าการสร้างนโยบายของท่านนายกฯ เป็นการสร้างความพึงพอใจเฉพาะหน้า ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวว่า นโยบายของพรรคไทยรักไทยที่ประกาศออกมาในวันคิกออฟแคมเปญนั้น เป็นนโยบายที่ไม่ใช่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นปัญหาความแตกต่างระหว่างชนชั้นคนรวยกับคนจนเห็นจากบุคคลที่แวดล้อมท่านนายกฯรวยที่ยิ่งรวยขึ้น ขณะที่คนจน จนมากขึ้น หนี้สินเพิ่มมากขึ้น สินค้าแพงขึ้น
'จาก4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่เคยมองปัญหาเชิงโครงสร้างเลย แต่กลับสนุกกับการแจกแจกเงิน จากนโยบาย ลดแลกแจกแถม เพื่อเป้าหมายทางการเมืองนั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์ อยากเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนวิธีการเอาชนะทางการเมืองด้วยการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง หยุดยั้งการมอมเมาประชาชน ให้เป็นทาสของเงินตรา ที่ซึ่งจะเป็นการทำลายประเทศในอนาคต' นายองอาจกล่าว
นายองอาจกล่าวถึงกรณีที่ประธานส.ส.พรรคไทยรักไทย ออกมากล่าวว่า จะได้ส.ส. กทม. 28 ที่นั่ง และเพิ่มอีก 5 ที่นั่ง เป็นสิทธิ์ที่สามารถประกาศได้ แต่ อยากจะให้พรรคไทยรักไทย ยอมรับว่า ขณะนี้คนกรุงเทพฯ รู้ทัน ท่านนายกฯทักษิณ รู้ทันรัฐบาลนี้มากขึ้น ทั้งเรื่องรัฐบาลนี้ปล่อยให้ผู้เกี่ยวข้องใช้อำนาจรัฐ กระทำการ หรือปล่อยให้ บริวารผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่น หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทุจริต เชิงนโยบาย หรือผลประโยชน์ทับซ้อน
'จากการรับรู้ของพี่น้องชาวกรุงเทพฯที่มากขึ้น เรื่องของการพยายามใช้เผด็จการอำนาจ มากขึ้นของท่านนายกฯ เป็นเหตุผลหนึ่งที่พี่น้อง ชาวกรุงเทพฯ ไม่สามารถยอมรับได้ที่จะมีการรวบอำนาจอย่างเผด็จการมากขึ้นโดยไม่ฟังความคิดเห็นของใคร' นายองอาจกล่าว
นอกจากนี้ นางองอาจ ยังกล่าวว่า ส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนี้ทางพรรคได้มีการ สรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งใน กรุงเทพฯ ที่เหมาะสม ซึ่งใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และคาดว่าจะสามารถประกาศได้ประมาณหลังเดือน พฤษจิกายน ไปแล้วเพราะหลายท่าน ยังติดภาระกิจส่วนตัวอยู่ และทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็คาดว่าจะสามารถรักษา 9 ที่นั่งเดิมเอาไว้ได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-