‘ปชป.’ยัน ‘คาราวานประชาธิปไตย’ ไม่ใช่หน่วยงานโจมตีรัฐบาลฝ่ายเดียว เตือน ‘ปชช’อย่าหลงโฆษณาชวนเชื่อ ‘นโยบายตกเขียว’ แนะ ‘รัฐ’ เร่งแก้ 6 ปัญหาก่อนหมดวาระ ชี้เหตุและผล 10ประการ ที่ ‘ปชช.’พิจารณาเลือกพรรคการเมืองครั้งต่อไป
ยัน ‘คาราวานประชาธิปไตย’ ไม่ใช่หน่วยงานโจมตีรัฐบาลฝ่ายเดียว
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ‘คาราวานประชาธิปัตย์’ของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วง 4 วันที่ผ่านมาว่า พรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการเคลื่อนไหวโดยยุทธวิธีคาราวานประชาธิปไตยตามยุทธศาสตร์ถึงเวลาทวงคืนประเทศไทยนั้น ถือว่าประสบความสำเร็จ ซึ่งตนเห็นว่า ‘คาราวานประชาธิปัตย์’ครั้งนี้เป็นการออกเดินสายเพื่อพูดความจริงหลายๆสิ่งที่พี่น้องประชาชนในภาคอีสานอาจจะไม่ทราบมาก่อน ที่เกี่ยวข้องถึงการดำเนินงานของรัฐบาล รวมถึงนโยบายของรัฐบาลเองที่ประสบปัญหาหลายเรื่อง รวมทั้งที่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องของหนี้สินภาคครัวเรือน พรรคประชาธิปัตย์ไม่เพียงแต่จะพูดถึงหนี้สินที่รัฐบาลไปก่อหนี้เท่านั้น ทางพรรคเองก็ยังพูดถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนด้วย
“การไปอีสานในครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์พูดถึงเรื่องนโยบายในการแก้ไขปัญหาประเทศชาติอย่างมาก เรานอกจากจะพูดถึงความล้มเหล่วของรัฐบาลชุดปัจจุบันแล้ว เราก็พูดถึงนโยบายที่จำนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติในระยะยาวด้วยนะครับ” นายองอาจ กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวยืนยันว่า ความสำเร็จของพรรคประชาธิปัตย์ในการออกไป‘คาราวานประชาธิปัตย์’นั้น เชื่อว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนส.ส.ที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ทางพรรคประชาธิปัตย์มุ่งหวังที่จะให้พี่น้องประชาชนได้เพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจ ในระบอบประชาธิปไตย และเห็นถึงปัญหาที่แท้จริงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย
รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อ ‘นโยบายตกเขียว’ แนะ ‘รัฐ’ เร่งแก้ 6 ปัญหาก่อนหมดวาระ
นายองอาจ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลโดยมีพรรคไทยรักไทยเป็นแกนนำ ที่กำลังมีการโฆษณาชวนเชื่อในหลายๆพื้นที่ถึงนโยบายใหม่ ซึ่งเป็นนโยบายที่ให้ความหวังกับพี่น้องประชาชนว่า ถ้าเลือกรัฐบาลกลับเข้ามาใหม่แล้ว อีก 4 ปีข้างหน้าคนจนก็จะหมดไปจากประเทศไทย ซึ่งนโยบายต่างๆนี้เหล่านี้เรียกง่ายๆว่า ‘รัฐบาลตกเขียว’ก็คือ ทำเป็นโครงการนำร่องไปก่อน ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง แต่พอหลังการเลือกตั้งก็จะกลับมาทำเพิ่มขึ้นอีก รวมถึงการหว่านงบประมาณลงไปในพื้นที่อย่างมากในขณะนี้ รวมถึงงบประมาณแผ่นดินโดยตรงและเงินนอกงบประมาณต่างๆ ก็กำลังถูกนำไปในพื้นที่ค่อนข้างมาก และเป็นการนำเข้าไปเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นแล้วก็จะบอกว่า ถ้าเลือกรัฐบาลกลับมาเป็นอีก เงินงบประมาณส่วนที่เหลือก็จะถูกนำกลับมาใช้หลังการเลือกตั้ง
“ลักษณะเช่นนี้ผมเรียกว่า เป็นการไปตกเขียวไว้ก่อน ซึ่งพี่น้องประชาชนส่วนหนึ่งนะครับก็อาจจะหลงไหลได้ปลื้มกับสิ่งเหล่านี้ แต่แท้ที่จริงแล้วก็เป็นลักษณะของการมาสัญญาว่าจะให้ หลังจากการเลือกตั้ง”นายองอาจกล่าว และว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์มีความกังวลและต้องการให้รัฐบาลดำเนินการก่อน เพราะขณะนี้มีปัญหามากมายซึ่งถือว่าเป็นปัญหาสะสมอยู่ในประเทศชาติ ก่อนที่รัฐบาลจะไปให้ความหวังโฆษณาชวนเชื่อนโยบายใหม่ จึงเรียกร้องรัฐบาลชุดปัจจุบันแก้ไขปัญหาต่างๆให้สำเร็จก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะหมดวาระลง ในวันที่ 5 มกราคม โดยเฉพาะ 6 ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะการทุจริตคอรัปชั่น ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาการแพร่ระบาดไข้หวัดนก ปัญหาสินค้าราคาแพงหลังผลกระทบจากราคาน้ำมัน และผลกระทบที่จะตามมาในภาวะราคาน้ำมันแพง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ และสุดท้ายปัญหาหนี้สินของประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น “ทั้ง 6 ปัญหานี้พรรคปชป.อยากจะเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขแก้ไขให้สำเร็จก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะสิ้นสุดลง ไม่ควรให้ปัยหาต่างๆเหล่านี้ไปเป็นภาระของรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้ง”นายองอาจ กล่าว
ชี้เหตุและผล 10ประการ ที่ ‘ปชช.’พิจารณาเลือกพรรคการเมืองครั้งต่อไป
ส่วนกรณีที่ทางพรรคไทยรักไทย ได้ออกมาบอกว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไปยังไงประชาชนก็จะเลือกพรรคไทยรักไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลอยู่ดี เพราะประชาชนจะเลือก ส.ส.จากผู้นำพรรค จากนโยบาย และจากส.ส.ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเอง ในเรื่องนี้เองทางพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไป นอกจากพี่น้องประชาชนจะพิจารณาจาก 3 ส่วนดังกล่าวแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งตนเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปนี้ เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ปกติและเป็นการเลือกตั้งที่แตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่รัฐบาลที่กำลังดำรงอยู่ตำแหน่งนั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในหลายเรื่องด้วยกันทั้งจากนักวิชาการ องค์กรประชาธิปไตย เอ็นจีโอ. รวมถึงส.ส.,ส.ว.จำนวนมาก
พรรคประชาธิปัตย์ มองว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปประชาชนจะพิจารณาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วย เหตุด้วยผลต่างๆ 10 ด้านด้วยกัน
1. พิจารณาว่าพรรคการเมืองที่สามารถแก้ไขปัญหาการทุจริต ที่มีการแพร่ระบาดอย่างนักตลอด 4 ปีที่ผ่านมาได้ ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตในเชิงนโยบายหรือ การทุจริตมีผลประโยชน์ทับซ้อน
2. พิจารณาว่าพรรคการเมืองที่ไม่ทุจริตเชิงนโยบาย
3. พิจารณาพรรคการเมืองที่ไม่เคยมีพฤติกรรมในการทุจริตแบบมีผลประโยชน์ทับซ้อน
4. พิจารณาพรรคการเมืองที่จะมาแก้ไขปัญหาความรุนแรนงใน 3 จังหวัดชายเดนภาคใต้ และปัญหาไข้หวัดนกใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สามารถยุติลงได้
5. พิจารณาพรรคการเมืองที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นโดยรวม
6. พิจารณาพรรคการเมืองที่ไม่ทำให้ประชาชนมีหนี้สินเพิ่มขึ้น หรือทำให้หนี้สินหมดไป
7. พิจารณาพรรคการเมืองเพื่อที่จะเข้ามาแทรกแซงการได้มาของตัวบุคคลในองค์กรอิสระ รวมถึงไม่แทรกแทรงการทำงานขององค์กรอิสระ จนองค์กรเหล่านี้หมดความน่าเชื่อถือ
8. พิจารณาพรรคการเมืองที่ไม่มีผู้นำ ที่มีลักษณะเป็นเผด็จการ แบบเบ็ดเสร็จ
9. พิจารณาพรรคการเมืองที่มีนโยบายเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาอย่างยั่งยืนมากกว่าพรรคการเมืองที่มีนโยบาย ลด แลก แจก แถม ทุกรูปแบบเพื่อหวังผลชัยชนะในการเลือกตั้งโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะตามมาในอนาคต
10. พิจารณาพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ชัดเจน มากกว่าพรรคที่ใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยด้วยการดูดส.ส. การซื้อยกพรรค หรือการพยายามซื้อเสียงทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มีอย่างมากในขณะนี้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-
ยัน ‘คาราวานประชาธิปไตย’ ไม่ใช่หน่วยงานโจมตีรัฐบาลฝ่ายเดียว
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ‘คาราวานประชาธิปัตย์’ของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วง 4 วันที่ผ่านมาว่า พรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการเคลื่อนไหวโดยยุทธวิธีคาราวานประชาธิปไตยตามยุทธศาสตร์ถึงเวลาทวงคืนประเทศไทยนั้น ถือว่าประสบความสำเร็จ ซึ่งตนเห็นว่า ‘คาราวานประชาธิปัตย์’ครั้งนี้เป็นการออกเดินสายเพื่อพูดความจริงหลายๆสิ่งที่พี่น้องประชาชนในภาคอีสานอาจจะไม่ทราบมาก่อน ที่เกี่ยวข้องถึงการดำเนินงานของรัฐบาล รวมถึงนโยบายของรัฐบาลเองที่ประสบปัญหาหลายเรื่อง รวมทั้งที่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องของหนี้สินภาคครัวเรือน พรรคประชาธิปัตย์ไม่เพียงแต่จะพูดถึงหนี้สินที่รัฐบาลไปก่อหนี้เท่านั้น ทางพรรคเองก็ยังพูดถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนด้วย
“การไปอีสานในครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์พูดถึงเรื่องนโยบายในการแก้ไขปัญหาประเทศชาติอย่างมาก เรานอกจากจะพูดถึงความล้มเหล่วของรัฐบาลชุดปัจจุบันแล้ว เราก็พูดถึงนโยบายที่จำนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติในระยะยาวด้วยนะครับ” นายองอาจ กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวยืนยันว่า ความสำเร็จของพรรคประชาธิปัตย์ในการออกไป‘คาราวานประชาธิปัตย์’นั้น เชื่อว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนส.ส.ที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ทางพรรคประชาธิปัตย์มุ่งหวังที่จะให้พี่น้องประชาชนได้เพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจ ในระบอบประชาธิปไตย และเห็นถึงปัญหาที่แท้จริงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย
รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อ ‘นโยบายตกเขียว’ แนะ ‘รัฐ’ เร่งแก้ 6 ปัญหาก่อนหมดวาระ
นายองอาจ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลโดยมีพรรคไทยรักไทยเป็นแกนนำ ที่กำลังมีการโฆษณาชวนเชื่อในหลายๆพื้นที่ถึงนโยบายใหม่ ซึ่งเป็นนโยบายที่ให้ความหวังกับพี่น้องประชาชนว่า ถ้าเลือกรัฐบาลกลับเข้ามาใหม่แล้ว อีก 4 ปีข้างหน้าคนจนก็จะหมดไปจากประเทศไทย ซึ่งนโยบายต่างๆนี้เหล่านี้เรียกง่ายๆว่า ‘รัฐบาลตกเขียว’ก็คือ ทำเป็นโครงการนำร่องไปก่อน ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง แต่พอหลังการเลือกตั้งก็จะกลับมาทำเพิ่มขึ้นอีก รวมถึงการหว่านงบประมาณลงไปในพื้นที่อย่างมากในขณะนี้ รวมถึงงบประมาณแผ่นดินโดยตรงและเงินนอกงบประมาณต่างๆ ก็กำลังถูกนำไปในพื้นที่ค่อนข้างมาก และเป็นการนำเข้าไปเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นแล้วก็จะบอกว่า ถ้าเลือกรัฐบาลกลับมาเป็นอีก เงินงบประมาณส่วนที่เหลือก็จะถูกนำกลับมาใช้หลังการเลือกตั้ง
“ลักษณะเช่นนี้ผมเรียกว่า เป็นการไปตกเขียวไว้ก่อน ซึ่งพี่น้องประชาชนส่วนหนึ่งนะครับก็อาจจะหลงไหลได้ปลื้มกับสิ่งเหล่านี้ แต่แท้ที่จริงแล้วก็เป็นลักษณะของการมาสัญญาว่าจะให้ หลังจากการเลือกตั้ง”นายองอาจกล่าว และว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์มีความกังวลและต้องการให้รัฐบาลดำเนินการก่อน เพราะขณะนี้มีปัญหามากมายซึ่งถือว่าเป็นปัญหาสะสมอยู่ในประเทศชาติ ก่อนที่รัฐบาลจะไปให้ความหวังโฆษณาชวนเชื่อนโยบายใหม่ จึงเรียกร้องรัฐบาลชุดปัจจุบันแก้ไขปัญหาต่างๆให้สำเร็จก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะหมดวาระลง ในวันที่ 5 มกราคม โดยเฉพาะ 6 ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะการทุจริตคอรัปชั่น ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาการแพร่ระบาดไข้หวัดนก ปัญหาสินค้าราคาแพงหลังผลกระทบจากราคาน้ำมัน และผลกระทบที่จะตามมาในภาวะราคาน้ำมันแพง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ และสุดท้ายปัญหาหนี้สินของประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น “ทั้ง 6 ปัญหานี้พรรคปชป.อยากจะเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขแก้ไขให้สำเร็จก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะสิ้นสุดลง ไม่ควรให้ปัยหาต่างๆเหล่านี้ไปเป็นภาระของรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้ง”นายองอาจ กล่าว
ชี้เหตุและผล 10ประการ ที่ ‘ปชช.’พิจารณาเลือกพรรคการเมืองครั้งต่อไป
ส่วนกรณีที่ทางพรรคไทยรักไทย ได้ออกมาบอกว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไปยังไงประชาชนก็จะเลือกพรรคไทยรักไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลอยู่ดี เพราะประชาชนจะเลือก ส.ส.จากผู้นำพรรค จากนโยบาย และจากส.ส.ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเอง ในเรื่องนี้เองทางพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไป นอกจากพี่น้องประชาชนจะพิจารณาจาก 3 ส่วนดังกล่าวแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งตนเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปนี้ เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ปกติและเป็นการเลือกตั้งที่แตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่รัฐบาลที่กำลังดำรงอยู่ตำแหน่งนั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในหลายเรื่องด้วยกันทั้งจากนักวิชาการ องค์กรประชาธิปไตย เอ็นจีโอ. รวมถึงส.ส.,ส.ว.จำนวนมาก
พรรคประชาธิปัตย์ มองว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปประชาชนจะพิจารณาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วย เหตุด้วยผลต่างๆ 10 ด้านด้วยกัน
1. พิจารณาว่าพรรคการเมืองที่สามารถแก้ไขปัญหาการทุจริต ที่มีการแพร่ระบาดอย่างนักตลอด 4 ปีที่ผ่านมาได้ ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตในเชิงนโยบายหรือ การทุจริตมีผลประโยชน์ทับซ้อน
2. พิจารณาว่าพรรคการเมืองที่ไม่ทุจริตเชิงนโยบาย
3. พิจารณาพรรคการเมืองที่ไม่เคยมีพฤติกรรมในการทุจริตแบบมีผลประโยชน์ทับซ้อน
4. พิจารณาพรรคการเมืองที่จะมาแก้ไขปัญหาความรุนแรนงใน 3 จังหวัดชายเดนภาคใต้ และปัญหาไข้หวัดนกใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สามารถยุติลงได้
5. พิจารณาพรรคการเมืองที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นโดยรวม
6. พิจารณาพรรคการเมืองที่ไม่ทำให้ประชาชนมีหนี้สินเพิ่มขึ้น หรือทำให้หนี้สินหมดไป
7. พิจารณาพรรคการเมืองเพื่อที่จะเข้ามาแทรกแซงการได้มาของตัวบุคคลในองค์กรอิสระ รวมถึงไม่แทรกแทรงการทำงานขององค์กรอิสระ จนองค์กรเหล่านี้หมดความน่าเชื่อถือ
8. พิจารณาพรรคการเมืองที่ไม่มีผู้นำ ที่มีลักษณะเป็นเผด็จการ แบบเบ็ดเสร็จ
9. พิจารณาพรรคการเมืองที่มีนโยบายเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาอย่างยั่งยืนมากกว่าพรรคการเมืองที่มีนโยบาย ลด แลก แจก แถม ทุกรูปแบบเพื่อหวังผลชัยชนะในการเลือกตั้งโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะตามมาในอนาคต
10. พิจารณาพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ชัดเจน มากกว่าพรรคที่ใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยด้วยการดูดส.ส. การซื้อยกพรรค หรือการพยายามซื้อเสียงทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มีอย่างมากในขณะนี้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-