ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนสังคม และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางและกิจการขนาดย่อม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่จะเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมาตรการนี้จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางและกิจการขนาดย่อม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ตลอดจนเป็นการเพิ่มความเป็นธรรมในสังคมให้มากยิ่งขึ้นมาตรการที่นำเสนอมีสาระสำคัญดังนี้
1. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้สุทธิซึ่งหมายถึงเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว จากเดิมที่ยกเว้นในวงเงิน 80,000 บาทแรก ให้เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 บาทแรก ทั้งนี้ให้มีผลใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
2. ปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการขนาดย่อมที่มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท จากเดิมที่จัดเก็บในอัตราก้าวหน้า โดยกำไรสุทธิในส่วน 1 ล้านบาทแรก จัดเก็บในอัตราร้อยละ 20 กำไรสุทธิในส่วนที่เกิน 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 3 ล้านบาท จัดเก็บในอัตราร้อยละ 25 และกำไรสุทธิในส่วนที่เกิน 3 ล้านบาท จัดเก็บในอัตราร้อยละ 30 โดยปรับลดอัตราภาษีของกำไรสุทธิในส่วน 1 ล้านบาทแรก เป็นจัดเก็บในอัตราร้อยละ 15 และสำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่เหลือให้คงจัดเก็บในอัตราเดิม ทั้งนี้ให้มีผลใช้บังคับสำหรับกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีซึ่งเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
3. ขยายระดับรายได้ของผู้ประกอบกิจการขนาดย่อมที่ไม่ต้องจดทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อปี ให้เพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับสำหรับรายได้ที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป
4. ปรับปรุงการหักค่าลดหย่อนการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา จากเดิมที่เคยนำเสนอ ให้หักได้ 15,000 บาทต่อบิดามารดา 1 คน โดยในขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการออกกฎหมาย ให้เพิ่มขึ้นเป็น 30,000 บาทต่อบิดามารดา 1 คน
มาตรการที่นำเสนอทั้งหมดข้างต้น คาดว่าจะมีผลกระทบต่อรายได้ภาษีอากร ประมาณปีละ 8,200 ล้านบาท อย่างไรก็ดีกระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่า มาตรการภาษีข้างต้นจะมีส่วนช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดบุตร รวมทั้งช่วยบรรเทาภาระภาษีให้กับผู้มีรายได้น้อยถึง ปานกลาง และผู้ประกอบกิจการขนาดย่อมโดยทั่วไป ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจซื้อมาขายไป ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าทางการเกษตร และธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น อันจะเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งทางด้านสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ และส่งผลดีต่อการจัดเก็บภาษีในระยะยาวต่อไป
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 86/2547 26 ตุลาคม 2547--
1. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้สุทธิซึ่งหมายถึงเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว จากเดิมที่ยกเว้นในวงเงิน 80,000 บาทแรก ให้เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 บาทแรก ทั้งนี้ให้มีผลใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
2. ปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการขนาดย่อมที่มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท จากเดิมที่จัดเก็บในอัตราก้าวหน้า โดยกำไรสุทธิในส่วน 1 ล้านบาทแรก จัดเก็บในอัตราร้อยละ 20 กำไรสุทธิในส่วนที่เกิน 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 3 ล้านบาท จัดเก็บในอัตราร้อยละ 25 และกำไรสุทธิในส่วนที่เกิน 3 ล้านบาท จัดเก็บในอัตราร้อยละ 30 โดยปรับลดอัตราภาษีของกำไรสุทธิในส่วน 1 ล้านบาทแรก เป็นจัดเก็บในอัตราร้อยละ 15 และสำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่เหลือให้คงจัดเก็บในอัตราเดิม ทั้งนี้ให้มีผลใช้บังคับสำหรับกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีซึ่งเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
3. ขยายระดับรายได้ของผู้ประกอบกิจการขนาดย่อมที่ไม่ต้องจดทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อปี ให้เพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับสำหรับรายได้ที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป
4. ปรับปรุงการหักค่าลดหย่อนการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา จากเดิมที่เคยนำเสนอ ให้หักได้ 15,000 บาทต่อบิดามารดา 1 คน โดยในขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการออกกฎหมาย ให้เพิ่มขึ้นเป็น 30,000 บาทต่อบิดามารดา 1 คน
มาตรการที่นำเสนอทั้งหมดข้างต้น คาดว่าจะมีผลกระทบต่อรายได้ภาษีอากร ประมาณปีละ 8,200 ล้านบาท อย่างไรก็ดีกระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่า มาตรการภาษีข้างต้นจะมีส่วนช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดบุตร รวมทั้งช่วยบรรเทาภาระภาษีให้กับผู้มีรายได้น้อยถึง ปานกลาง และผู้ประกอบกิจการขนาดย่อมโดยทั่วไป ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจซื้อมาขายไป ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าทางการเกษตร และธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น อันจะเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งทางด้านสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ และส่งผลดีต่อการจัดเก็บภาษีในระยะยาวต่อไป
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 86/2547 26 ตุลาคม 2547--